บทที่ 922 : ชั้นที่เจ็ด!
“ไม่เอาน่า!”
ทันใดนั้นเอง ชายในชั้นหกพลันแทรกเสียงมาคุยกับหอคอยแห่งเรือนจำ
อาหลิงกะพริบตาปริบๆ โดยไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร
ชายชั้นหกเอ่ยต่อ “เจ้าเด็กน้อย หยุดซะ!”
อาหลิงเงยหน้ามองตาปริบๆ อีกครั้ง “หมายถึงข้าหรือ?”
ชายในชั้นหกตอบ “เจ้านั่นแหละ หยุดเดี๋ยวนี้!”
อาหลิงงงงวยยิ่ง “หยุดทำไมหรือ”
ชายชั้นหกถึงกับอับจนคำพูด
ตอนนี้เอง อาหลิงก้มมองกระบี่ในมือ มันดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง และคมบนฝักเริ่มปรากฏรอยร้าว
อาหลิงเริ่มเลิ่กลั่กบ้างแล้ว “มะ……มันกำลังจะออกมาแล้ว!”
ชายในชั้นหกสบถ “เจ้าก็ดันมันกลับไปสิ!”
ได้ยินเช่นนั้น อาหลิงรีบดันกระบี่กลับเข้าไปในฝัก
กระบี่พลันกลับมานิ่งสงบเสียอย่างนั้น!
ด้านนอกหอคอยแห่งเรือนจำ บนท้องฟ้าอันมืดมิดเต็มไปด้วยสายฟ้าแลบโลดแล่นในหมู่เมฆดำราวอสรพิษเงินมาเนิ่นนาน
สีหน้าของเยี่ยฉวนแลดูสิ้นหวังยิ่ง!
อันตราย!
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงภยันตราย!
หากสายฟ้านั่นฟาดลงมาใส่เขา คงไม่แคล้วคลาดโดนผ่าตายสลายเป็นเถ้าธุลีแน่!
เยี่ยฉวนรุดกลับไปยังหอคอยแห่งเรือนจำ อาหลิงรีบยื่นกระบี่มาให้ด้วยใบหน้าซีดเผือด
เยี่ยฉวนลูบหัวเล็กๆ ของอาหลิง แล้วเงยหน้ามอง “ศิษย์พี่ เจ้ากระบี่นี่…”
ชายในชั้นหกกล่าว “เจ้ากระบี่นั่นจิตสังหารรุนแรงนัก เจ้าในตอนนี้คุมมันไม่ได้หรอก”
เยี่ยฉวนยิ้มแห้งให้ “กระบี่อะไรหรือขอรับ”
ชายในชั้นหกตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากปราณที่ปล่อยออกมา ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่กระบี่กระจอกๆ แน่ เจ้าในตอนนี้ปราบมันไม่ไหวหรอก”
ชายหนุ่มมองกระบี่ในมือพร้อมพึมพำออกมา “สำนักกระบี่อาจรู้ก็ได้ว่าเจ้านี่มีที่มาอย่างไร!”
อาหลิงพลันชี้ข้างบนแล้วพูดขึ้น “ชั้นเจ็ด……ข้าอยากขึ้นไปชั้นเจ็ด!”
ชั้นที่เจ็ด!
เยี่ยฉวนหลุดจากภวังค์ความคิด มองไปยังอาหลิง “เจ้าอยากขึ้นไปชั้นเจ็ดหรือ”
นางพยักหน้าหงึกหงัก
เยี่ยฉวนแอบสนใจ “ทำไมล่ะ”
อาหลิงตอบซื่อๆ “สมบัติ!”
ชั้นเจ็ด? สมบัติ?
ชายหนุ่มถาม “ศิษย์พี่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นเจ็ดมีอะไรบ้าง”
ชายในชั้นหกตอบ “ข้าก็ไม่รู้”
เยี่ยฉวนหันไปมองอาหลิง “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชั้นเจ็ดมีสมบัติ?”
อาหลิงตีหน้าซื่อไม่ตอบคำ
เยี่ยฉวนได้แต่ยิ้ม “บอกกันไม่ได้เลยหรือนี่”
อาหลิงก้มหน้างุด “บอกไม่ได้หรอก… นางขอให้ข้าเก็บไว้เป็นความลับ!”
นาง?
