Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 106

ตอนที่ 106 ขึ้นฝั่งรื้อสะพาน ลูกธนูดังห่าฝน

ข้างกายโอรสสวรรค์ใช่ว่าจะเตรียมการคุ้มกันแน่นหนาทั้งที่ลับที่แจ้ง และยังมีบรรดาองครักษ์ฝ่ายในไม่ใช่หรือ? ไยตอนนี้ถึงไม่เห็นมีใครโผล่มาสักคน หวังทงดึงเสื้อมาพันแขนไป ก็คิดด่าในใจไปด้วย

มีดดาบเล่มใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นฟันขาด แทงถึงตายเลยทีเดียว แขนพันเสื้อไว้อย่างน้อยพอจะรับครั้งแรกไว้ได้ จากนั้นก็สละชีพจู่โจมกลับ นี่ไม่ใช่ความสามารถที่ฝึกได้จากลานฝึก แต่เป็นประสบการณ์การทะเลาะวิวาทบนท้องถนนในตอนนั้น

เทียบกันแล้ว ลี่เทากับซุนซิงและเด็กตัวใหญ่กลับลนลานมากกว่า พวกเขาให้ลงมือก็กล้าลงมือ แต่มือเปล่าปะทะอาวุธมีคมของอีกฝ่าย ก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจกันมาก่อน

และพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความจำเป็นอะไรต้องมาสู้ตายที่นี่ อย่างมากก็แค่วิ่งหนี แต่ถนนแคบเช่นนี้ ขาของฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนั้นอีก แปดเก้าส่วนจากสิบส่วนจะต้องถูกไล่ตามทันแน่ ถึงตอนนั้นก็คงยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม

“ท่านพ่อ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ รีบเปิดประตูให้ผู้มีพระคุณข้างนอกเข้ามา!”

“แม่ทูนหัวของพ่อ เจ้าอย่าได้โง่เลย เจ้าเด็กพวกนี้จะไปต้านพวกจวนเสนาได้อย่างไร รีบพาน้องเจ้าปีนกำแพงด้านหลังบ้านออกไป รอให้น้าเจ้าช่วยคืนเงินให้ ค่อยๆ เจรจากัน…”

“ข้าจางหงอิงมิใช่คนลืมคุณคน เด็กพวกนั้นอายุก็ยังน้อย จะให้พวกเขารับมืออยู่ข้างนอกได้อย่างไร…”

ด้านในบ้านด้านหลังมีปากเสียงกันดังทะลุออกมา เสียงด้านหลังนั้นดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ที่กำลังร้อนรนกันอยู่ สองตาจับจ้องเบื้องหน้า หูก็เงี่ยฟังเบื้องหลัง

เสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังลั่น คนข้างนอกได้ยินชัดเจนว่าเป็นเสียงตบหน้า ได้ยินเสียงผู้ชายด่าอย่างโมโหว่า

“เจ้ามันไม่ได้เรื่อง รักษาบ้านเราไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว ยังจะไปสนใจคนอื่นอีก รีบตามน้าเจ้าไป!!”

หญิงสาวแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยวที่เมื่อสักครู่ไม่ยอมอ่อนข้อให้บรรดาบ่าวผู้ชายชั่วร้ายเหล่านั้น ส่งเสียงร้องไห้ดังขึ้น เสียงค่อยๆ ไกลออกไป ดูเหมือนว่าถูกคนลากไป

คนที่ช่วยเมื่อครู่แล้งน้ำใจเช่นนี้ เด็กๆ มองหน้ากัน ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวลดลงไปหลายส่วน บรรดาผู้คุ้มกันตรงข้ามก็กดดันเข้ามาเรื่อยราวกับแมวแหย่หนู

ยังมีคนตะโกนว่า

“รีบส่งคนไปด้านหลังบ้าน อย่าให้เตาปรุงยาที่คุณชายหมายตาไว้หนีไปได้”

หวังทงกัดฟันหันไปตะโกนบอกหลี่หู่โถวว่า

“หู่โถว เดี๋ยวพอปะทะกัน เจ้าก็พาหวงอี้จวินวิ่งหนีไปก่อน รู้ใช่ไหม!”

เห็นสีหน้าจริงจังของหวังทงแล้ว หลี่หู่โถวที่เดิมมีความคิดว่าจะอยู่ช่วยปะทะด้วยก็หมดไป รีบพยักหน้ารับ ผู้คุ้มกันจวนเสนาที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวพอได้ยินหวังทงตะโกนเช่นนั้น ก็ยกอาวุธในมือขึ้น คำรามเสียงดังก่อนจะกระโจนเข้าใส่ว่า

“มารดาเจ้าสิ ยังคิดหนี หนีไม่รอดหรอก!!”

