ตอนที่ 133 ตรึงกำลังวัดฮุ่นหยวน
กองกำลังทหารม้านับพันปักหลักอยู่นอกเมือง ณ หมู่บ้านหวง กองกำลังนำโดยนายกองพัน
เติ้งจิ้นจากกองกำลังมังกรรักษาพระองค์นำทหารปักหลักอยู่ที่นี้ กระโจมและเสบียงก็สะดวกจัดการ กองทหารนับพันนำราชโองการมาอย่างเร่งด่วน ทั้งคนและม้ายังคงแตกตื่น อลหม่านกันไปหมด
กองทหารจากสี่กองกำลังประจำพระองค์ ยังมีนายกองร้อยกองอาญาจากสำนักบูรพา สำหรับหมู่บ้านหวงนี้แล้วช่างเป็นไม่คู่ควรเสียจริง นายกองพันก็แลดูว้าวุ่นผิดปกติ กล่าวว่าต้องแจ้งให้นายอำเภอและพวกผู้มีความรู้การศึกษา ให้พวกเขามาต้อนรับกองทัพพร้อมกัน
แต่การสั่งการของพวกเขาถูกเติ้งจิ้นระงับไว้ กล่าวว่าครั้งนี้เป็นปฏิบัติการลับ ให้กองกำลังของเขาทั้งกองอยู่ในความเงียบ ห้ามมิให้ผู้ใดปลีกตัวออกไป แต่ปฏิบัติการนี้คืออะไร ก็ไม่มีใครบอกกล่าวแก่นายกองพันผู้นี้
หวังทงอยู่ท่ามกลางกองกำลังที่นำมาด้วย ไม่มีสถานะอันใด และเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการนำกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงได้แต่จับตาดูเรียนรู้อย่างเงียบๆ
ทหารของนายกองพันผู้นี้ถูกขนาบไว้แล้ว ปฏิบัติการป้องกันรอบกองทัพก็รับภารกิจโดยกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายรักษาพระองค์ และนายกองร้อยเซวียจานเยี่ยประจำกองอาญาสำนักบูรพาที่ได้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วก็แอบส่งคนคนเข้าเมืองไปก่อนหน้าแล้ว
ประตูเมืองของอำเภอหมู่บ้านหวงปิดเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วยาม แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีผู้ใดรู้สึกแปลกใจ
มีทหารม้าราวสองร้อยนายกระจายกำลังตระเวนยามค่ำคืนและเฝ้าเส้นทางสำคัญแต่ละเส้นทางเอาไว้ เฝ้าดูว่ามีผู้ใดผ่านมาและมีผู้ใดจากไป
วัดวาอารามใหญ่ส่วนใหญ่ก็จะตั้งอยู่ใกล้กับคูเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนมากราบไหว้บูชา และเพื่อซื้อของใช้ชีวิตประจำวันในเมืองได้
วัดฮุ่นหยวนห่างจากอำเภอหมู่บ้านหวงไปทางตะวันออกไม่ถึงสองลี้ พื้นที่ไม่เล็ก มองแล้วก็น่าจะราวหมู่บ้านขนาดกลาง ได้ยินนายกองพันผู้นี้เล่าว่า เงินทองเพื่อถวายธูปเทียนของวัดฮุ่นหยวนนี้มีมากมายมหาศาล และยังรับอุปการะคนจรหมอนหมิ่นและคนยากจนไร้ที่อยู่อาศัย มักจะเปิดโรงทานแจกโจ๊ก มีผู้นับถือไม่น้อย แม้แต่ทหารในสังกัดนายกองพันยังมีไม่น้อยที่มักมากราบไหว้พระที่นี่
“ขุนพลเติ้ง ใต้เท้าเซวีย ทหารกองเราล่วงหน้ามาก่อนจำนวนมากมายเช่นนี้ เกรงว่าข่าวก็ไปถึงวัดฮุ่นหยวนแล้ว หรือเราควรจะล้อมจู่โจมในคืนนี้เลย!”