เยี่ยฉวนหน้าตึงไปเล็กน้อย “หืม ‘นาง’ หรือ……คือใครกัน”
อาหลิงส่ายหัวหวืดๆ “เป็นความลับน่ะ”
เยี่ยฉวนยิ้มบาง “ได้ ถ้าอย่างนั้นไม่ถามแล้ว และข้าก็ขึ้นไปชั้นเจ็ดไม่ได้ด้วย!”
ชั้นเจ็ด!
หากไร้ซึ่งกฎแห่งเต๋า เขาทำได้เพียงสัมผัสถึงชั้นที่ว่า แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้
อาหลิงมองเยี่ยฉวนก่อนจะเอ่ยถาม “ให้ข้าเอากระบี่ฟันให้ขาดเป็นสองท่อนดีไหม”
เยี่ยฉวนตัวแข็งทื่อขึ้นมา
ชายในชั้นหกเอ่ยแทรก “เจ้าเด็กน้อยนี่ความคิดอันตรายใช้ได้ เจ้าช่วยนางปัดเป่าด้วยนะ!”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้ง “เด็กน้อย อย่าวู่วามนะ เข้าใจไหม”
อาหลิงยิ้มร่า “ได้เลยเจ้าค่ะ!”
เยี่ยฉวนกำลังจะอ้าปากพูด เขากลับขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่นานนักชายหนุ่มเดินออกจากหอคอยแห่งเรือนจำ ทันทีที่ก้าวขาออกมาได้ เสียงหนึ่งดังขึ้นตรงหน้า “มาที่สถาบันฝึกยุทธ์สิ!”
เสียงของเหลียนว่านลี่!
ชายหนุ่มไม่ได้ถามเหตุผล เขารีบหายวับไปทันที
ณ สถาบันฝึกยุทธ์
ในลานโล่ง ชายหนุ่มพบเหลียนว่านลี่ตรงนั้น
แม่นางเหลียนเอ่ยเสียงเข้ม “อันใกล้จะเลื่อนขั้นพลังแล้วนะ!”
เลื่อนขั้นพลัง!
เยี่ยฉวนถาม “เข้าสู่ขั้นก่อเกิดชั้นเนรมิตหรือ”
เหลียนว่านลี่มองตรงไปยังเยี่ยฉวน “ไม่ใช่ ขั้นไขว่คว้าเต๋าต่างหาก!”
ขั้นไขว่คว้าเต๋า!
เยี่ยฉวนตกใจยิ่ง “ขั้นไขว่คว้าเต๋าน่ะเหรอ เป็นไปได้อย่างไรกัน”
อันหลานซิ่วยังอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่เลยนะ!
ทันใดนั้น อู่เวิ่นพลันปรากฎตัวต่อหน้าเยี่ยฉวน เขาเหลือบมองอีกฝ่าย “นางเข้าใจความรักและขั้นไขว่คว้าเต๋าได้ผ่านวิชายุทธ์ สภาวะจิตใจช่างบริสุทธิ์และแจ่มแจ้งนัก อีกอย่าง มีรากฐานอันเยี่ยมยอดอยู่แล้ว ตอนนั้นเลยเข้าขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิตทันทีเลยอย่างไรเล่า!”
เยี่ยฉวนหน้าตึงเล็กน้อย “นางยกระดับขึ้นไปขั้นไขว่คว้าเต๋าหลังผ่านขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิตไม่นานนี้เองหรือ”
อู่เวิ่นส่ายหัว “ถ้าเป็นแบบที่เจ้าว่า……อย่างไรย่อมดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สายเลือดของนางผงาดขึ้นมาแล้วด้วย!”
สายเลือดผงาดขึ้นมา!
เยี่ยฉวนนิ่งไปแล้วเอ่ยถาม “สายเลือดอะไรหรือ?”
อู่เวิ่นนิ่งเงียบ
เยี่ยฉวนกำลังจะถามต่อ อู่เวิ่นพลันแทรกขึ้นมา “เอาเป็นว่านางพร้อมจะเลื่อนขั้นพลังแล้ว!”
เขาเอ่ยพลางมองไปยังชายหนุ่ม “อีกไม่นานนางจะไขว่คว้าเต๋าด้วยพลังยุทธแล้ว!”