หวังทงกัดฟันยกมือขึ้นกัน คิดจะรับดาบไว้ก่อน แต่ตอนที่คนผู้นั้นคำรามเสียงดังขึ้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศหวีดดังขึ้นมาจากปากทาง

ดาบนั้นมิได้ฟันลงบนแขน แต่กลับมีโลหิตอุ่นร้อนกระจายทั่วแขนและใบหน้าแทน จากนั้นก็มีเสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น เสียงร่างคนกระแทกพื้นพร้อมกับเสียงร้องด้วยความตกใจ

หวังทงยกแขนลง ก็เห็นว่าที่ลำคอคนที่ถือดาบฟันลงมาเมื่อครู่นั้นมีลูกธนูกำลังสั่นไม่หยุด คอถูกลูกธนูแทงทะลุ ล้มลงปักลงกับพื้น

สถานการณ์เกิดขึ้นฉับพลัน บรรดาเด็กๆ พากันตื่นตกใจ คนฝั่งตรงข้ามก็รีบหยุดมือ มองไปรอบๆ อย่างตกใจและสงสัย

ซูเปียวในร้านน้ำชาเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ จึงได้ร้องตะโกนอยู่ที่หน้าประตูร้านน้ำชาว่า

“วางอาวุธในมือลงลง รีบคุกเข่าลงๆ!!”

อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่รู้การต่อสู้ และยังมีลูกธนูที่มาจากไหนไม่รู้ เห็นชัดว่าเป็นสถานที่อันตราย อย่างไรก็ต้องวางอาวุธ แต่ภาพที่คุณชายกับพ่อบ้านรองตำหนิซูเปียวนั้นทุกคนล้วนเห็นกันอยู่ คำพูดซูเปียวไหนเลยจะมีคนฟัง ไม่มีใครสนใจเขา

ในช่วงเวลาที่ลังเลสงสัยอยู่เพียงเล็กน้อย เสียงหวีดแหวกอากาศก็ดังขึ้นสองสาย เสียง ‘ฉึก ฉึก ฉึก’ ดังติดต่อกัน ผู้คุ้มกันที่ล้อมเด็กๆ เป็นครึ่งวงกลมก็ถูกยิงล้มลงในพริบตาเดียว ที่คอและที่หน้าอกล้วนมีลูกธนูปักอยู่อย่างแม่นยำ บรรดาเด็กๆ รู้สึกเย็นวาบ มองซ้ายมองขวา พบว่าบนกำแพงที่ติดถนนสองด้านกับบนหลังคาบ้านล้วนมีชายฉกรรจ์ง้างธนูรออยู่ไม่น้อย

หวังทงรู้สึกโล่งใจในทันที พริบตาเดียว ยิงผู้คุ้มกันตายไปถึง 20 กว่าคน พวกจวนเสนาก็ลนลานกันไปหมด

พวกระดับบ่าวรับใช้ ยามปกติให้พวกเขาไปรังแกคนดีก็เป็นเรื่องถนัดอยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนสนามรบ ทุกคนจึงพากันขวัญหนีดีฝ่อ

การใช้อาวุธมีดดาบในเมืองหลวงมีโทษถึงขั้นประหารทั้งโคตร บ่าวรับใช้พวกนี้เดิมก็ไม่ได้คิดว่าในซอยเล็กๆ แบบนี้ยังถูกธนูยิงตายได้

พวกที่กำลังลนลานอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรก็ถอยกลับไปทางร้านน้ำชา แต่ก็มีบางคนที่ตกใจจนหน้ามืดตามัว ในมือยังถือดาบสั้นอยู่ คำรามพุ่งเข้าใส่พวกหวังทง

คนผู้นี้อยู่ด้านหลังของแถว ตอนคำรามพุ่งออกมา ก็มีคนขี่ม้ารีบทะยานออกมาจากมุมถนน คนถือดาบสั้นผู้นั้นห่างจากหวังทงเพียงแค่สองก้าว ม้าตัวนั้นก็วิ่งอยู่เบื้องหน้า

หวังทงได้ยินเสียงดัง ‘ฉับ’ ชัดเจน ม้าทะยานไปอีกสิบกว่าก้าวก็ถูกรั้งให้หยุด บนหลังม้าคือเติ้งจิ้น องครักษ์ฝ่ายซ้ายกองกำลังมังกรรักษาพระองค์ ดาบเล่มหนาในมือเขายังเปี้อนโลหิตเล็กน้อย

