ตอนที่ 169 เฝ้ามองเย็นชา ตักเตือนไม่อ้อมค้อม
ฮ่องเต้ว่านลี่ดูเหมือนจะมาเช้ากว่าเช้าที่สุดในวันปกติถึงครึ่งชั่วยาม มันน่าแปลกใจจริง การประชุมตอนเช้าของฮ่องเต้ว่านลี่กับการเรียนกับจางจวีเจิ้งล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดตกบกพร่องได้
เฉียวต้าออกไปทางประตูข้าง หวังทงไปรับฮ่องเต้เข้ามาทางประตูหน้า ท่าทางฮ่องเต้ดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด สีพระพักตร์ผ่อนคลาย ย่างพระบาทไขว้พระหัตถ์เสด็จเข้ามาในห้อง
หม่าซานเปียวตอนนี้ไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงบ้านนอกเมือง หลี่เหวินหย่วนและหลี่หู่โถวก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านใหม่ทางนั้นแล้ว บ้านหวังทงมีเขาอยู่คนเดียว ทุกวันตอนบ่ายก็จะไปลานฝึก จางหงอิงก็จะมาทำความสะอาดรอบหนึ่ง ก็สะอาดสอ้านไม่เลว
พอก้าวเข้ามาให้ห้อง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงกลางตัวหนึ่ง หวังทงกำลังจะไปยกน้ำชามา กลับถูกรั้งไว้ ส่งสายตาเข้าไปในห้อง กระซิบเบาๆ ว่า
“รับใช้ฝ่าบาทให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องเล็กน้อยนี้ให้ข้าทำเอง”
หวังทงพยักหน้า โจวอี้ไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง กลับเดินออกไปรอนอกประตู ฮ่องเต้ว่านลี่มองการตกแต่งในห้องอย่างรู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก พอเงยหน้าก็เห็นปืนสั้นสองกระบอกที่วางอยู่บนโต๊ะ
ฮ่องเต้น้อยยิ้มร่าหยิบปืนขึ้นมา หวังทงรีบก้าวเขามา หัวเราะเฝื่อนๆ กล่าวว่า
“ฝ่าบาท ของสิ่งนี้อันตราย พระวรกายพระองค์ไม่ควรสัมผัส มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะมีโทษร้ายแรง”
ดีที่ในปืนสั้นไม่ได้บรรจุดินปืนไว้ มิเช่นนั้นหวังทงก็คงจะเข้าไปแย่งคืนแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ยกไปมา รู้สึกหนักมือ ไม่น่าสนใจอะไร ก็วางกลับลงบนโต๊ะ แย้มพระสรวลตรัสว่า
“กังวลอะไรกัน เราใช่ว่าไม่เคยแตะต้อง หวังทงปืนสั้นเจ้านี้ทำได้หยาบอยู่สักหน่อย ในวังเรามีปืนไฟจากบาทหลวงฟะรังคีมอบให้อยู่หลายกระบอก ประณีตมาก ไว้ข้าจะให้เจ้าสองกระบอกไปเล่นนะ”
หวังทงรีบขอบพระทัย ฮ่องเต้ว่านลี่โบกมืออย่างไม่สนใจ เอ่ยต่อทันทีว่า
“ลุกขึ้นๆ ในห้องมีแค่เรากับเจ้าสองคน ไม่ต้องมากพิธี ใช่แล้ว เขตปกครองใต้เกิดภัยพิบัติใหญ่ เมืองเฟิ่งหยาง เมืองไหวอันทางนั้นมีที่รกร้างเหลือไม่น้อย วันนี้กรมอากรยังยื่นฎีกามาว่าจะจัดแบ่งพื้นที่ให้ประชาชนที่อพยพมาได้ลงหลักปักฐานกัน ไม่ค่อยได้มีที่ทางมากมายเช่นนี้ เราเลยคิดว่าจะพระราชทานให้อู่ชิงโหวหนึ่งแสนหมู่[ 1 ] ให้อ๋องลู่หนึ่งแสนหมู่ แล้วค่อยให้เจ้าอีกสองหมื่นหมู่”
พื้นที่สองหมื่นหมู่เท่ากับเท่าไร หวังทงลองนึกภาพดูก็นึกไม่ออก ฮ่องเต้ว่านลี่ท่าทางได้ใจใหญ่ ยิ้มร่ากล่าวว่า
“ถึงตอนที่เราจะให้เจ้า ก็จะให้กรมอาการกับเจ้าหน้าที่เขตแดนแบ่งพื้นที่ใกล้เมืองหลูโจวให้เจ้า ได้ยินว่าที่นั่นเป็นพื้นที่ชั้นยอด ได้ราคาดี”
“พระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท ขอภักดีตอบแทนพระเมตตา!”