เยี่ยฉวนถามเสียงเข้ม “ไขว่คว้าเต๋าด้วยพลังยุทธ… คือขั้นไขว่คว้าเต๋าใช่หรือไม่”
อู่เวิ่นพยักหน้า “ถูกต้อง และที่ข้าขอให้เจ้ามาที่นี่ เพราะอยากให้ปกป้องนางอย่างลับๆ ระหว่างทำพิธีน่ะสิ!”
เยี่ยฉวนหันไปมองอู่เวิ่น “เจ้าหมายถึงสำนักกระบี่อาจคิดไม่ซื่อหรือ”
อู่เวิ่นพยักหน้า “พวกเขาทำแน่นอน! เด็กคนนั้นน่ะมากด้วยพรสวรรค์ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ขั้นไขว่คว้าเต๋า คนขั้นไขว่คว้าเต๋าปกติคงไม่คณามือนางแน่ อีกทั้งสำนักกระบี่ไม่มีทางนั่งแกว่งขานั่งมองนางขึ้นไปขั้นนั้นเฉยๆ หรอก!”
เยี่ยฉวนถามต่อ “เจ้ายับยั้งพลังสายเลือดนางได้หรือไม่”
อู่เวิ่นส่ายหัว “ไม่ได้! นางต้องก้าวข้ามเดี๋ยวนี้เท่านั้น หากกดมันไว้จะเกิดเรื่องแย่เอาได้! พวกเราไม่บังอาจยับยั้งพลังสายเลือด จะบอกว่ากลัวก็ย่อมได้ อีกอย่าง……การผงาดขึ้นของสายเลือดถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับนางด้วยซ้ำ!”
ผ่านความเงียบงันไปสักพัก เยี่ยฉวนเอ่ยถาม “เจ้าอยากให้ข้าทำอันใด”
อู่เวิ่นมองอีกฝ่าย “ช่วยพวกเราปกป้องนางจากเงามืด อย่าให้ใครเข้าใกล้เด็ดขาด!”
คนถูกขอให้ช่วยถามเสียงเข้ม “มั่นใจแน่หรือว่าพวกเราปกป้องนางได้?”
แน่นอนว่าอู่เวิ่นส่ายหน้า “หากสำนักกระบี่พร้อมใจกันหมายหัวนาง คำตอบของข้าคือไม่มั่นใจเลย!”
เขาเอ่ยจบเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา “นางเลื่อนขั้นพลังได้ผิดเวลาจริงๆ!”
เยี่ยฉวนเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าอยากพบนาง!”
อู่เวิ่นพยักหน้า “ตามข้ามา!”
เขาพาชายหนุ่มกับโม่เยี่ยมายังภูเขาด้านหลังสถาบันฝึกยุทธ์ บนยอดเขานั้น อันหลานซิ่วยืนสงบนิ่งในชุดกระโปรงขาวหิมะไร้มลทิน!
เยี่ยฉวนสาวเท้าไปหาและหยุดอยู่ด้านหลังนาง อันหลานซิ่วพึมพำ “ท่านมาแล้ว!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าพร้อมอ้าปากจะเอ่ยบางอย่าง อันหลานซิ่วพลันแทรกขึ้นมาก่อน “อย่าเอ่ยคำใด!”
ชายหนุ่มได้แต่กลืนคำพูดตัวเองลงไป
อันหลานซิ่วมองไปยังฟ้าห่างไกล พร้อมเอ่ยเอื้อนเสียงนุ่ม “ท่านพูดจริงหรือไม่……คำที่เอ่ยกับข้าเมื่อตอนนั้น?”
เยี่ยฉวนนิ่งไป ก่อนจะตอบ “แน่นอนสิ!”
อันหลานซิ่วพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะเลื่อนขั้นพลัง”
เอ่ยจบ นางปรือตาลง
เยี่ยฉวนเหลือบมองอันหลานซิ่ว “จะไม่มีใครก่อกวนเจ้าได้หากข้ายังอยู่ตรงนี้!”
ว่าแล้วชายหนุ่มหายไปเงียบๆ
หลังเยี่ยฉวนถอยไป ยอดฝีมือทั้งหมดของสถาบันฝึกยุทธ์แสดงตัวออกมาพร้อมกับพลังปราณมากฤทธิ์ พลันปรากฏขึ้นไปจนเหนือเขตสถาบันฝึกยุทธ์ ไม่เพียงเท่านั้น กระดิ่งทองขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นเหนือหัวของอันหลานซิ่วเช่นกัน!
