บทที่ 942 : เต๋าแห่งบารมีคือวิถีแห่งชีวิต! (ต้น)
ขณะทอดสายตามองตัวหนังสือที่ปรากฏบนกระดานหมากล้อมเบื้องหน้า สตรีลึกลับได้แต่เงียบงัน
ต่อมากระบี่เล่มหนึ่งเหินจากกลางอากาศตรงมาทางสตรีลึกลับ ก่อนจะลอยตัวนิ่งอยู่กับที่เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่นั่งอยู่ที่นั่น
จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน รอยยิ้มเผยขึ้นบนใบหน้าของสตรี “เต๋าแห่งบารมีคือวิถีแห่งชีวิต และวิถีแห่งชีวิตคือการเดินเม็ดหมากล้อม ท่านจะสื่อถึงหมากล้อมหรือคนที่เดินหมากสินะ”
นางสะบัดมือเบาๆ พลันตัวหนังสือที่วางเรียงอยู่ตรงหน้าหายวับไป
ขณะที่กระบี่ซึ่งกำลังลอยตัวอยู่ทะยานออกมาตรงหน้าสั่นน้อยๆ ประหนึ่งมันกำลังพูดกับอีกฝ่าย
ผ่านไปพักใหญ่ สตรีลึกลับพึมพำออกไปว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
กระบี่สั่นอีกครั้งพร้อมกับเสียงที่ดังมาเบาๆ พอให้ได้ยิน
สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ช้าต่อมาก็ชำเลืองมองไปยังดอกไม้ดอกเล็กๆ ซึ่งอยู่ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ดูจากภายนอกจะเห็นว่าดอกไม้มีทั้งความประณีตอ่อนช้อยและน่าทะนุถนอม
อึดใจต่อมากระบี่ก็ขยับตัวและชี้ปลายไปทางขวามือ แสดงให้เห็นว่าต้องการให้สตรีผู้นั้นตามออกไปด้วยกัน
สตรีลึกลับส่ายหน้า “ข้าเคยแนะหนทางให้เขาแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกมุ่งหน้าไปทางใด”
จากนั้นผู้พูดก็เหลือบมองไปยังดอกไม้ดอกน้อยพลางบิดมุมปากยกยิ้ม “ดอกไม้นั่นได้รับการประคบประหงม ทำให้ไม่อาจทานทนต่อลมและฝน”
กระบี่พลันสั่นน้อยๆ ประหนึ่งกำลังบอกอะไรบางอย่าง
สตรีกล่าวยิ้มๆ “คนบางคนไม่สามารถไขว่คว้าเต๋าบารมีที่อยู่ในการดูแล เว้นเสียแต่ว่าจะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง”
จากนั้นนางก็คว้ากระบี่ที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะมุ่งสูงไปยังแผ่นฟ้ากว้างไกล
ในอากาศ ขณะดำเนินไปบนเส้นทางจู่ๆ กระบี่ก็สั่นเบาๆ ราวกับกำลังบอกอะไรสักอย่าง
‘พวกเราจะทำอะไรกันต่อไปหรือ?’
สตรีลึกลับมองลึกเข้าไปในจักรวาลดาราก่อนอมยิ้มที่มุมปาก “ฆ่ามัน”
เสียงพูดหยุดลงพร้อมกับร่างนั้นหายวับไป
บนกระดานหมากล้อมที่วางอยู่บนเกาะแห่งนั้น ได้ปรากฏตัวหนังสือขึ้นอีกหนึ่งประโยค ‘เต๋าไม่อาจสรรหาคำมาอธิบาย เต๋าที่สามารถอธิบายได้ มิใช่เต๋าที่เป็นจักรวาลและนิจนิรันดร์……’
…
ในนครผู้คุมกฎแห่งจักรวาลโกลาหล
นครผู้คุมกฎอยู่ในโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ เป็นอาณาจักรที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังที่มีชื่อว่าชุมนุมผู้คุมกฎ
เยี่ยฉวนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน เพื่อมาถึงยังโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือแห่งนี้
การเดินทางมาที่นี่เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจักรดารา
ในนครอานุภาพที่ชายหนุ่มเพิ่งจากมานั้น มีการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจักรดารา และด้วยวิชานี้ทำให้สถานที่ในจักรวาลโกลาหลมีขนาดเล็กลงถนัดใจ
ซึ่งเยี่ยฉวนศึกษามาจากบันทึกที่มีชื่อว่า ‘ตำราประจักษ์โลกา’ นอกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายจักรดาราแล้ว ยังมีอีกหนึ่งค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ล้ำหน้ากว่า ชื่อของมันคือ ค่ายกลประตูมิติ
ด้วยความที่อำนาจของค่ายกลเคลื่อนย้ายชนิดนี้มีพลังสูงมาก ทำให้สามารถส่งคนจากโลกรกร้างดินแดนตอนใต้ไปยังโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ……ในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา!
