Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 112

ตอนที่ 112 อ้อมกอดหญิงงามเป็นสถานที่ตาย จิตใจจักรพรรดิย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง

การปลดเสนาบดีกรมปกครองถือเป็นเรื่องใหญ่ ใช่ว่าฮ่องเต้ตรัสแล้วจะเป็นเช่นนั้นทันที หากต้องรอให้ในวังต้องออกราชโองการ คนที่ถูกปลดก็ต้องเขียนคำร้อง ‘ขออำลากลับบ้านเกิด’ ผ่านกระบวนการไม่น้อยจึงจะเป็นผล

หวังกั๋วกวง เสนาบดีกรมปกครองผู้นี้ยังไม่ออกจากวังหลวง คนที่สนใจเรื่องพวกนี้ในวังหลวงต่างก็รู้ข่าวนี้กันแล้ว แพร่กระจายไปทีละลำดับอย่างรวดเร็ว ตอนที่ราชโองการในวังยังไม่ทันได้ถ่ายทอดออกไป ข่าวก็แพร่กระจายไปนอกวังแล้ว

วันอากาศดีกลางฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนในจวนเสนาตั้งแต่เจ้านายยันบ่าวรับใช้ยังไม่รู้ว่าหวังกั๋วกวงถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว กำลังเดินทางกลับมาด้วยสภาพใกล้จะหมดแรงเต็มที ทุกคนในจวนเสนายังคงเอ้อระเหยกันอยู่อย่างสบายใจ

สาวใช้ในจวนล้วนรู้ว่าเมื่อวานคุณชายออกไปข้างนอกและถูกรังแก วันนี้กำลังนั่งเซ็งอยู่ในเรือนเล็กของตนเองทางนั้น

บ่าวที่พอจะมีความละอายใจอยู่บ้างก็ไม่อยากจะเข้าใกล้เรือนเล็กของหวังไท่ไหลนัก เพราะมักมีเสียงประหลาดเล็ดลอดออกมาประจำ ช่างน่าไม่อายจริงๆ

วันนี้ก็เช่นกัน สาวใช้ที่เดินผ่านสองสามคนต่างพากันอุดหู วิ่งผ่านไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็มีบ่าวบางคนที่ยื่นหน้ายื่นตาเข้าไปแอบฟัง แต่ก็ถูกบ่าวอายุมากกว่าที่เดินผ่านมาไล่ด่าเปิงไป

เสียงที่ดังแว่วออกมายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงด้านใน เข้าไปในห้องนอนของหวังไท่ไหล รองเท้าก็ไม่ต้องสวม บนพื้นปูพรมผืนหนาที่ได้มาจากแดนตะวันตก ในห้องยังเผากำยานหอมกระตุ้นอารมณ์อีกด้วย สิ่งของสำหรับเรื่องอย่างว่านั้นวางกระจายอยู่โดยรอบสี่ทิศ ของบางอย่างแม้แต่หอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เมืองหยางโจวและซูโจวก็ยังไม่แน่ว่าจะมี

หวังกั๋วกวงแต่ไรมาก็ไม่ค่อยชอบการกระทำเหลวไหลเช่นนี้ของบุตรชายคนเดียว พ่อลูกห่างกันมาก จะพบกันเฉพาะสถานการณ์ที่ไม่พบไม่ได้เท่านั้น เรือนของหวังไท่ไหลจึงกลายเป็นสถานที่ส่วนตัวเร้นลับไป

ความจริงในห้องนั้น อย่าว่าแต่รองเท้าเลย แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ หญิงสาวสองคนโอบกอดหวังไท่ไหลที่นอนอยู่ตรงกลาง กระซิบระริกระรี้กันไม่หยุด

สีหน้าหวังไท่ไหลฉายแววเหน็ดแหนื่อยไม่น้อย แต่จิตใจคึกคักอย่างมาก สองมือลูบไปก็กล่าวเสียงดังไปว่า

