Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 901


บทที่ 901 : กระบี่นี้ทำฟ้าสะท้านดินสะเทือน!

ได้ยินชายชั้นหกเอ่ยเช่นนั้น เยี่ยฉวนจึงคลี่ยิ้ม “ศิษย์พี่ แล้วชั้นสิ้นศูนย์คือสิ่งใดหรือ”

ผู้ถูกคุมขังในชั้นหกพลันถาม “ขั้นพลังเจ้าเท่าไรแล้วล่ะ”

เยี่ยฉวนตอบ “ขั้นสันโดษ กำลังเข้าสู่ขั้นผนึกยุทธ์แล้วขอรับ”

ชายในชั้นหกตอบ “งี้นี่เอง… นึกว่าเจ้าอยู่ในชั้นแรกเริ่มแล้วเสียอีก!”

เยี่ยฉวนสับสนยิ่ง “ท่านหมายความเช่นไร”

อีกฝ่ายตอบเสียงเบา “เจ้ายังไม่เข้าใจขั้นพลังของตัวเองด้วยซ้ำ แล้วไหงมาอยากรู้ชั้นสิ้นศูนย์นักเล่า……ว่างนักรึไร?”

เยี่ยฉวนถึงกับเงียบกริบ

ชายบนหอคอยชั้นหกเอ่ยต่อ “มองการณ์ไกลมันก็ดี แต่การแก้ปัญหาตรงหน้านั้นสำคัญกว่านัก!”

เยี่ยฉวนผงกหัวเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว!”

อย่างที่เขาสอน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเยี่ยฉวนในตอนนี้คือการแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญ ชั้นแรกเริ่มเอย ชั้นสิ้นศูนย์เอย ต่างเป็นเรื่องไกลตัวในยามนี้

ราวกับฉุกคิดได้บางอย่าง ชายหนุ่มเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ผู้ฝึกกระบี่ที่เจอเมื่อครู่นี้อยู่ในขั้นไขว่คว้าเต๋า …เช่นนั้นขั้นไขว่คว้าเต๋าธรรมดากับขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นแรกเริ่มต่างกันมากไหม”

ชายชั้นหกเงียบไปสักพักแล้วจึงตอบ “ขั้นไขว่คว้าเต๋าคืออะไรข้าไม่เห็นรู้เลย!”

เยี่ยฉวนรู้สึกอับจนคำพูดยิ่ง

หลังพูดคุยกับชายคนนั้นจบ ชายหนุ่มออกจากภูเขา ทันทีที่ก้าวเท้าออกมาจากภูเขารกร้าง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเนื่องจากเบื้องบนจู่ๆ เต็มไปด้วยปราณจำนวนมาก

ถูกพบเข้าแล้ว?

ตอนนั้นเอง พลังจิตตรวจตราจากหลายคนพลันผ่านตัวไป เยี่ยฉวนถึงกับเผยสีหน้าจนมุมแล้วเตรียมตัวโจมตี ทว่าไม่ทันไรพลังจิตตรวจตราเหล่านั้นกลับหายไป

คนสามทั้งปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าไม่ห่างจากเขาที่อยู่ข้างล่างนัก ทว่ากลับไม่มีใครเห็นเลยสักคน

สามคนนั้นถูกนำโดยชายวัยกลางคน เป็นหลี่เสวียนเฟิง เจ้าสำนักกระบี่นั่นเอง

ข้างกายหลี่เสวียนเฟิงคือชายแก่ถือกระบี่

เยี่ยฉวนรู้จักคนนี้ดี คนคนนั้นคือคนที่ประมือกับเขาเมื่อครู่นี้!

ข้างตัวชายเฒ่าคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำซึ่งถือกระบี่ยักษ์บนหลัง

หลี่เสวียนเฟิงกวาดตามองไปทั่วทั้งที่ยังลอยอยู่บนอากาศ “ที่นี่ไม่มีแม้แต่ลมหายใจมัน!”