คราวที่ยอดฝีมือของเผ่าถังก็เดินทางเข้าไปยังนครอานุภาพโดยการใช้ค่ายกลชนิดนี้
อย่างไรก็ตาม การจะใช้ค่ายแต่ละครั้งจะสูญเสียพลังงานในปริมาณมาก และกลุ่มกองกำลังขนาดเล็กไม่สามารถใช้งานได้อย่างสิ้นเชิง
เยี่ยฉวนมองตรงไปยังนครผู้คุมกฎ ทำให้ในหัวใจของชายหนุ่มปรากฏเนื้อหาอารัมภบทที่เกี่ยวกับเมืองแห่งนี้
นครผู้คุมกฎครั้งหนึ่ง เคยเป็นหัวเมืองของชุมนุมผู้คุมกฎ และเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ ทว่าปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนั้น
ชุมนุมผู้คุมกฎย้ายหัวเมืองไปที่หุบเขาเติ้งเถียน ซึ่งอยู่ในโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ นครเติ้งเถียนเป็นชื่อหัวเมืองแห่งนี้ และเป็นที่รู้กันว่ามีความลึกลับมากที่สุดในโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ
เหตุที่เป็นเมืองลึกลับเป็นเพราะชุมนุมผู้คุมกฎไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกสัญจรเข้าสู่เมืองเติ้งเถียน!
เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นเมืองลึกลับไปโดยปริยาย
แม้ว่านครผู้คุมกฎจะไม่ใช่หัวเมืองของชุมนุมผู้คุมกฎแล้วก็ตาม ทว่าความเจริญรุ่งเรืองยังปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป
ด้วยเมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
นครโบราณ!
สิ่งนี้ทำให้เยี่ยฉวนประทับใจทันที
ชายหนุ่มมิได้เดินเข้าเมืองโดยเปิดเผย ขนาดเผ่าถังเขายังเอาชนะไม่ได้นับประสาอะไรกับชุมนุมผู้คุมกฎ!
นอกจากนั้นเขารู้ดีว่า บัดนี้ข่าวที่ตนเดินทางมายังนครผู้คุมกฎคงแพร่กระจายไปทั่วชุมนุมผู้คุมกฎเสียแล้ว
กองกำลังขนาดใหญ่……ยิ่งมากด้วยสติปัญญา
ขณะที่เดินไปตามถนน ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เวลานั้นเขาสวมผ้าคลุมสีดำและผ้าคลุมหน้าสีดำสนิท พร้อมกับใช้พลังชี่ซ่อนลมหายใจ เพื่อที่จะให้คนบ่มเพาะพลังไม่สามารถหาตัวได้เจอ
บนเส้นทางในเมืองนี้ผู้คนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ มิหนำซ้ำบางคนมีลมหายใจที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
อีกอย่างยังสัมผัสได้ว่ามีบางส่วนซ่อนเร้นอยู่ และพลังลมหายใจแกร่งกล้ากระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง
ครู่ใหญ่เยี่ยฉวนเดินมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ที่พัก ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิที่เตียงนอน จากนั้นเข้าสู่หอคอยแห่งเรือนจำทันที
ฝึกฝนบ่มเพาะพลังชี่!
แม้ว่าก่อนหน้าชายหนุ่มจะถือว่ามีพลังแกร่งกล้าอยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าศัตรูที่โผล่มากลับแกร่งกล้ากว่า!
เขาจะต้องพัฒนาพลังความแข็งแกร่งของตนเอง!
เยี่ยฉวนตามไปพบกับหุ่นไม้ จากนั้นเริ่มใช้สิ่งนั้นในการฝึก!
ด้วยหุ่นไม้นี้ทรงพลังมาก เพราะประกอบด้วยทักษะเพลงกระบี่ เพื่อการต่อสู้ระยะประชิดอันวิจิตรพิสดาร จึงจะสามารถตรึงคู่ต่อสู้ให้อยู่กับที่ อีกทั้งเล็งเป้าหมายไปยังฝ่ายศัตรูได้อย่างแม่นยำ!
เวลานี้ข้อบกพร่องใหญ่ของเยี่ยฉวนคือการต่อสู้ระยะประชิด
ทักษะกระบี่บินของเขานับว่าดีอยู่ ทว่าเชิงเพลงกระบี่อ่อนด้อยมาก
เขาจึงเริ่มฝึกกับหุ่นไม้และกระบี่ไม้
แม้ว่าชายหนุ่มจะบรรลุพลังขั้นผนึกยุทธ์แล้วก็ตาม หากประมือกับหุ่นไม้ บางครั้งยังเป็นฝ่ายถูกตรึงอยู่กับที่ อีกทั้งชายหนุ่มไม่ได้ใช้พลังเพลงกระบี่!
ถ้าเยี่ยฉวนใช้ท่าไม้ตายกับกระบี่เจิ้นหุน หุ่นไม้ก็ไม่คู่ควรกับเขาแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มฝึกต่อไปเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในวันต่อมาเยี่ยฉวนถึงได้ทรุดลงไปนอนซบอยู่กับพื้น
ที่ผ่านมาเขาเฝ้าฝึกฝนอย่างหนักอย่างน้อยหกถึงเจ็ดชั่วยาม และสนุกกับการฝึกด้วยหุ่นไม้ตัวนี้!
สิ่งนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงสมัยที่ยังต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามเมื่อครั้งอยู่ที่โลกชิงฉาง!
ย้อนกลับไปในเวลานั้น เป็นการต่อสู้ในระยะเผาขน ถ้าปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้า……พวกเขาจะตาย
สภาพแวดล้อมในตอนนั้น การต่อสู้ชวนระทึกขวัญและน่าขนพองสยองเกล้า!
ณ เวลานี้ เมื่อประมือกับหุ่นไม้ก็ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ กลับมาอีก
บ้าดีเดือด!
ตื่นเต้นระทึกขวัญ!
ถ้าพลาดไปเพียงนิดเดียว อาจถึงตายหรือเจ็บหนัก!
หลังจากหยุดพักช่วงสั้นๆ เยี่ยฉวนขยับลุกขึ้นยืนและฝึกฝนกับหุ่นไม้ต่อไป