“สองวันมานี้ฝึกพลังไตรสุริยันได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เซียนสาวทั้งสอง รู้สึกได้ไหม”

หญิงงามสองคนนั้นก็ส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกตอบ ซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอดของหวังไท่ไหล ท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามน่าเอ็นดูยิ่ง มีสาวคนหนึ่งกล่าวออดอ้อนขึ้นว่า

“คุณชายช่างแข็งแกร่ง เราสองพี่น้องรับไม่ไหวแล้ว รีบหาคนมาช่วยเถอะเจ้าค่ะ จะได้มาช่วงเราสองคนพี่น้องแบ่งเบาภาระ…”

หวังไท่ไหลถอนหายใจยาว ก่อนจะกล่าวอย่างเจ็บแค้นว่า

“เตาปรุงยาที่พบบนถนนทักษิณเมื่อวานใบนั้นหากเอากลับมาด้วยได้ คุณชายเช่นข้าจะต้องฝึกสำเร็จผลยิ่งใหญ่เป็นแน่ หากคิดจะเสริมธาตุก็ต้องใช้หญิงสาวที่แข็งกร้าว เสี่ยวเหลียนล่ะ เมื่อครู่ออกไปทำไม่ยังไม่กลับมา รอนางมาร่วมฝึกพร้อมกันอีกนะ”

พูดถึงตรงนี้ ก็มีเสียงรับคำอ่อนโยนออดอ้อนดังมาทางหน้าประตูว่า

“คุณชาย เสี่ยวเหลียนกลับมาแล้วเจ้าค่ะ คนที่บ้านพี่ลวี้จู๋ฝากข้อความมาด้วยเจ้าค่ะ”

หวังไท่ไหลโบกมือขึ้นอย่างทนรอไม่ไหวเอ่ยว่า

“มีเรื่องอะไรกัน รีบถอดเสื้อผ้าแล้วเข้ามาพูดข้างใน ข้ายังจะต้องฝึกพลังพร้อมเจ้านะ!”

เสี่ยวเหลียนผู้นี้อายุไม่มากนัก แต่กลับยืนถอดเสื้ออยู่ที่ประตูอย่างไม่มีความเอียงอายแม้สักนิด เดินนวยนาดเข้ามา พูดเสียงเบาๆ ว่า

“พี่ลวี้จู๋ ท่านลุงใหญ่ที่บ้านท่านฝากมาว่า สุนัขตัวนั้นที่เลี้ยงไว้กัดคนแล้ว มีคนมาเอาเรื่องถึงที่บ้าน เกรงว่าจะยุ่งยาก ดังนั้นรีบสังหารสุนัขนั้นซะ”

คุณชายผู้นี้ยิ่งทนรอต่อไปไม่ไหว โบกมือขัดว่า

“ก็แค่ชีวิตสุนัขตัวหนึ่ง ถึงต้องส่งคนมาเอาเรื่องถึงที่บ้าน เรื่องมากจริง มานี่เร็วๆ!”

หญิงสาวสองคนที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหวังไท่ไหลได้ยินวาจาของเสี่ยวเหลียนแล้ว ก็สบตากัน แขนที่โอบรัดคอเขาไว้อยู่ๆ ก็แน่นขึ้น รัดแน่นอย่างรวดเร็ว

หวังไท่ไหลอ้าปากค้างกระตุกอย่างแรง สองตาเบิกค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดจะมองซ้ายมองขวาว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กำลังแขนของสาวน้อยสองคนนั้นกลับทรงพลังอย่างมาก หวังไท่ไหลก็มีเพียงร่างกายที่เป็นเหมือนไหสุราเปล่า ไม่อาจดิ้นรนขัดขืน ส่งเสียงร้องอึกอักดังติดกัน เสี่ยวเหลียนผู้นั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าปั้นเป็นก้อนกลมอุดปากเขาไว้ ยิ้มกล่าวว่า