“รีบลุกขึ้นๆ บอกแล้วไม่ต้องมากพิธี”
วันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้เจอเรื่องน่ายินดีอันใดกัน หวังทงคิดอย่างงงๆ แต่เขาก็ยังมีสติ พอกล่าวขอบพระทัยแล้วก็รีบกล่าวต่อว่า
“ฝ่าบาทพระราชทานมากมายเช่นนี้ กระหม่อมซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณยิ่ง แต่กระหม่อมขอบังอาจกล่าวสักประโยค พระประสงค์ของฝ่าบาทเกรงว่าคงไม่อาจผ่านคณะเสนาบดีใหญ่และกรมอากร หรือแม้แต่สำนักตรวจสอบแน่นอน”
ที่ดินมากมายเช่นนั้นพระราชทานไป ไม่ต้องกล่าวถึงหวังทงที่เป็นขุนนางใกล้ชิดเลย แม้แต่น้องแท้ๆ ของว่านลี่เองหรือตาแท้ๆ อย่างอู่ชิงโหวก็ล้วนถูกบรรดาขุนนางบุ๋นพวกนั้นโจมตีเป็นแน่ พวกออกมายอมต้องโทษประหารคัดค้านย่อมมีแน่ อ๋องลู่และอู่ชิงโหวคงไม่เป็นไร แต่ตนเองนั้นเกรงว่าไม่รู้จะต้องตายไปสักกี่รอบถึงจะพอ
ที่ดินสองหมื่นหมู่สามารถทำอะไรได้มากมาย เป็นแหล่งเงินทองก้อนใหญ่ หวังทงรู้เรื่องนี้ดี เขายังรู้อีกว่าของพวกนี้ตอนนี้ตนยังไม่สามารถกินลงไปได้ ผลสุดท้ายของการกลืนกินลงไปนอกจากตายแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีทางออกอื่นอีก
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โบกพระหัตถ์อย่างไม่สนพระทัยนักว่า
“เราเกรงแค่ท่านจาง ขุนนางคนอื่นๆ จะไปสนใจทำไม ตอนนี้ท่านจางไม่อยู่ เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ตัดสินอะไรเองแล้ว”
“ฝ่าบาท ท่านจางไม่อยู่หมายถึงอะไรพะยะค่ะ?”
แม้ว่าข่าวการจากไปของบิดาจางจวีเจิ้งจะประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่ได้ยินข่าวว่าต้องไปไว้ทุกข์ ประโยคที่กล่าวมานี้หมายความเช่นไรกัน หวังทงรู้สึกสงสัย อดไม่ได้ถามขึ้นอย่างเสียมารยาท
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินคำถามหวังทง ก็ยิ้มอย่างยินดียิ่งขึ้น ตรัสว่า
“ตั้งแต่เราออกว่าราชการมา ไม่เคยอิสระสบายอะไรเท่าวันนี้เลย ท่านจางไม่กล่าวอันใดสักคำ ราชบัณฑิตคนอื่นๆ ก็เงียบ คนของหกกรมก็กล่าวเรื่องงานสองสามเรื่อง จากนั้นก็เลิกประชุม ท่านจางรีบกลับจวน การเรียนตอนเช้าก็งดไป”
เห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว ก็เหมือนพวกนักเรียนที่ครูป่วยแล้วไม่ต้องเข้าเรียนอย่างไรอย่างนั้นเลย ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงก็ดีใจกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเสียจริง
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ยกพระหัตถ์ตบลงบนโต๊ะกล่าวว่า
“ตามปกติ ท่านจางก็จะต้องรีบยื่นฎีกา ขอกลับไปไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด ถึงตอนนั้นเราก็จะอนุมัติ ฮ่าๆ ถึงตอนนั้นก็น่าสนใจว่า…”
หวังยืนทิ้งมือข้างลำตัวอยู่ข้างๆ ในใจก็เหมือนคลื่นในทะเลซัดกระหน่ำ ท่าทีของคนในราชสำนักแต่ละฝ่ายต่อการที่จางจวีเจิ้งจะต้องไปไว้ทุกข์กันก็พอรู้ได้บ้างแล้ว อย่างน้อยฮ่องเต้ว่านลี่ก็ต้องการให้จางจวีเจิ้งออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดไป
แต่ในวังมีผู้มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ใช่มีแต่ฮ่องเต้ว่านลี่พระองค์เดียว ไทเฮาฉือเซิ่งและเฝิงเป่ายังไม่กล่าวอันใด ว่าแม้แต่จางกงกงกงที่รู้เรื่องยังเอาแต่เงียบ
