Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 222

ตอนที่ 222 นาวาสุคนธ์ วุ่นวายคัดเลือกกำลังพล

“นายท่านหวังมารับตำแหน่งใหม่ มาดูแลคุ้มครองพื้นที่แถบเมืองเทียนจินเรา เราชาวนาวาสุคนธ์มาขอคารวะใต้เท้า!!”

บรรดาชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมีคนหนึ่งตะโกนรายงาน เสียงดังกังวานยิ่ง พอตะโกนจบ บรรดาชายที่เหลือก็พากันโขกศีรษะ สถานการณ์ดูอลังการไม่เบา

หวังทงยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยความรู้สึกงง นาวาสุคนธ์คืออะไร ฟังแล้วเหมือนสิ่งของ แต่มองแล้วสถานการณ์เบื้องหน้าก็รู้สึกเหมือนเป็นองค์กร

องค์กรแบบไหนกันจึงได้กล้ามาคารวะปีใหม่มอบขวัญกันใหญ่โตถึงหน้าประตูที่ทำการสำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพร ว่าแต่เรือตรงหน้านี่มันอะไรกัน เขามองไปรอบๆ คนของตนเองก็งุนงงเช่นกัน แต่พวกที่มุงดูกันรอบๆ ไม่รู้สึกแปลกใจ เอาแต่ร้องตะโกนว่าเยี่ยม

“ใต้เท้าเพิ่งมารับตำแหน่ง นาวาสุคนธ์ต้องแสดงน้ำใจ คนของเรามอบคนละ 10 อีแปะ เพื่อมอบให้นายท่านเป็นค่าใช้จ่ายตั้งถิ่นฐานใหม่ ขอใต้เท้าโปรดรับไว้ด้วย!”

ในที่สุดหวังทงก็กระจ่างชัดแล้วว่าในเรือเล็กที่มีม้าลากมานั้นบรรทุกอะไรไว้ เต็มไปด้วยเงินเหรียญทองแดง มองเห็นเป็นภาพหมวกทรงแหลม

ไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เงินนี่ก็ไม่อาจรับไว้เช่นนี้ได้ หวังทงรีบปฏิเสธไปว่า

“เงินทองข้ามีมากอยู่ ไม่ต้องลำบากทุกท่านให้ต้องเป็นห่วง น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว ขอให้ทุกท่านนำของกลับไป!!”

ชาย 10 กว่าคนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ทุกคนสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนที่ร้องตะโกนรายงานก็ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าอาจยังไม่ทราบ นี่เป็นธรรมเนียมที่กองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินเรา ขอเพียงมีขุนนางใหม่มารับตำแหน่ง นาวาสุคนธ์เราทุกคนก็จะมอบเงินค่าใช้จ่ายตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ เทศกาลบัวลอยหรือเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ยังมีมาคารวะอีก ขอคำนับนายท่านอีกครั้ง ขออำนวยพร ข้าน้อยขอลาก่อน”

กล่าวจบ ทุกคนก็โขกศีรษะลงพร้อมกัน ด้านข้างไม่รู้ผู้ใดร้องตะโกนว่าเยี่ยมขึ้นมา บรรดาคนมุงที่เหลือก็พากันตบมือตะโกนว่าเยี่ยมตาม ทำเอาบรรยากาศคึกคักยิ่ง คนเหล่านั้นโขกศีรษะเสร็จก็ปลดม้าออกจากเรือ จากไปทันที

สถานที่ที่หลี่หู่โถวกับที่เด็กๆ จากมานั้นไม่เคยได้เห็นเรือ วันนี้มาเห็นอยู่หน้าประตูเช่นนี้ ก็ล้วนรู้สึกแปลกใหม่ยิ่ง พอคนทางนั้นจากไป ทุกคนก็วิ่งไปล้อมวงดูกัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกที่เรียกตัวเองว่า “นาวาสุคนธ์” มาคารวะปีใหม่ แม้ว่าจะนอบน้อมยิ่ง แต่กลับไม่คิดถึงความรู้สึกของหวังทงแม้แต่น้อย ล้วนแต่คิดเองเออเอง การกระทำเช่นนั้นหากจะเรียกว่ามารยาท มิสู้เรียกว่าการแสดงดีกว่า เป็นการแสดงให้คนบนท้องถนนได้ชม

“เงินเหรียญทองแดงไม่น้อยเลย!”

ซุนต้าไห่อดอุทานขึ้นไม่ได้ ยื่นมือไปล้วงขึ้นมากำหนึ่ง ก่อนจะโปรยกลับไป จางซื่อเฉียงที่อยู่ข้างๆ ละเอียดอ่อนกว่า ยื่นหน้าไปมองในเรือแล้วก็ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ก็ไม่เท่าไร ไม่เกิน 100 ตำลึง”

ตอนนี้ 700 อีแปะก็เท่ากับ 1 ตำลึง 100 ตำลึงก็เท่ากับ 7 หมื่นอีแปะ อย่าได้เห็นว่าปริมาณเยอะ แต่ราคาที่แท้จริงไม่มาก ปริมาณกินที่ให้ดูดีที่ก็เท่านั้น

เรือเล็กลำนี้อย่างมากก็บรรจุคนได้แค่ 3-4 คน ดูแล้วเหมือนกับแค่เอาไว้ลอยบนน้ำได้เท่านั้น นอกจากมีผูกผ้าแพรแดงไว้ ก็ไม่มีอะไรพิเศษ บนหัวเรือมีกระถางธูปวางอยู่ ในนั้นมีธูป 3 ดอกที่ยังเผาไหม้ไม่หมด

“ตามคนในบ้านเราออกมา ให้ทุกคนหยิบไปคนละ 50 อีแปะ เป็นรางวัลปีใหม่!”