“พี่สาวทั้งสอง ท่านลุงบอกว่า เป็นเพราะตระกูลหวังไท่ไหลสูญสิ้นอำนาจ เกรงว่าจะถูกในวังลงโทษ ดังนั้นจึงผูกคอตายแล้ว…”

ลวี้จู๋รู้สึกได้ว่าร่างกายที่ดิ้นรนอยู่นั้นค่อยๆ เบาลง ใจก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เอ่ยขึ้นว่า

“ที่เรือนซ้าย มีผ้าขาวสำหรับมัดคน ไปเอามา ใช้กับคุณชายได้พอดี”

……

บ่าวในจวนเสนาล้วนรู้ว่า คุณชายผู้นี้แม้จะตรากตรำได้ แต่ร่างกายไม่แข็งแรงนัก กลางวันกลางคืนก็เอาแต่ปิดประตูนอน ใครไปรบกวนก็มักจะถูกด่าเปิง

ดังนั้นสาวๆ ที่คอยรับใช้คุณชายในห้องบอกว่าออกไปพบญาติที่อยู่ในละแวกใกล้ๆ นี้ สาวใช้คู่กายเช่นเสี่ยวเหลียนก็จะออกไปซื้อของบำรุงมาให้คุณชายตุ๋นดื่ม คนดูแลประตูข้างก็ไม่ได้สงสัยอะไร ก็ปล่อยออกไป

พอตกบ่าย คนที่ควรรู้ข่าวเรื่องการปลดเสนาหวังที่ควรรู้ก็รู้กันหมดแล้ว จวนเสนาทั้งจวนก็อยู่สภาพวุ่นวาย มีบางคนฉวยหยิบเงินทองของมีค่าหนีไป มีบางคนผูกคอตาย มีบางคนมารวมตัวร้องไห้อยู่ข้างนาย อลหม่านยิ่งนัก ไม่มีใครสนใจเรือนนั้นสักคน

หวังกั๋วกวงกลับสงบนิ่งได้อยู่ไม่น้อย หลังปรึกษาหารือกับขุนนางที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาในราชสำนักที่สนิทกันครู่หนึ่ง จึงได้ตัดสินใจเส้นทางจากนี้ไปของตนเอง จากนั้นก็ส่งคนไปหาลูกชาย เสือร้ายไม่กินลูกตัว แม้ว่าหวังไท่ไหลจะก่อเรื่องใหญ่มหันต์ แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่มา ดังนั้นจะรีบให้หวังไท่ไหลหนีไปก่อน

สถานการณ์เช่นนี้มีให้เห็นกันบ่อยไป ขอเพียงสามารถหนีไปได้ก่อนเจ้าหน้าที่มาจับกุม ทุกคนก็จะไว้หน้ากัน ก็จะไม่บีบคั้นกันมากเกินไปนัก

คิดไม่ถึงว่าพอไปถึงเรือนเล็ก ก็พบกว่าคุณชายหวังได้ใช้ผ้าขาวผูกคอตายในห้องของตนเองไปแล้ว ข่าวนี้ทำให้คนในจวนเสนาต้องตกอยู่ในความเศร้าโศกอีกระลอก

หวังกั๋วกวงหลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ในใจคิดว่าบุตรชายตนแม้จะเหลวไหล แต่ก็พอมีความกล้าหาญที่จะรับความผิดพวกนี้

เรื่องสาวงามในห้องที่คุณชายเลี้ยงดูไว้หายตัวไปไม่เห็นแม้เงา เงินทองในห้องก็กวาดเอาไปเกลี้ยง คงเป็นเพราะขี้ขลาดเกรงกลัวความผิด จึงได้หอบเอาเงินทองหนีไป เรื่องเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เห็นสภาพความวุ่นวายพวกนี้แล้ว ใครจะไม่สนใจผู้หญิงที่หนีไปพวกนั้นกัน