ชายเฒ่าตอบ “วิธีซ่อนตัวเจ้านั่นเป็นเลิศนัก!”

ชายฉกรรจ์พลันเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่เฮ่อ เหตุใดท่านถึงสังหารเขาไม่ได้”

หลี่เสวียนเฟิงหันมองไปยังชายแก่

ชายแก่เอ่ยเสียงเข้ม “เขาแข็งแกร่งน่ะสิ!”

หลี่เสวียนเฟิงขมวดคิ้ว “แข็งแกร่งถึงขั้นสังหารมันชั่วพริบตาไม่ได้?”

เขาส่ายหัวเล็กน้อย “หากข้าสู้กับเขา อย่างไรเจ้าหนุ่มนั่นก็แพ้ แต่ฆ่าทันทีไม่ได้หรอก หากไล่จับอย่างเอาเป็นเอาตาย……มั่นใจว่าเขาตายด้วยน้ำมือคู่นี้แน่นอน”

หลี่เสวียนเฟิงส่ายหน้า “ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าสำนักกระบี่จะเอาชีวิตเขา! ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้ได้สมบัติมันมาครอง กองกำลังในความมืดพวกนั้นจะร่วมมือกันต่อต้านสำนักกระบี่ ถึงตอนนั้นสำนักเราจะเป็นภัยได้!”

ชายเฒ่าผงกหัว “นั่นแหละเหตุผลที่ข้าไม่ไล่ตามเขาไป!”

ชายฉกรรจ์ซึ่งมีกระบี่ยักษ์ห้อยหลังพลันถามขึ้น “แล้วจะเอาเช่นไรต่อหรือขอรับ”

ทั้งสองต่างหันไปมองหลี่เสวียนเฟิง

หลี่เสวียนเฟิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เย็นไว้ มีคนกระวนกระวายกว่าเราเยอะนัก”

แล้วชายหนุ่มหันไปมองทิศทางของนครอานุภาพ “สหายและน้องสาวของเจ้าเยี่ยฉวนต่างอยู่ในนคร ช่างน่าชมยิ่งว่าเหอเหลียนเทียนจะยอมอ่อนข้อไหมในคราวนี้!”

ชายเฒ่าถามเสียงเข้ม “แล้วหากเขาไม่ยอมเล่าขอรับ?”

หลี่เสวียนเฟิงยิ้ม “พวกเขาไม่ทำบุญทำคุณเจ้าเยี่ยฉวนหรอก หากสถาบันฝึกยุทธ์ไม่ยอมอ่อนข้อให้ก็แปลว่าต้องสู้กับกองกำลังพวกนั้น ถึงตอนนั้นสำนักกระบี่เราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เอาได้!”

ชายฉกรรจ์ถามเสียงเข้มต่อ “แล้วหากเขายอมเล่าขอรับ?”

หลี่เสวียนเฟิงเอ่ยเสียงค่อย “เช่นนั้นแล้วย่อมต้องปล่อยมืออัจฉริยะเหล่านั้น แล้วเหล่าลูกศิษย์ของสถาบันฝึกยุทธ์ย่อมเจ็บช้ำน้ำใจต่อสถาบัน… ไม่ว่าจะเลือกทางใดนับว่าเป็นผลดีต่อสำนักกระบี่เห็นๆ!”

ชายเฒ่าพลันเอ่ยขึ้นมา “แต่ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่เคยสั่งไว้ว่าพวกเราต้องจับมือกับสถาบันฝึกยุทธ์นะขอรับ!”

หลี่เสวียนเฟิงกระซิบ “เวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว!”

เขาเลื่อนสายตาไปมองท้องฟ้าไกล “สำนักกระบี่จะมัวมาอุดอู้อยู่แต่ในนครนี้ตลอดไปไม่ได้!”

ผ่านไปสักพัก สามคนนั้นได้จากไป

ณ เบื้องล่าง เยี่ยฉวนกำลังเผยสีหน้าถมึงทึงออกมา

เจ้าสำนักกระบี่นั้นช่างต่ำช้ายิ่ง!

