ตอนที่ 137 ดูเหมือนเป็นเช่นนี้
ในสายตาของเติ้งจิ้นและเซวียจานเยี่ยแล้ว หวังทงเป็นแค่ขุนนางสอพลอที่คอยเล่นเป็นเพื่อนฮ่องเต้ทุกวันเท่านั้น แค่เพราะโชคดี ได้พบโอกาสดีมากมายก็แค่นั้น
ครั้งนี้ติดตามมาปราบสำนักไตรสุริยัน ก็เพราะเบื้องบนเปิดโอกาสให้สร้างความดีความชอบ ตามมาเล่นก็แค่นั้น คิดไม่ถึงว่าเด็กที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้มาที่นี่กลับจับหัวหน้าสำนักไตรสุริยันได้อย่าง ‘บังเอิญ’ ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
เติ้งจิ้นไม่อยากเกี่ยวพันลึกเกินไป คิดทำให้หวังทงเอ่ยปากไม่สืบต่อเอง ตนเองไม่อยากแบกรับภาระนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหวังทงจะกลับกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย
หวังทงกล่าวจบ เติ้งจิ้นก็รู้สึกหนักใจ ในใจคิดว่าเจ้าเด็กน้อยนี่เป็นแค่นายกองธงใหญ่ ถือสิทธิ์อะไรมากล่าวเช่นนี้กับตนได้ แต่พอสบตาหวังทง ก็พบว่าหวังทงกำลังมองมาที่ตนด้วยสีหน้าเย็นชา แม้ว่าสองคนจะสูงพอกัน แต่นายกองธงใหญ่ “เด็กน้อย” ผู้นี้กลับเหมือนจะกำลังมองกดเขาอยู่
แต่ในวินาทีนั้นเอง เติ้งจิ้งก็เข้าใจความสำคัญได้ หวังทงอายุไม่มาก ตำแหน่งไม่สูง แต่เบื้องหลังมีฮ่องเต้ ไทเฮา และจางเฉิงกงกงค้ำอยู่ ยังเรียกขานเป็นพี่น้องกับโจวกงกงผู้บังคับบัญชาตนเองอีก คนที่ยืนค้ำอยู่เบื้องหลังแต่ละคนล้วนไม่ใช่คนที่ตนเองจะล่วงเกินได้
ล่วงเกินหวังทงก็เท่ากับล่วงเกินคนใหญ่คนโตทั้งชุดที่อยู่เบื้องหลังเขา หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ตนเองก็คงต้องแหลกเป็นผุยผง ในสมองคิดการณ์ฉับไว ท่าทีของเติ้งจิ้นอ่อนลงอย่างรวดเร็ว ยอมเสียงอ่อนกล่าวขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้าหวังสั่งสอนถูกต้อง!”
จากนั้นก็หันไปบอกเซวียจานเยี่ยอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“พี่เซวีย คนของข้าแล้วแต่ท่านสั่งการ พวกเราสืบต่อไปให้ดี ต้องสืบให้ถึงที่สุดให้ได้!”
เซวียจานเยี่ย นายกองร้อยอาญาแห่งสำนักบูรพาทุกวันใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเล่ห์อุบายและวงข้าราชการ รู้ความสำคัญของสถานะหวังทงว่าระดับสูงส่งกว่าเติ้งจิ้นมากนัก
เมื่อครู่เขาก็มองออกแล้วว่า แม้ว่าแค่ไม่กี่คำ เติ้งจิ้นก็เสียเปรียบอย่างมาก จึงรีบยิ้มกล่าวว่า
“ขอบคุณใต้เท้าเติ้งที่ช่วยเหลือ เช่นนี้ให้พี่น้องเราเข้าไปกันก่อน”
เรื่องราวที่พวกเขาสนทนากันไม่มีใครได้ยิน แต่ท่าทีวางตัวสูงต่ำของคนทั้งสามล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบด้าน ในพื้นที่ของศาลซุ่นเทียนนี้ ราษฎรมีประสบการณ์หูตากว้างไกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกรับราชการ ทหารในกองพันที่ตั้งทัพในพื้นที่กำลังนำกำลังเข้าไปย้ายข้าวของและดับเพลิง ต่างก็เห็นสถานการณ์ทางนั้น
พวกเขารู้ว่าสถานะหวังทงเป็นแค่นายกองธงใหญ่ ย่อมรู้ว่าอีกสองคนเป็นถึงนายทหารใหญ่จากสี่กองกำลังประจำพระองค์ระดับขุนพลที่ปรึกษาและนายกองร้อยแห่งสำนักบูรพา แต่เห็นท่าทีของทั้งสามคนแล้ว ล้วนเป็นนายกองธงใหญ่อายุน้อยผู้นั้นกำลังสั่งการให้ขุนนางผู้ใหญ่ทำงาน และสองขุนนางผู้ใหญ่ก็น้อมรับคำสั่งด้วยความเต็มใจ
นายกองพันเห็นแล้วก็งง อดไม่ได้หันไปกระซิบถามนายทหารคนหนึ่งจากกองกำลังมังกรว่า
“พี่ชายท่านนี้ องครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นเป็นท่านผู้บัญชาการหรือ?”