ทว่าผู้คุ้มกันจวนเสนาที่หน้ามืดตามัวพุ่งเข้าใส่นั้นกลับถูกฟันขาดออกมาตั้งแต่ช่วงบ่าพร้อมกับศีรษะ ล้มลงทันที บาดแผลขนาดใหญ่ โลหิตสดๆ พุ่งออกมา บรรดาคนของจวนเสนาในร้านน้ำชาก็ล้วนแต่เหงื่อแตกพลั่ก ตกใจจนตัวแข็ง ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน

ตอนนั้นเอง พวกบ่าวรับใช้แต่งตัวชุดธรรมดาถืออาวุธกรูกันเข้ามาทั้งสองข้าง แยกคนทั้งสองแถวออกจากกัน จะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ ล้อมคนของจวนเสนาไว้ได้อย่างรวดเร็ว

สถานการณ์นองเลือดเมื่อครู่ เด็กๆ สามารถปรับตัวตามได้เร็ว มีแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ยกมือปิดตาแน่น ค่อยๆ แหวกนิ้วแอบดู

บรรดาเด็กๆ ไม่โง่ พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้ว่ามีคนมาช่วยพวกเขาแล้ว ทุกคนก็โล่งใจ หวังทงได้ยินคนข้างหลังคุยโวขึ้นว่า

“นี่ไม่เท่าไร ตอนนั้นข้ายังเคยได้เห็นกองทหารปะทะกับพวกนอกด่าน นั่นสิเรียกว่าเลือดไหลนองเป็นสายน้ำ”

“เจ้าขี้โม้มั้ง ที่พวกเจ้าอยู่ตรงนั้นไม่มีพวกนอกด่านรุกรานมานานหลายสิบปีแล้ว เจ้าจะเห็นจากที่ไหน…”

องครักษ์ฝ่ายซ้ายเติ้งจิ้นรีบเหน็บดาบกับอานม้า ลงจากหลังม้าเดินมา เติ้งจิ้นเป็นชายร่างสูงใหญ่ ไม่เพียงแต่มีใบหน้าสี่เหลี่ยม รูปร่างทั้งตัวก็ยังเป็นเหลี่ยม สูงใหญ่กำยำมากกว่าคนทั่วไป แตใบหน้าองอาจน่าเกรงขามตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความร้อนรน รีบเดินมา สายตาจับจ้องที่ว่านลี่

ท่าทางเหมือนกำลังจะคุกเข่าลงโขกศีรษะขอประทานอภัยโทษ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับจ้องตาเขม็งโบกมือส่งสัญญาณว่าอย่าเข้ามา เติ้งจิ้นลังเลครู่หนึ่ง หวังทงไม่สนใจอะไรแล้วตอนนี้ เดินขึ้นหน้าไปคว้าเสื้อเกราะของเติ้งจิ้นไว้ ตะโกนด้วยความโมโหว่า

“พวกเจ้าทำไมมาช้าขนาดนี้ ช้าอีกก้าวเดียว เจ้าและข้าต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตรแล้ว!!”

เติ้งจิ้นสูงกว่าหวังทงเกือบครึ่งศีรษะ แต่เมื่อถูกคว้าเสื้อเกราะไว้กลับไม่กล้าขัดขืน สีหน้ารู้สึกผิดอธิบายเสียงอ่อยว่า

“เรื่องของฝ่าบาทคนรู้น้อยมาก ตอนพวกเจ้าวิ่งออกมา เจ้าพวกบ้าที่เฝ้าอยู่นั่นยังคิดว่าพวกเจ้าออกไปเล่นสนุกกัน เป็นเรื่องของลานฝึก”

นี่เรียกได้ว่า เกิดขึ้นอย่างผิดที่ผิดทาง ไม่อาจคาดการณ์ได้ หวังทงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธก็ค่อยๆ ลดลง ปล่อยมือลง เติ้งจิ้นที่มองไปทางฮ่องเต้ว่านลี่และมองไปรอบๆ พอเห็นบรรดาบ่าวรับใช้ที่ยืนตัวแข็งค้างอยู่หน้าประตูร้านน้ำชาก็หันมากระซิบว่า

“ใต้เท้าหวัง หรือว่าทั้งหมด…”