สักพัก ชายหนุ่มพลันหายตัวไป กลับไปยังนครอานุภาพอีกครั้ง

ต้องแก้แค้นให้ได้!

สำนักกระบี่ไม่ปกป้อง เขาไม่โมโหเลยสักนิด ในเมื่อเราไม่ได้มีติดหนี้ค้างกันและไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบหรือพันธะผูกพันใดเพื่อปกป้อง

ทว่าสำนักกระบี่ส่งคนมาฆ่าเขาแล้วยังวางแผนพยายามทำร้ายสหายและเยี่ยหลิงอีก กล่าวคือตั้งตนเป็นศัตรูโดยสมบูรณ์

เมื่อเจอกับศัตรู เยี่ยฉวนเลือกเพียงสอง คือฆ่าให้ตายเสียตรงนั้น หรือทรมานก่อนแล้วฆ่าทิ้งเสีย!

ชายหนุ่มไม่ได้ไปไปเยือนสำนักกระบี่เพื่อแก้แค้นอย่างโจ่งแจ้ง ไม่มีทางมั่นหน้าเกินเหตุแล้วคิดว่ามีพลังพอจะทำเช่นนั้น……เขารู้ข้อดีข้อเสียของตนดี!

เยี่ยฉวนย่องเบาเข้าไปยังสำนัก เป้าหมายคือศาลากระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักกระบี่!

ศาลากระบี่ศักดิ์สิทธิ์คือแหล่งขุมทรัพย์ของสำนักกระบี่ ซึ่งมากไปด้วยศาสตราวุธ

เยี่ยฉวนเข้ามาในบริเวณศาลา เมื่อพบว่าไร้คนเฝ้า……จึงย่องเข้าไป

หลังจากเข้ามาได้แล้ว กระบี่นับร้อยเล่มโผล่ให้เห็นในครรลองสายตา และทุกเล่มต่างเป็นระดับสูงทั้งสิ้น!

แล้วกระบี่เหล่านั้นต่างอาบลำแสงอยู่!

เยี่ยฉวนเผยหน้าอมทุกข์ในที่มืด ไม่ต้องบอกก็รู้……หากแตะแสงนั่นเมื่อใด มือดีแห่งสำนักกระบี่ย่อมโผล่หน้ามาให้เห็นเมื่อนั้น

ทว่าโชคดีนัก ลำแสงพวกนั้นหยุดเขาไม่ได้!

เต๋าแห่งสุญญากาศ!

เต๋าแห่งสุญญากาศจะช่วยเหนี่ยวรั้งค่ายกลไว้ในระดับหนึ่ง ตราบใดที่ค่ายกลนี้อยู่ในพื้นที่……จะสามารถพังมันอย่างง่ายดายด้วยวิชานี้!

เยี่ยฉวนเริ่มใช้เต๋าแห่งสุญญากาศ ไม่ทันไรกระบี่ทั้งหมดในลำแสงต่างหายวับไป ทว่าลำแสงเหล่านั้นยังคงไร้สัญญาณการแตะต้อง!

เยี่ยฉวนไม่อยู่ต่อ รุดขึ้นมาชั้นสองซึ่งมีกระบี่น้อยนัก หากแต่ทุกชิ้นถือว่าอยู่ในระดับเซียน รวมทั้งสิ้นแล้วสามสิบหกเล่ม!

มุมปากเยี่ยฉวนกระตุกยิ้ม เก็บกระบี่เหล่านี้ลงอย่างเงียบๆ แล้วขึ้นไปยังชั้นสาม

ชั้นสามมีกระบี่เพียงสามเล่มเท่านั้น ทว่าทั้งสามเล่มต่างอยู่ในระดับขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิต!