อันหลานซิ่วอาบไปด้วยแสงสีทองซึ่งกระดิ่งทองคำนั้นส่องแสงออกมา
นอกจากกระดิ่งทองคำ ธงสี่ผืนยาวหนึ่งจั้งปักรอบตัวนาง มันตรึงอาณาเขตโดยรอบเอาไว้ ในยามนี้ อาณาเขตรอบตัวแข็งแกร่งราวเหล็กไหล แม้แต่ยอดฝีมือขั้นไขว่คว้าเต๋ายังไม่สามารถข้ามสุญญากาศเพื่อมาถึงตัวนางได้
ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณรอบตัวอันหลานซิ่วเองถูกถักทอด้วยใยไหมทองคำ……ที่ลงกลอนอาณาเขตอย่างแน่นหนา!
หากมองเข้าไปจะพบว่าใยไหมนั้นถูกวาดด้วยอักขระปริศนา ซึ่งอักขระนั้นแผ่ขยายครอบคลุมเช่นเดียวกับตาข่าย ปกป้องอาณาเขตรอบตัวอันหลานซิ่ว!
เป็นสมบัติขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิต!
กระดิ่งทองคำ ธงยาวกับใยไหมพวกนั้นต่างเป็นสมบัติขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิตทั้งสิ้น!
อีกทั้งชายแก่ซึ่งยืนอยู่บนกระดิ่งทองคำนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่น
เป็นอู่เวิ่น!
ผู้แข็งแกร่งที่สุดในสถาบันฝึกยุทธ์ในขณะนี้!
ครั้งนี้สถาบันฝึกยุทธ์ได้รวมตัวผู้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อการเลื่อนขั้นพลังของอันหลานซิ่ว
วัยหนุ่มสาวผู้แข็งแกร่งขั้นไขว่คว้าเต๋า ซึ่งต่อไปจะเหยียบย่างสู่เส้นทางแห่งเต๋า ย่อมคู่ควรแก่การปกป้องจากสถาบันฝึกยุทธ์เช่นนี้!
หลังออกจากสถาบันฝึกยุทธ์ เยี่ยฉวนเดินออกจากเมืองทันทีเพื่อพบผู้อาวุโสเยว่และคนของเขา
ผู้อาวุโสเยว่มองเยี่ยฉวน “เจ้าอยากให้พวกเราช่วยปกป้องเด็กคนนั้นในสถาบันฝึกยุทธ์หรือไม่”
เยี่ยฉวนส่ายหน้า
แววตาของผู้อาวุโสเยว่ฉาบไปด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นเจ้าจะทำอะไรหรือ”
เยี่ยฉวนมองผู้อาวุโสเยว่ “นี่เป็นโอกาสแล้วขอรับ! สำนักกระบี่จะจู่โจมอัจฉริยะแห่งสถาบันฝึกยุทธ์แน่ และนี่เป็นโอกาสโจมตีพวกเขา!”
ผู้อาวุโสเยว่ตอบ “เจ้าพูดถูก!”
อีกฝ่ายหันมองเยี่ยฉวน “แล้วเจ้าคิดว่าเราควรจู่โจมพวกเขาตอนไหนหรือ”
เยี่ยฉวนเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “เมื่อสำนักกระบี่เคลื่อนไหวขอรับ”
ผู้อาวุโสเยว่เอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคิดว่าสำนักกระบี่มีโอกาสจะหยุดนางหรือไม่”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “แน่นอน!”
ผู้อาวุโสเยว่กล่าวต่อ “เช่นนั้นจะรอจนกว่าพวกมันเข้าไปหยุดเด็กคนนั้น หากลงมือขึ้นมา สถาบันฝึกยุทธ์ย่อมตอบโต้สำนักกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ถึงตอนนั้น เฝ้ามองพวกเขาสู้ไปเสีย หากพวกนั้นทำไม่สำเร็จย่อมแปลว่าสถาบันฝึกยุทธ์สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย อืม……พวกเรารอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะเสียหายอย่างหนักก็แล้วกัน”
เยี่ยฉวนพยักหน้าเล็กน้อย “แบบนี้นี่เอง”
หลังจากนั้น เขาหมุนตัวจากไป
……ว่าแล้วเชียว ว่าคนพวกนี้ย่อมไม่มีทางปกป้องอันหลานซิ่วไปกับเขาแน่นอน!