แต่หญิงทำความสะอาดที่เข้าไปทำความสะอาดเหล่านั้น จำได้ว่าในห้องนั้นมีพุทธรูปเงินวางอยู่ วางอยู่ในซอกลับ แต่พอเข้าไปหาดูกลับหาไม่พบแม้เงา อดไม่ได้สบถด่าขึ้น นังหญิงแพศยาพวกนั้น ตอนจากไป อะไรมีค่าก็กวาดไปเกลี้ยง

****

ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จที่ลานฝึกดังเช่นปกติ แต่เฝิงเป่ามหาขันทีหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์และมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกลับยังไม่ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานกัน

เพราะว่าไทเฮาฉือเซิ่งมีพระประสงค์ให้เข้าเฝ้าตอนพระกระยาหารกลางวัน ทั้งสองย่อมไม่อาจขัดพระบัญชา รีบไปในทันใด

เรื่องหารือในคณะเสนาบดีใหญ่ เรื่องใหญ่ในราชสำนัก ทุกการกระทำและคำพูดของฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนมีคนทูลรายงานมาที่ไทเฮาฉือเซิ่ง หากฮ่องเต้ว่านลี่ทำอันได้ไม่เหมาะสมหรือผิดพลาด ยังถึงกับต้องถูกลงโทษให้คุกเข่าหน้าป้ายบูชาดวงพระวิญญาณของฮ่องเต้หลงชิ่ง และให้คัดลอกคำสอนคัมภีร์ปรัชญาเมธีหลายรอบ

เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งรีบรุดมาเข้าเฝ้าไทเฮา พอมาถึงก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไป เฝิงป่ามองไปยังขันทีน้อยผู้หนึ่งข้างๆ เสา ขันทีน้อยผู้นั้นส่งสายตาเป็นนัยให้

เห็นดังนั้น เฝิงเป่าก็รู้ได้ทันทีว่าไทเฮาทรงกริ้วแล้ว ปกติเมื่อทั้งสองมาที่นี่ ไทเฮาก็ละสั่งให้บ่าวจัดที่นั่งให้ แต่วันนี้ไม่มี

“ท่านจาง เฝิงต้าปั้น อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝังฝ่าบาทไว้กับพวกท่านก็เพื่อให้ท่านทั้งสองได้ช่วยดูแลบ้านเมืองให้มั่นคงในยามที่ฝ่าบาทยังเยาว์วัย แต่วันนี้ฝ่าบาททรงปลดขุนนางผู้ใหญ่อย่างเสนาหวังด้วยเรื่องเล็กน้อย เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่ตักเตือน”

จักรพรรดิย่อมใส่ใจปวงประชาราษฎร์ทั่วสี่ทิศ หวังไท่ไหลเอาแต่ใจตัว ทำตัวเหลวไหล บีบคั้นให้หญิงสาวที่ดีต้องตาย ในสายพระเนตรของไทเฮาแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งสบตากัน ยังไม่ทันได้ทูลตอบ ไทเฮาก็ตรัสต่อว่า

“รายงานจากสำนักบูรพา เมื่อวานก็ควรส่งมารายงานเรา เฝิงเป่าทำไมไม่รายงาน ฝ่าบาททรงทำเรื่องเช่นนี้ ท่านอยู่สำนักส่วนพระองค์มาหลายปีไม่รู้ความหนักเบาของเรื่องนี้หรือ?”

เฝิงเป่ายิ้มเฝื่อน คุกเข่าลงกับพื้น ทูลตอบอย่างนอบน้อมว่า

“กราบทูลไทเฮา เมื่อวานฝ่าบาททรงมีพระบัญชาหนักแน่นให้ข้าน้อยปิดเรื่องไว้ ตรัสว่าวันนี้รายงานได้ พระบัญชาฝ่าบาท และก็แค่วันเดียว บ่าวคิดว่าทำตามพระประสงค์จะดีกว่า ดังนั้นจึงได้เก็บเรื่องไว้”

แม้ว่ามีม่านกั้นไว้ แต่ไม่ว่าเฝิงเป่าหรือจางจวีเจิ้งต่างรู้สึกได้ถึงความกริ้วของไทเฮา เฝิงเป่ารีบโบกมือไปรอบตัวก่อนจะส่งสายตาสั่ง