ไม่กวาดตามองมาก ชายหนุ่มรีบใช้เต๋าแห่งสุญญากาศกวาดกระบี่เหล่านี้เข้าไปในหอคอยแห่งเรือนจำ แล้วเดินขึ้นชั้นสี่

ชั้นสี่มีภาพเพียงภาพเดียวแขวนอยู่!

ในภาพนั้นคือกระบี่ซึ่งอยู่ในฝัก!

เห็นภาพกระบี่นี้ เยี่ยฉวนย่อมนิ่งไป ไม่นานนักกระบี่ในฝักโผล่ขึ้นในมือ

กระบี่นี้ได้พบมันพร้อมกับสุนัขอสูรในสำนักที่ชื่อ ‘สำนักกระบี่’ มาก่อน และไม่สามารถชักมันออกมาได้ เขาจึงเก็บไว้ในหอคอยแห่งเรือนจำนั่นเอง!

เป็นกระบี่แบบใดกัน?

สำนักกระบี่เบื้องหน้าเขากับสำนักกระบี่สองสำนักก่อนหน้านี้ที่ถูกทำลายมีความสัมพันธ์แบบใดกันแน่

ช่างสับสนยิ่ง!

เยี่ยฉวนมองกระบี่ในมือซึ่งดูจะถูกผนึกไว้ในฝัก เนื่องจากสัมผัสได้ว่ากระบี่กำลังพยายามออกมาทว่าไม่สามารถมากพอ!

เยี่ยฉวนตัดสินใจไม่คิดอะไรมากและเตรียมตัวออกไป ทันใดนั้น ได้ยินเสียงดังมาจากข้างล่าง!

สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไป รีบรวมตัวตนเข้ากับพื้นที่บริเวณนั้นจนไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวอีกเลย

ไม่ทันไร เสียงตื่นตระหนกพลันดังมาจากชั้นหนึ่ง “มีขโมยมา!”

เอ่ยจบ ปราณอันแข็งแกร่งจำนวนมากพลันปรากฏขึ้นรอบด้านศาลา

ท่ามกลางความมืดมิด เยี่ยฉวนไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายเล็บ!

ทันใดนั้น หลีเสวียนเฟิงขึ้นมายังชั้นสี่พร้อมกับชายเฒ่าถือกระบี่!

หลีเสวียนเฟิงมองไปรอบๆ ด้วยความเงียบงัน

ชายเฒ่าถามเสียงเข้ม “ใครกระทำการนี้กัน เยี่ยฉวนหรือขอรับ?”

หลีเสวียนเฟิงกระซิบ “จะมีใครอีกเล่า”

ชายแก่หน้าตึงไปเล็กน้อย “เขาทำได้เช่นไรกัน”

หลีเสวียนเฟิงตอบหน้าตาย “คิดว่าข้ารู้หรือ?”

ตาเฒ่าถือกระบี่เอ่ยเสียงเข้ม “บางทีอาจไปได้ไม่ไกลนัก ข้าจะไปตามขอรับ!”

หลังสิ้นเสียง คนพุดหมุนตัวจากไป

หลีเสวียนเฟิงก็เช่นกัน

ชั้นสี่พลันตกอยู่ในความเงียบขึ้นมาทันทีทันใด!

ประมาณครึ่งชั่วยามถัดมา หลีเสวียนเฟิงกลับมายังชั้นสี่อีกครั้ง พร้อมกวาดตามองทั้งชั้นด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหายตัวไป

หนึ่งชั่วยามถัดมา หลีเสวียนเฟิงกลับมาอีกครา เขามองเช่นเดิมแล้วพบว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป ผ่านความเงียบนี้ไปสักพัก พลังจิตตรวจตราแผ่ขยายไปทั่ว ไม่นานนักเข้าครอบคลุมไปทั่วชั้นสี่

ทว่ากลับหาความผิดปกติไม่เจอแม้สักนิด!

