Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 101

ตอนที่ 101 ทำโดยไม่ได้ตั้งใจ

“วันที่ 19 เดือนสี่ บ่อนของเสือซ่อนเล็บทั้งหมดแพ้พนันไปสองพันตำลึง ขันทีชุดเขียวและชุดน้ำเงิน องครักษ์วังหลวงทั้งหัวหน้าลูกน้อง รวม 32 คนมาเล่นกัน”

บนถนนระหว่างลานฝึกกับบ้านหวังทง หวังทงกับโจวอี้เดินไปคุยไป ถนนสายนี้คนปกติไม่เดินผ่านกัน เงียบสงัดนัก

“ในวังมีคนชอบเล่นไม่น้อย ยังมีบ้างที่ชอบความสนุกครึกครื้น ล้วนอยากออกมาเล่นกันนอกวัง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

โจวอี้พูดเรียบๆ หวังทงไม่ตอบรับ พูดต่อว่า

“ถนนทักษิณทางนั้นมีแต่ประตูอู่เหมินของวังหลวงเปิดอยู่ประตูเดียวเท่านั้น ประตูวังหลวงมีมากมายเท่าไร รอบๆ มีสถานที่เช่นนี้อีกเท่าไร เช่นนั้นจะมีอีกมากมายเท่าไรกัน?”

คำพูดของหวังทงก็เรียบๆ เช่นกัน แต่โจวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามนิ่งเรียบว่า

“มีคนรู้จักหรือ?”

“นอกจากพี่โจวกับจางกงกงพวกท่านแล้ว ข้าจะรู้จักใครอีกเล่า?”

ตอบแซวกลับไปประโยคหนึ่ง สองคนก็เดินต่อไปสองสามก้าว โจวอี้ยกมือดีดสิ่งแปลกปลอมตรงปลายแขนเสื้อออก อยู่ๆ ก็ยิ้มกล่าวว่า

“สำนักห้องเครื่องมีขันทีทำหน้าที่ดูแลคนหนึ่ง ทำงานได้คล่องแคล่ว ตอนนี้หอเลิศรสเจ้าขาดคน ถึงต้องนั้นก็ให้เขามาช่วย”

พอเห็นหวังทงไม่เข้าใจ โจวอี้ก็เสริมต่อว่า

“ขันทีผู้นี้มีข้อดี ในวังรู้จักคนหมด คนเยอะขนาดนั้น เขาเห็นครั้งแรกก็รายงานได้ว่าทำงานที่ไหน เมื่อก่อนเฝิงกงกงตอนมารับตำแหน่งสำนักส่วนพระองค์ใหม่ๆ ก็ยังพาเขาติดตามไปด้วยเป็นกรณีพิเศษ สะดวกมาก คนผู้นี้คล่องแคล่วซื่อสัตย์ น้องหวังอยากให้เขาทำอะไรอย่างอื่น ก็แค่สั่ง”

จะส่งคนที่แยกแยกสถานะได้มาช่วยทางนี้ ครั้งหน้าตอนที่บ่อนพนันจะแพ้พนันให้คนข้างนอก อย่างไรก็ต้องเชิญคนผู้นี้มาจับตาดู

สองฝ่ายคุยกันสัพเพเหระต่ออีกหน่อย โจวอี้ก็บอกว่าในวังยังมีเรื่องต้องจัดการอีก ขอตัวก่อน หวังทงย่อมรู้ว่าโจวอี้เอาเรื่องตนที่สืบได้กลับไปรายงานคนที่เกี่ยวข้อง

ในความเห็นหวังทง โจวอี้ดูเหมือนจะระมัดระวังเกินไปหน่อย หลายครั้งก็มีกันแค่สองคน ก็ยังกลัวกำแพงมีหูประตูมีช่อง ไม่ได้รู้เลยว่าโจวอี้ใช้ชีวิตในวังที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย จนทำให้มีนิสัยระแวดระวังไปทุกเรื่องเช่นนี้ เรื่องความลับสุดยอดก็ต้องระวังป้องกันให้ดี จึงจะปลอดภัย

ถ้าประมาท พอถึงเวลาเมื่อมีภัยมาถึงชีวิตแล้ว นึกเสียใจก็สายเสียแล้ว

****

พอถึงเวลาอาหารกลางวัน ตามกำหนดนั้น คนของหอเลิศรสจะจัดวางอาหารและภาชนะไว้ในร้านเรียบร้อย บอกว่าร้านด้านนั้นปิดพัก