ใจหวังทงรู้สึกไม่สงบเมื่ออยู่ท่ามกลางกองกำลังเช่นนี้ พอนายกองพันผู้นั้นกล่าวจบ หวังทงก็อดไม่ได้ที่จะเสนอความเห็น เติ้งจิ้นกับเซวียจานเยี่ยต่างยำเกรงนายกองพันผู้นี้ แต่พวกเขาก็รู้ความสำคัญของหวังทงดีว่าไม่อาจละเลยได้เช่นกัน เติ้งจิ้นยิ้มอธิบายว่า
“ใต้เท้าหวัง ราชโองการให้เราจับคน ไร้โคมไฟมืดมิดเช่นนี้ กองกำลังเราจำนวนมากบุกเข้าไป วัดใหญ่เช่นนั้น ก็จะชุลมุนกัน ก็ไม่รู้ว่าจะหนีออกไปได้เท่าไร คืนนี้จัดคนเฝ้าเส้นทางสำคัญแต่ละแห่งไว้ก่อน ไม่ว่าในวัดออกไปสอบถาม หรือนอกวัดส่งข่าวรายงานมา ก็จับกุมตัวไว้ รอให้พรุ่งนี้ฟ้าสางค่อยไปล้อมไว้ ถึงตอนนั้นจับเต่าในไห จะหนีไปไหนได้”
นายกองร้อยเซวียจานเยี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มกล่าวว่า
“ขุนพลเติ้งกล่าวได้ถูกต้อง อย่างไรพวกเราก็ตรึงกำลังไว้แล้ว นอนไม่ถอดเกราะ พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อ แม้ว่าในวัดฮุ่นหยวนจะรู้ตัวกัน ก็หนีไม่พ้นทหารของเราไปได้ บทสรุปไม่แตกต่าง”
หวังทงคิดไปคิดมา ก็ประสานมือขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าน้อยออกศึกครั้งแรก คิดการพลาดไปแล้ว”
ค่ำคืนในยุคสมัยนี้มืดมิดไปหมดจริงๆ ต่างจากชาติก่อนที่ฉาบไล้ไปด้วยแสงสีแสงในอย่างสิ้นเชิง หวังทงรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้งด้วยตนเอง จับกุมคนในที่มืดย่อมมองไม่ชัด ก็เหมือนตาบอดจับคน
นับประสาอะไรกับพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ยังมีสัตว์ป่าดุร้าย คนเดินทางย่อมต้องเลือกเดินตามเส้นทาง ตอนนี้ทหารจากสำนักบูรพาและสำนักอาชาหลวงก็ปิดกั้นเส้นทางไว้หมดแล้ว ย่อมไม่ต้องกังวลสิ่งใด
“ใต้เท้าหวังสามารถคิดการได้เช่นนี้นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ข้าเติ้งจิ้นตอนเพิ่งออกศึก ก็เซ่อร์ซ่าเช่นกัน ไหนเลยจะคิดการได้เช่นนี้”
เติ้งจิ้นหยอกล้อขึ้น ทั้งสามคนในห้องก็พากันหัวเราะดัง เติ้งจิ้นกล่าวต่ออีกว่า
“คนที่ใต้เท้าหวังนำมาด้วยนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือ คิดว่าน่าจะเป็นพวกที่เคยผ่านคมดาบความเป็นความตายมาก่อน พรุ่งนี้ย่อมเป็นกำลังช่วยเหลือพวกเราได้อย่างมาก”
ขุนนางนำกองกำลังระดับนี้ย่อมมองความสามารถของหลี่เหวินหย่วนและพวกถานเจียงออก หวังทงรีบกล่าวถ่อมตนกลับไป นายกองธงใหญ่ที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ มีกำลังยอดฝีมือเช่นนี้ข้างกายย่อมเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง แต่หวังทงก็มิได้กังวลอะไร รอบกายเขาย่อมมีองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาจับตาดูอยู่แล้ว ทุกเรื่องคงต้องรายงานเข้าไปในวังเป็นแน่ ทำการอย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด
เติ้งจิ้นกับเซวียจานเยี่ยคืนนี้ต้องผลัดกันเฝ้าเวรยาม หากหวังทงกลับได้ไปนอนแต่เช้าเพื่อสั่งสมแรงกำลัง ตอนเขาออกไป นายกองร้อยเซวียจานเยี่ยก็เดินตามออกมากระซิบว่า
“ใต้เท้าหวังไม่ต้องกังวล วัดฮุ่นหยวนดีไม่ดีก็แค่ธงเรียกแขกที่ถูกโยนออกมา ตอนนี้วัดฮุ่นหยวนย่อมยังไม่รู้ว่าถูกฟ้องร้องไปที่ศาลแล้ว พรุ่งนี้ย่อมสามารถจับเต่าในไหได้แน่นอน”
หวังทงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า
“ยามนี้จะเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ก็หวังว่าจะมีผลสรุปเร็วที่สุด มิเช่นนั้นยิ่งสืบต่อไป ความสะเทือนที่ตามมาย่อมยิ่งมาก ก็ยากยิ่งจะกวาดล้าง”
เซวียจานเยี่ยหยุดฝีเท้าก่อนจะคำนับพร้อมยิ้มกล่าวว่า
“คำของใต้เท้าหวัง ข้ามิกล้าไม่กล่าวต่อเลย!”