หลีเสวียนเฟิงเก็บพลังจิตตรวจตราแล้วหันหลังจากไป

คราวนี้เยี่ยฉวนออกมาในที่สุด ชายหนุ่มเดินไปยังรูปภาพ ทิ้งข้อความไว้ด้านล่างกรอบก่อนจะหมุนตัวออกจากที่นี่

ผ่านไปนานนัก ผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่มายังชั้นสี่บ้าง เมื่อเห็นข้อความของเยี่ยฉวนแล้ว สีหน้ากลายเป็นมืดมนลง ผ่านไปสักพัก หลีเสวียนเฟิงเข้ามาบ้าง ยามเห็นข้อความล่างกรอบรูปจึงหรี่ตาลง

คำเหล่านั้นคือ ‘หลีเสวียนเฟิง เจ้างั่ง! ข้าอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่เห็นซะได้ ตาบอดหรือไง’

สักพัก หลีเสวียนเฟิงเอ่ยขึ้นมาเสียงต่ำ “ดีงามนักเยี่ยฉวนเอ๋ย… ดูซิว่าเจ้าจะแหวกว่ายไปได้อีกสักกี่น้ำ!”

เขาสะบัดชายเสื้อเมื่อพูดจบ แล้วประโยคนั้นเลือนหายไปทันที

ยามออกมาจากสำนักกระบี่ ชายหนุ่มไม่ได้ออกจากนครอานุภาพอีก ในตอนนี้สถานที่ซึ่งอันตรายที่สุดอาจเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด อีกอย่าง ต้องระวังตัวตลอดเผื่อกรณีคนพวกนั้นเบนเป้าไปทางเยี่ยหลิงและเพื่อนของเขา!

เยี่ยฉวนพบบ้านร้างในเมือง เมื่อเข้าไปถึงด้านในห้อง จึงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ครานี้ได้รับกระบี่ขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิตถึงสามเล่มจากสำนักกระบี่ อีกทั้งกระบี่ชั้นเซียนอีกสามสิบหกเล่มด้วยกัน!

รวมไปถึงศาสตราอื่นๆ ระดับเซียนอีกหกสิบชิ้น!

นี่มันยอดขุมทรัพย์!

ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เยี่ยฉวนรีบหยิบกระบี่ในฝักออกมา

ชายหนุ่มเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ท่านรู้เรื่องกระบี่นี้หรือไม่”

ชายชั้นหกตอบ “ข้าไม่รู้!”

เยี่ยฉวนถามต่อ “ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้พิเศษอย่างไร”

ชายในชั้นหกเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบ “มันถูกผนึกอยู่น่ะสิ”

เยี่ยฉวนรีบถาม “แล้ว?”

ชายชั้นหกตอบ “แล้วก็เป็นกระบี่ไงเล่า!”

เยี่ยฉวนชะงักกึก “แล้วอะไรอีกขอรับ?”

ชายผู้ถูกจองจำในชั้นหกตอบ “แล้ว… กระบี่นั่นดูไม่ค่อยยาวเท่าไร!”

เยี่ยฉวนถึงกับนิ่งค้าง ชายคนนี้กำลังล้อเล่นอยู่หรืออย่างไร

ทันใดนั้นเอง ชายชั้นหกพลันเอ่ยขึ้นมา “ไหน โยนเข้ามาสิ!”

ชายหนุ่มรีบขว้างกระบี่เข้าไปในหอคอยแห่งเรือนจำ ผ่านไปสักพัก ชายชั้นหกถามขึ้นมา “เจ้าอยากดึงกระบี่นี่ออกจากฝักหรือ”

เยี่ยฉวนพยักหน้า

ชายชั้นหกกระซิบ “เจ้ากระบี่นี่อานุภาพสูงมาก ทำฟ้าสะท้านดินสะเทือนได้เลยนะ ข้าว่าเลิกฝันดีกว่า ไม่งั้นมีหวังได้โดนสวรรค์และปฐพีขับไล่ไสส่งแน่ตราบใดที่ยังครอบครองมัน”

เยี่ยฉวนถึงไร้ซึ่งคำพูด……

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version