พวกเขาจะเคลื่อนไหว แต่จะทำก็ต่อเมื่อสถาบันฝึกยุทธ์และสำนักกระบี่ต่างร่อแร่กันทั้งคู่แล้วเท่านั้น!
เขาจะปกป้องอันหลานซิ่วด้วยตัวเอง!
หลังเยี่ยฉวนจากไป เหยี่ยหลานผู้อยู่ด้านข้างผู้อาวุโสเยว่พลันถามขึ้นมา “สำนักกระบี่น่าจะรู้แล้วว่าเราอยู่ในความมืด ท่านคิดว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวหรือไม่ขอรับ?”
ผู้อาวุโสเยว่เอ่ยเสียงนุ่ม “พวกมันมาแน่!”
เหยี่ยหลานมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง “เพราะเหตุใดหรือ”
ผู้อาวุโสเยว่ตอบ “เพื่อรุ่นต่อไปน่ะสิ! หากสำนักกระบี่ไร้ผู้มีฝีมือทัดเทียมนาง พวกเขาย่อมจำกัดนางทิ้ง ไม่เช่นนั้นรุ่นต่อไปของสำนักกระบี่จะถูกสตรีนางนั้นก้าวข้ามไปโดยสิ้นเชิง! ยิ่งตอนนี้สำนักกระบี่กับสถาบันฝึกยุทธ์ต่างเป็นศัตรูซึ่งกันและกันแล้วด้วย กรณีนี้หากสำนักกระบี่ไม่เข้าโจมตี อนาคตคงค่อยๆ ดับลง ดังนั้นพวกเขาจู่โจมสถาบันฝึกยุทธ์แน่ เพราะนี่เป็นโอกาสทอง!”
เหยี่ยหลานถามเสียงเข้ม “ถึงจะรู้ว่าพวกเราซุ่มอยู่มุมมืดก็ทำเช่นนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสเยว่เอ่ยเสียงนุ่ม “หากทำย่อมแสดงว่าไม่กลัว หากไม่ทำย่อมยืนยันว่าคำสอนพวกเขาไม่ลึกซึ้งพอ ถึงตอนนั้นเราจะเคลื่อนไหวทันที… ข้าเชื่อว่าผู้นำสำนักกระบี่คงคาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน หากทางเราเคลื่อนไหว สถาบันฝึกยุทธ์ย่อมได้รับผลดีหลังเด็กนั่นเลื่อนขั้นพลัง เป้าหมายพวกเราคือสมบัติ……ไม่ใช่การทำลายสำนักกระบี่เสียหน่อย แต่หากสถาบันฝึกยุทธ์เคลื่อนไหว พวกเขาจะทำลายสำนักกระบี่แน่นอน หากเจ้าเป็นประมุขแห่งสำนักกระบี่……จะเลือกสิ่งใดกัน?”
เหยี่ยหลานมองไปยังทิศทางที่ตั้งสำนักกระบี่ “ในความเห็นข้า ต่อให้พวกเขาจู่โจมหรือไม่ก็แย่ทั้งคู่อยู่ดีขอรับ!”
ผู้อาวุโสเยว่เอ่ยต่อ “นั่นขึ้นอยู่กับว่าไพ่ตายของพวกเขายิ่งใหญ่เท่าไรหรอก หากไพ่ตายนั้นฤทธิ์มากพอ……คงจะจู่โจมสถาบันฝึกยุทธ์ก่อน ซึ่งสถาบันฝึกยุทธ์……อาจรู้ไพ่ตายบางอย่างของสำนักกระบี่แล้วถึงกล้าเล่นใหญ่ปานนี้ เอาเป็นว่าบอกคนของพวกเราให้เตรียมตัว!”
เหยี่ยหลานถาม “เตรียมตัวทำสงครามหรือขอรับ?”
ผู้อาวุโสเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่งบนภูดูเสือกัดกัน! ประวัติเคยว่าไว้ ว่าผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่และสถาบันฝึกยุทธ์ต่างเป็นมิตรต่อกัน หากทั้งคู่อัญเชิญอวตารผู้ก่อตั้งมาช่วยต่อสู้ นั่นถือเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งนัก!”