อาหารกลางวันจะเป็นอะไรนั้น ล้วนเป็นของที่เด็กๆ ผลัดกันทำ ในเรื่องนี้ ไม่ว่าคนในวังหรือครูฝึกล้วนไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นงานระดับล่าง ไยต้องให้ลูกหลานที่มีเกียรติเหล่านี้ไปทำด้วย แต่หวังทงกลับยืนยันให้ทำเช่นนี้

ตอนตักแบ่งอาหาร มองแล้วก็เป็นแค่การออกแรงเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับส่งผลอย่างมาในการอบรมเด็กให้รู้สึกจัดการหมู่คณะและให้ความร่วมมือ บรรดาคนในลานฝึก ไม่ว่าฮ่องเต้ว่านลี่หรือพวกเด็กๆ วันหน้าก็ต้องเป็นผู้นำผู้อื่น เป็นขุนนาง เป็นแม่ทัพ ความสามารถเช่นนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

การกระทำเช่นนี้มาจากการอบรมบางอย่างในชาติก่อนของเขา ตอนนั้นเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้กลับดูมีเหตุมีผล และก็น่าสนุกด้วย

ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยที่นี่มาสามวันแล้ว อาหารการกินสมบูรณ์พอเพียง ปริมาณยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่รสชาติยังกล่าวได้ว่าเทียบได้กับที่ปรุงมาจากห้องเครื่องหลวง ใครก็ไม่อยากจะเชื่อ

บรรยากาศครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ เทียบกับสภาพที่ต้องกินข้าวแล้วมีคนคอยรับใช้ถึงสิบกว่าคนในวังแล้ว ก็เลือกไม่ยากเลย

เดิมนั้นทุกคนคิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่แค่รู้สึกแปลกใหม่ ใครจะคิดว่าพอผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ชอบบรรยากาศที่นี่เสียแล้ว

ได้ยินโจวอี้เล่าว่า พออำมาตย์จางสอนเสร็จ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะรีบทรงนั่งเกี้ยวมาที่นี่ทันที กลัวว่าจะเสียเวลากินข้าวร่วมกันกับทุกคน และตอนนี้ไม่เพียงแต่อาหารกลางวัน แม้แต่อาหารเย็นก็ยังจัดที่นี่ด้วย

ถึงขั้นแอบบอกกับจางเฉิงว่า จะมาอยู่กับพวกเด็กที่นี่ตอนกลางคืนเลยได้ไหม คำขอนี้ทำเอาจางเฉิงและโจวอี้ตกใจกันไปหมด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเตือนให้กลับ เรื่องนี้ไม่ได้รายงานให้ไทเฮาทราบ หากเรื่องพวกนี้ไทเฮาทราบแล้วล่ะก็ คงพิโรธใหญ่เป็นแน่

****

พอถึงช่วงฝึกอาวุธ ทุกวันตอนบ่าย ก็จัดแถวเดินรอบสนามสองรอบ จากนั้นก็ยืดเส้นผ่อนคลาย วิ่งอีกสองสามรอบ

พอฝึกร่างกายเหล่านี้จบ ทุกคนก็หยิบไม้พลองยาวคนละอัน ฝึกตามคำสั่งของครูฝึก การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในการฝึกนั้นไม่ได้สร้างความแปลกใหม่อะไรให้กับพวกเด็กๆ

ทวนเป็นราชาศาสตราวุธ อาวุธที่บรรดาลูกหลานตระกูลทหารเรียนกันนั้นอันดับแรกก็คือเพลงทวน เด็กส่วนใหญ่ก็เริ่มฝึกกันตั้งแต่สี่ห้าขวบ แต่สิ่งที่เรียนที่ลานฝึกนี้ล้วนเป็นแค่การฝึกขั้นพื้นฐาน เพราะที่หวังทงเรียนเมื่อเทียบกับที่ลานฝึกนี่แล้วก็ยังมากกว่ามาก

ยืนถือพลองนิ่ง แทงออกไปหนึ่งที เช่นนี้มิสู้ไปวิ่งบนสนาม ยังสนุกกว่าอีก ที่สนใจมีเพียงคนเดียวก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ ทรงถือไม้พลองสนุกจนไม่ยอมวาง

บทเรียนยิ่งแห้งแล้ง ตอนพักก็ยิ่งครึกครื้นสนุกสนาน มีขนมรสชาติยอดเยี่ยมที่เจ้า ‘หวงอี้จวิน’ เอามาจากบ้าน และยังมีหวังทงที่มีความรอบรู้แปลกใหม่มากมาย สนุกสนานจริงๆ

ตอนแรกที่ความสัมพันธ์ของทุกคนยังไม่ดีนักก็ยังสงบเสงี่ยมกันอยู่บ้าง แต่พอตอนนี้คุ้นเคยกันแล้ว ไม่เพียงแต่ฟัง เด็กหลายคนยังผลัดกันถามด้วย