นายทหารผู้นั้นหันมองตามไป อดหัวเราะคิกไม่ได้ก่อนจะกล่าวว่า
“พวกเจ้านำกำลังมา แม้แต่เครื่องแต่งกายยังแยกแยะไม่ได้หรือ นั่นย่อมเป็นแค่นายกองธงใหญ่ ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหลิวโสวโหย่วปีนี้อายุ 40 กว่าแล้ว”
“ไม่ใช่ท่านผู้บัญชาการ แต่กลับสั่งการนายกองร้อยสำนักบูรพาและขุนพลจากสี่กองกำลังได้ หรือว่าข้าตาลายไป…”
วาจานี้ทำเอาทหารจากกองกำลังมังกรไม่กล้าต่อความต่อ ได้แต่ยิ้มแยกเขี้ยวขัดขึ้นว่า
“รู้มากเช่นนั้นไปทำไมกัน รีบจัดคนไปเคลื่อนย้ายกันดีกว่า อากาศใกล้จะร้อนแล้ว ศพพวกนี้หากชักช้าก็จะเกิดโรคได้”
นายกองพันผู้นั้นรีบไปทำงานต่อด้วยความมึนงงสับสน หวังทงเดินไปทางกองของกลางที่ยึดไว้กองทางนั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทางนั้นเดิมมีทหาร 5 นายเฝ้าอยู่ พอเห็นหวังทงเดินมา ก็มีพลทหารผู้หนึ่งรีบวิ่งตามมาด้วย ไปบอกกล่าวกับบรรดาทหารและคนเคลื่อนย้ายของพวกนั้นสองสามคำไม่รู้
เดิมของกองดีแล้ว พอหวังทงมา ทหารพวกนั้นก็เปิดของแต่ละอย่างให้หวังทงดู หวังทงดูของอะไรนานหน่อย ก็รีบให้คนย้ายของนั้นไปเตรียมกองไว้อีกทาง หวังทงแค่ยกมือขึ้นโบกปฏิเสธไปเท่านั้น
ของพวกนี้เป็นแค่เครื่องมือที่ทำจากดีบุกเงินและทองแดง และพวกผ้าแพรเครื่องลายคราม ของใหญ่ตนเองเก็บเข้าพกไปแล้ว ไยต้องสนใจของพวกนี้ด้วย
เดินไปมาครู่หนึ่ง ก็เห็นของที่ตนรู้สึกสนใจ กล่องไม้ที่ถูกเผาไปครึ่งหนึ่งจนปริออกมาแล้ว ข้างในมีสมุดบัญชีหลายเล่ม
หวังทงเดินเข้าไปเปิดกล่องไม้ออก หยิบสมุดออกมาพลิกดู ล้วนเป็นบันทึกรายการเงินทองเข้าออก แต่ทุกรายล้วนใช้เลขหมายแทน ดูไม่ออกว่าเป็นของอะไร กำลังพลิกดูแต่ละอยู่นั้นเอง ก็เห็นพลทหารที่วิ่งมาเมื่อครู่โค้งกายเขยิบเข้ามาใกล้กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง สมุดพวกนี้สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรล้วนต้องการ ท่านก็ดูที่นี่ รอตอนเคลื่อนย้ายค่อยวางกลับไปก็พอ”
เดิมก็ไม่ได้คิดจะหยิบไป ห้าเล่มอ่านจบ หวังทงก็โยนสมุดบัญชีกลับลงไปในกล่องอย่างหนักใจ หาข้อมูลอะไรที่ต้องการไม่ได้เลย ลังเลครู่หนึ่งก็หันไปถามคนข้างๆ ว่า
“ทุกคนในวัดฮุ่นหยวนล้วนมีรายชื่อ…”
พลทหารผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบกล่าวว่า
“ใต้เท้ารอสักครู่ ข้าน้อยไปสอบถามสักครู่”
ไม่นานนัก สมุดรายชื่อก็ถูกนำมามอบให้ สมุดรายชื่อเพิ่งจะถามเอาจากนักโทษ ก็คือที่ไว้ใช้ตอนแจกเสบียงและเบี้ยหวัดภายในวัด นอกจากเจ้าสำนักหวังตั๋วกับบรรดาแกนนำแล้ว ล้วนมีชื่อทุกคนอยู่ในนั้น และยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ชื่อปลอม ในนั้นล้วนเป็นชื่อจริง