แม้เพียงพูดยังไม่จบ แต่ประกายเหี้ยมโหดและท่าทางปาดด้วยมือเปล่าก็แสดงความหมายชัดเจน ในตอนนั้นเอง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แทรกตัวเข้ามา เงยหน้าตรัสว่า

“ปล่อยคนที่เหลือไป เรียกคนสำนักบูรพามา ให้พวกเขาบันทึกคำให้การทุกคนจากนั้นค่อยปล่อยไป หากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้น หวังกั๋วกวงถวายฎีกา เกรงว่าเราคงต้องถูกเสด็จแม่และท่านจางตำหนิ แม้แต่ต้าปั้นก็คงไม่ช่วยเราขอร้อง”

หากฆ่าคนปิดปาก ย่อมไม่อาจปิดบังเสนาบดีกรมปกครองอย่างหวังกั๋วกวงได้ ถึงตอนนั้นเขาถวายฎีกาขึ้นมา ว่านลี่แม้เป็นถึงฮ่องเต้ แต่ก็ไม่อาจอธิบายได้ง่ายนัก

“ทำตามที่เราบอก เรื่องวันต้องปิดเป็นความลับ ไม่เช่นนั้นเราคงออกมาจากวังไม่ได้อีก หากเป็นเช่นนั้น ก็น่าเบื่อแย่”

พูดกันชัดๆ ก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โต จนทำให้พระองค์ไม่อาจมาที่ลานฝึกได้อีก อย่างไรที่นี่สำหรับว่านลี่แล้ว ก็สนุกกว่าในวังมากนัก หากเพราะเรื่องนี้ทำให้ออกจากวังไม่ได้ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย

เรื่องน่าตื่นเต้นและอันตรายในวันนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่สนุกมาก เขาเพิ่งรู้สึกว่า หากอยู่ที่ลานฝึกนี่ต่อไป วันหน้าอาจจะได้เจอเรื่องสนุกแบบนี้อีกมาก

“ทำตามที่เราบอก รีบให้ทุกคนกลับไป อย่าได้เสียเวลาการฝึกรอบบ่าย” ฮ่องเต้ว่านลี่พูดต่ออีกสองสามคำ จากนั้นก็หันไปหาหลี่หู่โถว หวังทงกับเติ้งจิ้นมองตากัน พยักหน้า ปิดข่าวนี้เป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน

“ทุกคนรีบกลับลานฝึกกัน เรื่องนี้ทางการย่อมให้ความเป็นธรรม อย่าให้ต้องโดนครูฝึกลงโทษกันเลย!”

หวังทงตะเบ็งเสียงดัง บรรดาเด็กๆ ทั้งตื่นเต้น หวาดกลัวและเหน็ดเหนื่อย จมูกเขียวช้ำหน้าตาบวมปูม ได้รับบาดเจ็บไปกันเล็กน้อยก็ต้องกลับไปจัดการบาดแผล หวังทงตะโกนเช่นนี้ พวกเขาก็ประคองกัน ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันตอนเดินกลับ หวังทงสังเกตเห็นว่า ลี่เทากับซุนซิงสองคนที่เป็นเด็กที่โตเกินวัยกว่าคนอื่นเหมือนจะดูอะไรออก

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจอะไรกับเรื่องนี้ หวังทงกันไปบอกกับเติ้งจิ้นว่า

“ศพพวกเจ้าเอาไป คุณชายผู้นั้นก็ช่างเขา อย่างไรก็ไม่มีทางทำอะไรได้ คำให้การที่ฝ่าบาทต้องการนั้นต้องจัดการให้เรียบร้อย ขุนพลเติ้งเข้าใจไหม?”

เติ้งจิ้นสีหน้าหน้าจริงจังพยักหน้ารับ หวังทงประสานมือกล่าวอำลา เดินไปได้สองสามก้าว ก็นึกได้ หันหลังกลับมาอีก เรียกเติ้งจิ้นไว้พร้อมกับกล่าวด้วยความลังเลว่า

“สำนักบูรพาหากเข้ามาจัดการด้วย เฝิงกงกงก็ย่อมต้องทราบ จางกงกงกับโจวกงกงก็ต้องทราบกัน”

เติ้งจิ้น องครักษ์ฝ่ายซ้ายกองกำลังมังกรรักษาพระองค์พยักหน้าเคร่งเครียด ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเรียกร้องดังอย่างอ่อนระโหยโรยแรงและสั่นเครือดังแว่วออกมาจากร้านน้ำชาว่า

“บิดาข้าเป็นเสนาบดีกรมปกครอง เสนาหวังกั๋วกวง ใครกล้าแตะต้องข้า…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version