“ตอนข้าอยู่มาเก๊า ได้เห็นการฝึกทหารของพวกฟะรังคี หลายคนถือปืนไฟ ยืนเรียงแถวกัน พอหัวหน้านายทหารออกคำสั่ง ก็ยิงพร้อมกัน อานุภาพไร้ขีดจำกัด…”

หวังทงเล่าถึงตรงนี้ก็มีคนเอ่ยขัดจังหวะ หัวเราะกล่าวว่า

“พลทหารหวัง ปืนไฟพวกนี้จะไม่มีอานุภาพอะไรกัน ปืนใหญ่ที่เมืองจี้โจวเราอานุภาพร้ายกาจ ปืนไฟพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่อาจใช้รบที่กว้าง หากจะพูดถึงอาวุธชั้นยอดไว้เล่นงานคนระยะไกล มิสู้ใช้ธนูดีกว่า”

พอเขาพูดจบ ทุกคนต่างก็เห็นด้วย ทุกคนเป็นลูกหลานตระกูลทหาร ปกติเรื่องที่ได้ยินได้เห็นกันมาก็ล้วนเป็นเรื่องพวกนี้ พูดถึงประเด็นนี้ทุกคนก็รู้สึกสนใจกัน บรรดาเด็กๆ ต่างก็ออกมาแสดงความเห็นกัน

“ปืนไฟใส่ดินปืนยิงทีก็ใช้เวลานาน ช่วงเวลานี้ ธนูมือเร็วสักสามดอกก็ยิงออกไปแล้ว!”

“ใช่เลยๆ ได้ยินลุงข้าเล่าว่า ปีนั้นข่านเผ่ามองโกลนำทัพสองพันกว่าคนขี่รุกรานเข้ามา ตอนนั้นก็ส่งกองจู่โจมเคลื่อนที่เร็วออกไปรบ ผลปรากฏว่าสามพันกว่าคนที่ถือปืนไฟถูกพวกนอกด่านโจมตีกระจัดกระจายหมด…”

ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรสออกชาติ หวังทงยิ้มถามว่า

“ปืนไฟของสามพันกว่าคนนั้นหากผลัดกันยิง ขาก็ยังก็สามารถยืนนิ่งอยู่ได้ กระจัดกระจายเพราะอะไรล่ะ?”

ทุกคนต่างหัวเราะฮาครืน เด็กๆ ฟังคนที่บ้านมากเกินไป ซุนซิงที่กำลังกินขนมก่อนคนแรกนั้นก็หัวเราะรับคำกล่าวว่า

“ปืนไฟสามพันกว่ากระบอก น่ากลัวว่าจะยิงกระหน่ำกันตอนที่พลทหารม้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่เข้ามาใกล้ล่ะสิ รอจนพวกมันขี่ม้าเข้ามาอยู่ตรงหน้า ปืนไฟทุกคนก็ยิงกันจนปากกระบอกร้อน ใส่ดินปืนไม่ได้ ตอนนี้พวกขี้ขลาดก็คงหันหลังวิ่งหนี ไม่กล้าอยู่ตรงนั้นต่อ พอมาอยู่ตรงหน้า ธนูดอกหนึ่งพุ่งมา ไม่ว่าผู้ใดก็รับมือไม่อยู่แล้ว”

“ใช่เลยๆ ปืนไฟทางนี้ของเจ้าที่ยิงไม่ออกถึงครึ่งหนึ่ง เจ้ายิงไปหนึ่ง อีกฝ่ายอย่างน้อยก็ต้องยิงมาสามดอก…”

“ปืนไฟของเมืองหลวงเจ้ายิงออกครึ่งหนึ่งเชียวหรือ ขี้โม้มั้ง เมืองเซวียนฝู่เรายิงออกอย่างมากก็แค่สามส่วนจากสิบส่วน ตอนจุดไฟอย่างน้อยก็ต้องระเบิดพังไปหนึ่ง ทุกคนยอมใช้มีดดาบไปสู้ดีกว่าถือเจ้าของเล่นพวกนี้ออกไป”

บรรดาเด็กๆ เห็นเรื่องพวกนี้เห็นเรื่องที่ได้ยินได้เห็นกันมานั้นเป็นเรื่องเล่าสนุกขำขันกัน ไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย กลับเป็นคนผู้หนึ่งที่มาจากเมืองจี้โจวที่ไม่เคยพูดอะไรสักคำ ตอนนี้จึงได้พูดแทรกขึ้นว่า