“สมุดรายชื่อนี้ข้าจะเอาไปด้วย ทางเจ้าก็คัดลอกไว้แล้วกัน”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ พลทหารนั้นย่อมรับคำสั่ง ยิ้มคำนับรับคำ
ตอนรับสมุดมา หวังทงก็อ่านไปคร่าวๆ พักหนึ่ง ในนั้นมีรายชื่อคุ้นตามากมาย ตรงกันกับสมุดบัญชีที่วางอยู่ในบ้านหวังทงพอดี
****
นักโทษและสมบัติที่ยึดได้มาในวันรุ่งขึ้นก็ส่งกลับเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับขบวนทัพใหญ่ กองกำลังที่ซุนต้าไหมาถึงตอนที่การต่อสู้สิ้นสุดลงไปได้สองชั่วยามแล้ว นอนอยู่คืนหนึ่งจึงได้ตามกลับเมืองหลวง
ทหารที่มาออกศึกล้วนเป็นพวกกรำศึกมานาน ชัยชนะเช่นนี้ไม่รู้สึกตื่นเต้นอันใด แม้แต่ผู้ช่วยงานอายุน้อยของหวังทงที่พามาด้วยก็นิ่งเงียบมาก
เมื่อวานพวกสำนักบูรพาก็เริ่มสอบปากคำในวัด เครื่องลงทัณฑ์หลากหลายรูปแบบในอำเภอหมู่บ้านหวงล้วนพร้อมสรรพ ถูกนำออกมาใช้หมด ต่างจากตอนโจมตีวัด พวกชายตอนที่ยังมีชีวิตรอดมาล้วนเป็นพวกขี้ขลาด ย่อมไม่มีใครกล้าเสียงแข็งไม่อ่อนข้อ ถามอะไรก็ตอบ
พวกเขาล้วนเป็นคนที่มาจากเขตตอนเหนือและอำเภอโดยรอบ เพื่อเงินทองวาสนาจึงได้จัดการตอนตนเอง ในวังก็มิใช่จะรับขันทีเข้าวังทุกปี และก็ไม่มีบ้านไหนจะรับพวกเขาไว้ใช้งานได้ คนที่ตอนตัวเองก็มักจะเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดและสิ้นหวังที่สุดในสังคม ไม่อาจเข้าวังและไม่อาจทำมาหาเลี้ยงชีพ ยากจนข้นแค้นอย่างมาก
พวกที่มีกำลังแข็งแรงก็ร่วมตัวกันเป็นกลุ่ม หากที่ห่างไกลรกร้างตั้งตัวเป็นโจร พวกที่อ่อนแอทุกวันก็จะขอทานในเมืองหลวงหาเลี้ยงชีพกันไป แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เข้าวัง อยู่ข้างนอกแม้แต่ขอทานเต็มขั้นยังเป็นไม่ได้ เป็นชนชั้นที่ถูกถ่มน้ำลายและดูแคลนอย่างที่สุด ปล้นชิงและขอทานล้วนเป็นการหาเลี้ยงชีพที่ไม่ถูกกฎหมาย
ผลก็คือเจ้าพระอ้วนที่อ้างตนเป็นพุทธองค์ ออกไปเฟ้นหาพวกนิรนามมาเลี้ยงดู ทุกคนล้วนไม่ใช่คนโง่ เจ้าว่าเจ้าเป็นพุทธองค์มาจุติ ก็ไม่มีใครโง่เชื่อกัน
คิดไม่ถึงว่าเจ้าพระอ้วนหวังตั๋วกลับสร้างวัดใหญ่โตที่อำเภอหมู่บ้านหวง บรรดาพระก็ได้ทำไร่ทำนาไปกับชาวบ้านโดยรอบ ทุกวันกราบไหว้พุทธไตรสุริยัน สวดคัมภีร์ไตรสุริยัน ก็สามารถกินอิ่มนอนอุ่น มีชีวิตที่เป็นสุข และการอยู่ที่วัด ยังมีคนมาเลือกไปเข้าวังเป็นขันทีด้วย
ประโยชน์มากมายที่มอบให้ ยากที่คนจะไม่เชื่ออย่างหมดใจ เจ้าหวังตั๋วผู้นี้กับบรรดาแกนำก็อ้างว่าคนเมื่อก่อนก็ตอนตัวเองเหมือนกัน จากนั้นพอได้เข้าร่วมสำนักไตรสุริยัน ทนบำเพ็ญหลายปี ส่วนพลังหยางที่ตัดไปก็งอกใหม่ และมักจะสำแดงอภินิหารอะไรอีกด้วย นานวันเข้า ทุกคนก็เชื่อสนิทใจ