นางกำนัลและขันทีรอบๆ ก็รีบถอยออกไป รอจนเหลือแค่สามคน เสียงไทเฮาก็เข้มขึ้นอีกมาก ตรัสว่า

“เราจะไปศาลบรรพชนทูลต่อบุรพกษัตริย์และอดีตฮ่องเต้ ฮ่องเต้อายุน้อยแค่นี้ก็เหลวไหลเช่นนี้ ท่านจางกับเฝิงต้าปั้นไม่ทัดทาน ท่านเป็นถึงมหาอำมาตย์และพระอาจารย์กลับเงียบไม่พูดอะไรงั้นหรือ?”

ในตำหนักไม่มีคนนอก จางจวีเจิ้งรีบก้าวออกมา เสียงดังขึ้นขัดพระดำรัสไทเฮา ก้มตัวลงกล่าวว่า

“กราบทูลไทเฮา หวังกั๋วกวงแต่งตั้งคนของตน รับสินบน แอบสั่งการให้ขุนนางพวกตนโจมตีศัตรูของตน บุตรชายคนเดียวของเขายิ่งเหลวไหลเหิมเกริม ก็เป็นเพราะเป็นขุนนางสามรัชสมัยจึงทำให้เขายังอยู่มาได้ถึงบัดนี้ จากเรื่องดังกล่าวนี้ การตัดสินพระทัยของฝ่าบาทไม่ได้บกพร่องแต่อย่างใด…”

ไทเฮาฉือเซิ่งหลังม่านส่งเสียง ‘ฮึ’ เยียบเย็น แต่ไม่ตรัสอันใด จางจวีเจิ้งยืดตัวขึ้นตรงก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ทูลไทเฮา กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่า การปลดขุนนางคนสำคัญอย่างเสนาบดีกรมปกครองในระหว่างประชุม อดีตฮ่องเต้ก็เคยทรงทำเช่นนี้”

ในพระตำหนักเงียบสนิทผิดแผกจากยามปกติ อดีตฮ่องเต้นั้นหมายถึงฮ่องเต้หลงชิ่ง พระอุปนิสัยอ่อนแอไม่แสดงออกของพระองค์ เรื่องใหญ่น้อยในราชสำนัก ก็ล้วนต้องให้สำนักเสนาบดีใหญ่และสำนักส่วนพระองค์ออกหน้าจัดการเอง บรรดาขุนนางในราชสำนักล้วนไม่เคารพในฮ่องเต้หลงชิ่ง มหาอำมาตย์กาวก่งในสมัยนั้นยังเคยทูลว่าฝ่าบาทไม่ต้องสนพระทัยราชกิจ กิจในเรื่องการมีพระโอรสให้มากเป็นเรื่องที่พระองค์ควรกระทำ

ไทเฮาฉือเซิ่งทรงเข้มงวดกับฮ่องเต้ว่านลี่มากเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าไม่อยากให้ฮ่องเต้ว่านลี่อ่อนแอดังเช่นพระราชบิดา เฝิงเป่าที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นรู้สึกได้อย่างเร็วว่าพระอารมณ์ไทเฮาผ่อนลงแล้ว จึงกล่าวว่า

“วันนี้ฝ่าบาทในสำนักคณะเสนาบดี บ่าวเหมือนเห็นพระบารมีดังเช่นเสด็จปู่ของฝ่าบาท…”

เสด็จปู่ของฝ่าบาท ก็คือฮ่องเต้เจียจิ้ง ปกครองแผ่นดินมายาวนานถึง 40 กว่าปี บรรดาขุนนางต่างอยู่ใต้พระราชอำนาจ ทรงมีอำนาจเด็ดขาด พอได้ยินเฝิงเป่ากล่าวเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งหลังม่านก็ทรงนิ่งไป พบว่าความกริ้วนั้นได้หายไปหมดสิ้นในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version