“ปืนเมืองจี้โจวเราอย่างน้อยยิงออกได้แปดส่วน ตอนพวกนอกด่านรุกเข้ามาครานั้น ทหารม้าถูกปืนไฟเรายิงตายไปสี่ร้อย ที่เหลือก็หนีตายกันไปหมด”

พูดถึงตรงนี้ ก็มีคนหยอกขึ้นว่า

“ใครจะไม่สู้เมืองจี้โจวเจ้าได้ล่ะ แม่ทัพชีดูแลอยู่ทางนั้น ได้ยินพ่อข้าบอกว่าทหารปืนไฟพวกเจ้าทางนั้นมีทหารถือดาบคุมอยู่ด้านหลัง หากยิงมั่วก็จะถูกตัดหัว ยกไม่นิ่งยังถูกตัดหัวอะไรอีก….”

ที่พวกเด็กๆ พูดกันนั้นก็ล้วนเป็นเรื่องที่ได้ยินผู้ใหญ่ที่บ้านตนพูดกัน แม้ว่าในนั้นจะมีเกินจริงไปบ้าง แต่หวังทงพอได้ยินแล้ว ในใจก็รู้สึกหนักใจ หันไปเหลือบมองฮ่องเต้ว่านลี่ สีหน้าฮ่องเต้น้อยจริงจังตั้งอกตั้งใจฟังอยู่

หวังทงตะโกนเสียงดังขึ้นว่า

“ทุกคน ปืนไฟยิงไม่ออกเพราะทำไม่ดี พวกเราหากมีปืนไฟดีๆ สักกระบอก ดินปืนมีเพียงพอ ยิงได้แม่นยำ แต่ลูกธนูก้มากพอ สองฝั่งรุกพร้อมกัน ทุกคนว่าใครชนะใครแพ้?”

“ย่อมเป็นธนูชนะ! แค่เผชิญหน้ากัน ปืนไฟทางนั้นก็ถูกยิงตายแล้ว!”

“หากว่าสิบต่อสิบ ร้อยต่อร้อยล่ะ?”

เด็กๆ พากันอึ้งไป ต่างมีสีหน้าครุ่นคิด ครั้งนี้คนที่พูดคนแรกก็คือลี่เทาผู้นั้น เขาวิเคราะห์ท่าทางสงสัยขึ้นว่า

“หากสู้กันขึ้นมาจริง ธนูมือดีที่สุดครั้งหนึ่งอย่างน้อยก็ยิงได้ 11 ดอก หากจะยิงอีกทั้งแขนและมือล้าจนทนรับไม่ไหว อย่างน้อยต้องพักหนึ่งชั่วยามขึ้นไป ปืนไฟนั่นกลับไม่ต้อง…หากในสนามรบ ก็พูดยากอยู่”

ลี่เทาวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งมากอยู่ บรรดาเด็กๆ บางคนฟังแล้วก็สนุก บางคนก็ครุ่นคิดตาม กำลังจะพูดต่อ เวลาพักก็หมดลง ครูฝึกก็เข้ามาตะโกนให้รวมตัวกันบนสนาม ทุกคนรีบลุกวิ่งไปทางนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่เดินไม่เร็วด้วยกำลังครุ่นคิดหนัก

ครั้งนี้กลับเป็นหลี่หู่โถวที่ดึงแขนหวังทงไว้ ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า

“พี่หวัง ปืนไฟเราทำไมหลายกระบอกยิงไม่ออกล่ะ?”

“กินไม่อิ่ม เสื้อผ้าไม่อุ่น ใครจะต้องใจทำงานกันล่ะ ของที่ทำออกมายิงไม่ออกก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย แม้ว่าข้างหน้าสู้รบกัน ตายไปเป็นพันเป็นหมื่นคน คนทำปืนไฟและคนที่คุมงานด้านนี้ ล้วนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นใครจะตั้งใจทำให้ดีกันล่ะ”

ได้ยินดังนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เดินอยู่ด้านหน้าก็หันหน้ามามอง จากนั้นก็หันหน้ากลับไป

เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้แล้ว หวังทงก็กุมขมับ คิดในใจว่าเป็นแค่เรื่องคุยเล่นกันระหว่างเรียน แต่ตนเองดูเหมือนทำเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว

*****

ตอนบ่ายไม่มีอะไร พอถึงตอนค่ำ จางซื่อเฉียงได้รายงานหวังทงถึงเรื่องได้พบเห็นมาเรื่องหนึ่งว่า

“เถ้าแก่เซี่ยร้านหอรุ่งเรือง ตอนบ่ายเหมือนเจอเรื่องอะไรมา ท่าทางรีบร้อน สีหน้าย่ำแย่อย่างมาก”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version