หวังทงประสานมือคำนับตอบ หันหน้าจากไป คดีสืบมาถึงบัดนี้ก็มิใช่เรื่องขจัดกลุ่มมารร้ายที่คอยทำร้ายปวงประชาธรรมดาทั่วไปแล้ว แต่กลายเป็นเรื่องการเมืองไปแล้ว
เรื่องการเมืองนี้ แต่ไรมาก็เป็นความยุ่งยากซับซ้อนที่สุดในใต้หล้า
พอกลับถึงกระโจมที่พักของตน หลี่เหวินหย่วนกับพวกถานเจียงกำลังขัดทำความสะอาดอาวุธและชุดเกราะ สีหน้าทุกคนแน่วแน่สงบนิ่งเหมือนกับอยู่ที่บ้านตนเอง นี่ก็คือพวกกรำศึกมานาน เคยชินกันแล้ว
ชุดเกราะที่ถานเจียงและพวกรวมสิบกว่าใช้นั้นพิถีพิถันมาก เกราะครึ่งบนล้วนเป็นเส้นเหล็กและแผ่นเหล็กที่เกาะเกี่ยวประณีต ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ยังมีเครื่องป้องกันครบ หลี่เหวินหย่วนกับพวกผู้ช่วยงานที่หวังทงเลี้ยงไว้นั้นแห้งแล้งกว่ามาก ชุดเกราะหนังที่หลี่เหวินหย่วนกำลังจัดอยู่นั้นก็เพิ่งซื้อมาเมื่อห้าวันก่อน เทียบกันไม่ติดเลย
เห็นท่าทางสีหน้าแน่วแน่มั่นคงของคนเหล่านี้แล้ว จิตใจหวังทงและผู้ช่วยงานที่อายุน้อยอีกสองสามคนก็พลอยสงบไปด้วย
แต่คืนนี้ทั้งคืนก็พลิกตัวไปมา ดึกมากแล้วจึงได้หลับไป นี่ก็เป็นเรื่องปกติ
*****
แสงทองของเช้าวันที่สองสาดแสงขึ้น กองกำลังนอกอำเภอหมู่บ้านหวงก็เริ่มสาละวนกัน เติ้งจิ้นและเซวียจานเยี่ยที่แต่งกายชุดเกราะเรียบร้อยเดินอยู่ในที่ตั้งทัพ กำลังเร่งให้ลูกน้องตนเตรียมพร้อมออกเดินทาง
นัยน์ตาหวังทงแดงก่ำ ทั้งคืนนอนไม่หลับ นอกจากพวกผู้ช่วยงานอายุน้อยออกศึกครั้งแรกเหมือนเขาแล้ว คนอื่นๆ ก็กระฉับกระเฉงอย่างยิ่ง
ทหารที่เฝ้าอยู่ปากทางถนนด้านนอกก็มีข่าวมารายงาน ทั้งคืนนอกจากพวกนายพรานล่าสัตว์สามสี่คน ยังมีพวกโจรโชคร้ายอีก 10 กว่าคนถูกจับกุมตัวไว้ แต่คนที่จะไปส่งข่าวที่วัดฮุ่นหยวนนั้นกลับไม่เห็นแม้แต่คนเดียว
ทุกคนขึ้นม้า เติ้งจิ้นออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า
“บอกนายอำเภอ วันนี้เปิดแค่ประตูตะวันออก เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่ว่าการให้คอยรับคำสั่งอยู่ที่อำเภอ ห้ามไปที่ใด!”
ลูกน้องรีบขี่ม้าออกไป เติ้งจิ้นขึ้นหน้าไปยกมือขึ้นโบก ทหารคนสนิทข้างๆ ก็ยกธงสีน้ำเงินผืนเล็กโบกไปมาเบื้องหน้า ทหารทุกคนออกเดินทางอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้ว่าสว่างแล้ว แต่บริเวณคูเมืองกลับไร้ผู้คน กองทหารกองใหญ่เดินทัพด้วยความราบรื่น ไม่นานนักก็มาถึงวัดฮุ่นหยวน
วัดฮุ่นหยวนนี้หากไม่มีเจดีย์หรือวิหาร มองไกลๆ แล้วไม่แตกต่างอะไรจากโรงบ้านที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ กำแพงสูงคูน้ำลึก ตรงสี่มุมกำแพงและประตูหน้ายังมีหอสูงไว้คอยจับตาโดยรอบ
แต่ก็มีที่เหมือนกับวัดทั่วไปอยู่บ้าง ตรงประตูด้านหน้ามีพื้นที่กว้าง รอบด้านล้วนปลูกต้นไม้ไว้หลากหลาย ตอนกองกำลังมาถึง ที่ประตูยังมีคนสวมจีวรสิบกว่าคนกำลังกวาดล้างพื้นกัน กองกำลังทหารหลายร้อยย่อมส่งกระแสเคลื่อนไหวใหญ่ สะเทือนไปทั่ว ทำคนตกอกตกใจกัน
บรรดาพระที่กวาดล้างพื้นกันก็ชะเง้อมองตาไม่กระพริบและอ้าปากค้าง พอเห็นทหารกองใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ปฏิกิริยาแรกก็คือทิ้งของในมือวิ่งไปทางประตู
“รับราชโองการมาปฏิบัติภารกิจๆๆ ผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในความสงบ!!”