“ปีนี้เราอายุ 15 แล้ว อดีตฮ่องเต้ตอนอายุเท่านี้ก็เข้าวังมาขึ้นครองราชย์ เริ่มปกครองแผ่นดินแล้ว รอท่านจางไปแล้ว เราจะจัดการเรื่องทุกอย่างเอง หวังทง ถึงตอนนั้นก็ไล่หลิวโสวโหย่วจอมปลอมนั่นไปซะ เจ้ามาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรให้เรา เราสองคนร่วมกันจัดการงานแผ่นดินให้ดี”
ตอนแรกว่าจะมอบตำแหน่องรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรให้ ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว นี่ถือเป็นตำแหน่งขุนนางบู๊อันดับหนึ่งในใต้หล้าเลยเชียวนะ
ทั้งที่นาชั้นดีสองหมื่นหมู่ ทั้งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวถึงแต่ละอย่างที่ล่อใจทั้งนั้น แต่หวังทงก็เอาแต่หลั่งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดหวั่น วาจาเหล่านี้ของฮ่องเต้น้อยล้วนเป็นอากาศที่ไม่อาจจับต้องได้
เช่นเดียวกันกับตนเองที่ใกล้จะอายุ 15 ปีเหมือนกัน ไม่ว่าจะได้สิ่งใดมา เกรงว่าก็คงได้จมอยู่กับกระสุนฎีกากระหน่ำยิงใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว ดีไม่ดีคงได้ถูกไทเฮาและเฝิงเป่ากับบรรดาขุนนางผู้ใหญ่โจมตีเป็นแน่ แต่เมื่อเห็นท่าทางของฮ่องเต้แล้ว วาจาตักเตือนก็ไม่รู้จะเอ่ยออกมาอย่างไร จะสาดน้ำเย็นใส่หน้าตรงๆ ดีไม่ดีตนเองก็อาจจะแหลกสลายเป็นผุยผงเองได้
รอจนฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวจบ หวังทงก็หันไปมองทางประตู ไม่รู้ว่าโจวอี้ไปยืนอยู่ตรงประตูใหญ่นั้นตั้งแต่เมื่อไร เห็นชัดว่าเลี่ยงที่จะได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายของฮ่องเต้ว่านลี่ เลี่ยงที่จะต้องติดร่างแหแห่งความยุ่งยากที่ไม่สมควรไปด้วย
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำพูดสักสองสามประโยค แต่ก่อนจะกล่าวนั้นขอพระราชทานอภัยไว้ก่อนพะยะค่ะ!!”
หวังทงกัดฟันเขยิบเข้าไปอีกก้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ฮ่องเต้ว่านลี่ตะลึงงัน จากนั้นสีหน้าก็เหมือนว่าถูกขัดใจ เอ่ยขึ้นว่า
“หวังทง เจ้ากับเราก็อายุเท่ากัน แต่ชอบกล่าววาจาขัดใจอยู่เรื่อย พูดมาๆ เราไม่เอาโทษเจ้า”
ดูแล้วฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังมิได้ขาดสติไปเสียหมด หวังทงยิ้มแห้งๆ รับคำ ก่อนจะก้าวเข้าไปกล่าวว่า
“ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแน่วแน่ แต่ดำรัสไทเฮาก็ไม่อาจไม่รับฟัง กระหม่อมขอบังอาจถามสักหน่อยว่า ไทเฮาทรงมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องของใต้เท้าจางพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พิงพนักเก้าอี้ สีหน้าแสดงความเบื่อหน่าย ยู่พระโอษฐ์ตรัสว่า
“เสด็จแม่ไม่ตรัสอันใด เฝิงต้าปั้นก็ไม่พูดอะไร เรารู้สึกว่าครั้งนี้พวกเขาอาจให้เราตัดสินใจเอง ดังนั้น…”
ที่แท้เป็นเพียงเจ้าที่คิดไปเองคนเดียวหวังทงแอบหลั่งเหงื่อเย็นเพิ่มอีกหลายส่วนรีบคุกเข่าขอร้องว่า
“ฝ่าบาท ท่านจางดูแลราชสำนักมาเกือบ 6 ปี ขุนนางทั้งหลายต่างก็เป็นลูกศิษย์ท่านจาง เฝิงกงกงดูแลฝ่ายในมาเกือบ 10 ปี รองขันทีใน 12 สำนักฝ่ายในยังเรียกขานว่า บรรพชน ไทเฮา…”
วาจาหวังทงนั้นเกินเลยสถานะฮ่องเต้กับขุนนางมาแล้ว ดีที่กล่าวไปก่อนว่าขอพระราชทานอภัยโทษ รอยยิ้มและความตื่นเต้นบนพระพักตร์ของฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ จางหายไป ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความกริ้ว หวังทงกลับมิได้ล้มตัวลงโขกศีรษะ แต่กลับยืดตัวตรงสบตากับฮ่องเต้ว่านลี่