คัมภีร์ไตรสุริยันมีคำสอนว่า แม้เป็นคนในชาตินี้จะประสบความทุกข์สาหัสเพียงต้อง ขอเพียงมุ่งตรงต่อพุทธะ หรือยอมพลีชีพเพื่อพุทธะ ชาติหน้าก็จะได้ไปเสวยสุขที่สวรรค์สุขาวดี เสพสุขไม่มีที่สิ้นสุด ถึงขั้นชาตินี้สามารถงอกพลังหยางขึ้นใหม่ได้ จะได้ร่วมเสพสุขสำราญกับทุกคนในวัดได้
หลังจากตอนตัวเองแล้ว ไร้หนทางเข้าวัง ลำบากยากแค้น มิสู้ร้องขอความตาย สำหรับพวกนิรนามพวกนี้แล้ว ชาตินี้ช่างประสบทุกข์อย่างไม่อาจพบที่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อมีคนให้กำลังใจ พวกเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับทหารทางการอย่างไม่กลัวตาย
แต่ทุกคนแม้รู้ชื่อกันและกัน แต่จำไม่ได้ว่าใครถูกส่งเข้าวังไปบ้าง การสังหารครานี้มีคนตายไปมาก คนที่รู้เหมือนจะตายไปแล้ว
*****
และพวกคำให้การที่ได้มาจากพวกที่เหลือรอดมานั้นก็เหมือนเป็นอีกเรื่อง
แม้ว่ากองกำลังอู่เฉิงจะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชาติละแวกเมืองหลวง แต่ยังคงไม่มีที่นามากมายแจกจ่ายให้กับทหารได้ทำกินเช่นกัน และที่นาที่กองกำลังพิทักษ์ชาติมีนั้นก็ถูกพวกชนชั้นสูงแย่งไปครอบครองอีกด้วย เหมือนว่าพวกทหารกองเกินอย่างหวังตั๋วจะทำได้แค่ไปเป็นลูกจ้างระยะยาวรับใช้ผู้อื่น หรือเข้าเมืองขายตัวเป็นบ่าว
พวกที่คิดการณ์ว่องไวหน่อย นิสัยแข็งกร้าวหน่อยก็ไม่อยากจะเป็นภาระทางบ้าน ก็คิดจะหาทางเลี้ยงตัวเอง หวังตั๋วแต่เล็กเพราะร่างกายอ่อนแอจึงได้ออกบวชมาระยะหนึ่ง พอกลับไปที่กองกำลังพิทักษ์ชาติเพราะมีความสามารถต่อยตีจึงได้เป็นหัวหน้าขบวนการเด็กกลุ่มหนึ่ง
ในรัชสมัยหลงชิ่ง หวังตั๋วผู้นี้เป็นแค่ผู้นำพระปลอมกลุ่มหนึ่ง มาอาศัยอยู่ที่รกร้างรอบเมืองหลวงคอยดักปล้นคนผ่านทาง สังหารคนชิงทรัพย์ ผลก็คือมีครั้งหนึ่งถูกผู้คุ้มกันตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งจับได้ ส่งไปที่ศาลทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คดีเช่นนี้ยังได้ออกจากศาลมาได้ หวังตั๋วบอกว่าตนเองได้บรรลุธรรมแห่งไตรสุริยัน เป็นพุทธะมาจุติ นำเงินก้อนใหญ่ไปสร้างสำนักไตรสุริยันฟ้าดิน
มีคนมาเข้าด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ และทางการก็เกรงอกเกรงใจ หวังตั๋วและพรรคพวกทุกกันกินดีอยู่ดี ดื่มสุราเคล้านารี มีชีวิตที่ราวกับเทพเซียน ผลก็คือยิ่งฮึกเหิมลำพองหนัก วาจายิ่งกล่าวยิ่งยิ่งใหญ่ บอกว่าวันหนึ่งพุทธองค์จะปกป้องพวกเขาให้ได้รับเงินทองอำนาจวาสนาไร้ที่สิ้นสุด
ทุกคนสมองถูกล้างไปแล้ว ล้วนเชื่อว่าจริง ยังมีคนนำสิ่งที่ได้เรียนจากกองกำลังพิทักษ์ชาติมาสั่งสอนพวกนิรนามพวกนี้ หวังให้เป็นแรงกำลังไว้ใช้งาน
แต่วันก่อนเหมือนมีลางร้ายที่จะดับสลาย ม้าที่เลี้ยงไว้ในช่องทางลับ 30 ตัว ถูกคนเลี้ยงม้าขโมยไปอย่างไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว
จากนั้นทหารทางการก็มาล่าสังหารกันถึงที่….