ทหารบนหลังม้าตะโกนขึ้นพร้อมกัน กลบเสียงฝีเท้าม้าที่ดังสนั่นเอาไว้ได้หมด นี่ก็พวกปฏิบัติงานกันจนคุ้นชิน หากให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องรอกัน ได้ยินวาจาก็ย่อมรีบพาหลบกันไป แม้ว่าเกี่ยวข้อง เห็นท่าเช่นนี้ ได้ยินคำว่า ’ราชโองการ’ ก็ย่อมกลัวกันจนมือไม้อ่อน
แต่ปฏิกิริยาของวัดฮุ่นหยวนก็มิได้รอช้า ก่อนทหารจะมาถึง ประตูวัดก็ปิดไปแล้ว ทหารม้าที่นำหน้ามาหลายสิบคนพากันบังคับม้าให้หยุดและลงจากหลังม้ากรูกันไปที่ประตูใหญ่
สิบกว่าคนที่วิ่งไปแถวหน้าจัดแถวเสร็จก็ตะโกนพร้อมกันก่อนจะพุ่งชนประตู หากเมื่อครู่ประตูที่เพิ่งปิดเตรียมตัวไม่ทัน ก็ย่อมถูกกระแทกออก
แต่เสียงลงกลอนประตูใหญ่ ทุกคนได้ยินกันทั่ว กระแทกไปอย่างแรง ประตูใหญ่ทำจากเหล็กสั่นเล็กน้อย แต่ไม่ขยับเขยื้อนออกแม้แต่น้อย
“ทุกคนถอยกลับมา ส่งกำลัง 100 นายปิดประตูหลังไว้ 50 นายลาดตระเวน เหล่าชี เจ้านำคนไปทำเป็นรถกระแทก อย่าใกล้กำแพงมากไป ตะโกนให้พวกเขาเปิดประตู”
ขุนพลเติ้งจิ้นดูเป็นชายหยาบกระด้าง ยามนี้กลับมีขั้นมีตอน จัดการเรื่องราวที่ยุ่งยากได้อย่างไม่สับสน ทหารจากกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายรักษาพระองค์แสดงความสามารถของพวกเขาให้เป็นที่ประจักษ์
ทุกคนยุ่งกับคำสั่งที่ได้รับ ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ด้านนอกปฏิบัติการฉับไว เสียงวุ่นวายในวัดฮุ่นหยวนก็ยิ่งดังขึ้น ที่ๆ ใกล้กับกำแพงสูงอยู่บ้างก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากมุ่งมาที่ประตูใหญ่
“คนข้างในฟังไว้ มีคนแจ้งความว่าวัดพวกเจ้ามีคนร้ายไม่ประสงค์ดี วางแผนก่อการร้าย มีโทษใหญ่ถึงขั้นประหารทั้งชั่วโคตร หากไม่เกี่ยวข้องก็รีบเปิดประตูออกมายอมให้จับกุม ยังจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ หากทัพใหญ่บุกเข้าไป ถึงตอนนั้นมีดดาบก็ไร้ตาแล้ว!!”
ทหารที่ตะโกนบอกส่งเสียงตะเบ็งดัง พละกำลังดี ด้านในและด้านนอกล้วนได้ยินชัดเจน และยังแสดงความหนักเบาของเรื่องได้ชัดแจ้ง พอได้ยินแล้ว ทั้งพวกไม่เกี่ยวข้องและพวกโทษเบา ในใจเริ่มสั่นคลอน
พอตะโกนจบ เสียงวุ่นวานในวัดฮุ่นหยวนก็สงบลง ตามาด้วยเสียงสูงแหลมดังขึ้นว่า
“พี่น้องทุกท่าน ภัยทำลายโลกกำลังจะอุบัติแล้ว พวกเราทุกข์มาทั้งชีวิต วันนี้ก็จบมันได้แล้ว สละชีพเพื่อองค์พุทธไตรสุริยัน เราทุกคนจะได้ไปสู่แดนสุขาวดี สลัดทะเลทุกข์ เสวยสุข ณ ดินแดนสุขาวดีไร้ขอบเขตนับหมื่นนับแสนปี”
ตามมาด้วยเสียงรับอย่างพร้อมเพรียงของบรรดาพระสงฆ์ เสียงตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งกลบความเคลื่อนไหวทุกอย่าง
เติ้งจิ้นและเซวียจานเยี่ยที่เดิมมีสีหน้าผ่อนคลายก็เริ่มดำทมึนขึ้น ทุกคนอยู่บนหลังม้าชักดาบออกมา…