แววตาเขาแน่นอนย่อมมั่นคงหนักแน่น สองคนจ้องตากันครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตบโต๊ะลงทันที ตรัสเสียงอ่อนว่า
“ลุกขึ้นมาตอบ เรารู้ว่าเจ้าจงรักภักดี ตอนเราขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่จัดการเองก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เราโตแล้ว รู้เรื่องรู้ราวแล้ว แต่ท่านจางกับขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ยังเห็นเราเป็นเด็กน้อย เรื่องในเรื่องนอกก็ล้วนให้ท่านจางและเฝิงต้าปั้นตัดสินใจ เราเป็นโอรสสวรรค์นะ หวังทง เจ้าไม่รู้สึกว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากหรอกหรือ ขอเพียงท่านจางจากไป เฝิงต้าปั้นก็ไม่มีแรงหนุน ถึงตอนนั้นเราจะตัดสินใจทุกเรื่องด้วยตัวเอง ปกครองประเทศนั้นง่ายมาก แล้วค่อยหาขุนนางใหญ่มาดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ก็ได้นี่”
หวังทงลุกขึ้นยืนแล้ว กดเสียงให้ต่ำลงกล่าวว่า
“ฝ่าบาท ทุกเรื่องอย่าได้พระทัยร้อน การไว้ทุกข์นั่น อย่างไรก็รอให้ใต้เท้าจางกล่าวด้วยตนเอง นับประสาอะไรกับการที่ท่าทีของไทเฮาและเฝิงกงกงยังไม่ชัดเจน เมืองหลวงและใต้หล้าล้วนเก็บท่าทีสงบเงียบ หากฝ่าบาทแสดงพระราชประสงค์ออกไป เกรงว่าคงกลายเป็นเป้าธนูมหาศาลแทน”
เทคนิคโน้มน้าวลูกค้าและเจ้านายในตอนนั้นของหวังทงกำลังเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งในห้วงความคิด เรื่องราวที่ตนรู้ตอนนี้ผสมกับความรู้เรื่องทางการเมืองในชาติก่อนนั้น วิเคราะห์ก่อนจะกลั่นเป็นคำพูดโน้มน้าวฮ่องเต้น้อยที่เพิ่งจะถูกขัดพระทัยราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่เมื่อครู่
แต่แม้เป็นเช่นนี้ วาจานี้ก็ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วหนัก โบกพระหัตถ์ให้หยุด กดสุรเสียงเบาลงตวาดขึ้น
“เราเป็นโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์!! เฝิงต้าปั้นเป็นบ่าวรับใช้เรา ท่านจางเป็นขุนนางเรา ขุนนางใต้หล้านี้ล้วนเป็นข้ารับใช้เรา พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน เราทำอะไรผิด!!”
ไม่ได้ตบโต๊ะ หากกดเสียงให้เบาลง ยังมีพระดำรัสสุดท้ายที่อัดอั้นกล้ำกลืนเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ว่านลี่รู้แล้วว่าอะไรควรไม่ควร หวังทงรู้สึกผ่อนคลายลง กล่าวเสียงเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท การไว้ทุกข์นี้เป็นโอกาสของฝ่าบาทจริงๆ แต่ฝ่าบาทปีนี้แค่ 15 ชันษา ท่านจางเกือบจะ 50 แล้ว ฝ่าบาททรงรอได้ มีภาษิตกล่าวว่า หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่า”
ภาษิตนี้ในยุคนี้ยังไม่มี ฮ่องเต้ว่านลี่พอได้ยินก็คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะอดยิ้มขึ้นไม่ได้
*****
วันที่ 25 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งยื่นฎีกาว่าบิดาจากไป ตามธรรมเนียมขอลากลับไปไว้ทุกข์สามปี ขอฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาต ให้หาผู้มารับตำแหน่งแทน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
[ 1 ] พื้นที่ 1 หมู่ของจีนเท่ากับประมาณ 0.416667 ไร่