หวังทงสั่งจบ หลี่หู่โถวก็ดีใจร้องลั่น รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน หวังทงเดินเข้าไปในห้อง นี่นับเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจ

พอเข้าประตูไป หวังทงก็หยุดเดิน หันมาบอกกับถานเจียงว่า

“ไปตามหังต้าเฉียวมาให้ข้าที บอกไปว่าคนละ 10 อีแปะ เงินเหรียญเยอะขนาดนี้ ความหมายคงต้องการบอกว่าพวกเขามีหลายพันคน เป็นการเปิดตัวให้ข้าได้รับรู้มากกว่า”

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้องนัก เห็นชัดๆ ว่ามาแสดงบารมี ที่เทียนจินนี่ถึงกับมีองค์กรที่มีสาวกหลายพันคนเช่นนี้ เป็นองค์กรที่ควรต้องหวาดกลัวสักสามส่วนกันเลยทีเดียว

ตอนหังต้าเฉียวมาถึงหน้าตาก็แดงก่ำ สีหน้าเช่นคนร่ำสุรามา ปีนี้เงินทองมากมาย สุราอาหารก็ยากที่จะไม่จัดมาให้มากอีกหน่อย หังต้าเฉียวอยู่บ้านดื่มสุราทุกวัน กินเอาดื่มเอายกใหญ่

นายกองร้อยหังเดินไปถึงหน้าประตูก็เริ่มระวังตัว คว้ากองหิมะข้างทางมาลูบใบหน้าสองสามกำ สมองก็เริ่มกระจ่างขึ้นหน่อย เขามาที่บ้านหวังเพื่อมาคารวะปีใหม่ พอเข้าประตูมาก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม

พอได้ยินคำถามหวังทง นายกองร้อยหังก็อึ้งไป ตามมาด้วยเสียงกล่าวแสดงความยินดีอย่างตื่นเต้น

“ขอแสดงความยินดี ยินดีกับใต้เท้า จะว่าอย่างไรดี ตั้งแต่ใต้เท้าหวังมาที่นี่ ฟ้าก็ปลอดโปร่งไร้เมฆดำ นาวาสุคนธ์มามอบของขวัญให้เราด้วย”

กล่าวเช่นนี้ทำเอาหวังทงยิ่งไม่เข้าใจ ยังแสดงสีหน้าเหมือนภาคภูมิใจอีก แต่พอเห็นสีหน้างุนงงของหวังทงแล้ว นายกองร้อยหังก็รีบอธิบายว่า

“ใต้เท้าหวังท่านมาจากเมืองหลวง ย่อมไม่รู้ว่านาวาสุคนธ์คืออะไร นี่เป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในเขตปกครองเหนือเรา มีคนนับถือเป็นพันเป็นหมื่นเลยเชียวนะ?”

วาจานี้ทำเอาหวังทงต้องตกตะลึง ลัทธิความเชื่อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มองค์กรพุทธที่รวมตัวกัน และยังหมายถึงบรรดากลุ่มสาวกตามวัดวาอารามอีกด้วย แต่นาวาสุคนธ์ฟังแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่องค์กรพุทธต้นตำรับอันใด แต่กลับมีสาวกมากมายเพียงนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นภัยต่อพื้นที่หรอกหรือ และยังอาจเป็นภัยต่อราชสำนักอีกด้วย ควรจะรีบกำจัดให้สิ้นถึงจะถูกต้อง ทำไมยังดำรงอยู่อย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้ และของที่พวกเขามอบให้ทางการยังถูกมองว่าเป็นเกียรติอีกด้วย

“ใต้เท้า เทียนจินเราเป็นเมืองท่าสุดท้ายก่อนขนส่งเข้าเมืองหลวง และเป็นที่ส่งเสบียงไปยังเมืองจี้โจวและเมืองเหลียวโจว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสินค้าที่มาจากทางใต้ก็ต้องมาผ่านทางเราก่อนจะขายในเขตปกครองเหนือ เมืองเหลียวโจว และแถบซานซี เสบียงอาหารสินค้าไม่ว่าจะเป็นของดีหรือของธรรมดา การขนส่งก็ต้องการแรงงานจำนวนมาก เรือเยอะคนก็ยิ่งเยอะไม่ใช่หรือ การขนถ่ายสินค้าลงเรือก็เป็นเงินก้อนใหญ่ การขนส่งก็เป็นเงินก้อนใหญ่ ทุกคนแย่งชิงกันไม่หยุด ต่อมามีการร่วมมือปักธูปร่วมสาบานเป็นสำนักนาวาสุคนธ์นี้ขึ้น”

ดูท่าแล้วเรื่องเล่านี้เผยแพร่ออกไปไกลมาก หังต้าเฉียวและบรรดาคนที่หลงงมงายต่างเชื่อกันเช่นนี้ แต่หวังทง กลับไม่เชื่อตาม เพราะเรื่องนี้เหมือนจะคล้ายกันกับนิยายจอมยุทธ์ที่เคยอ่านมาในชาติก่อนนั้นมาก กลุ่มองค์กรใหญ่เช่นนี้จะเป็นแค่การปักธูปร่วมสาบานได้อย่างไร ย่อมต้องมีใครแอบให้การสนับสนุนอยู่ในมุมที่มองไม่เห็นเป็นแน่

“10 คนนับเป็นธูปหนึ่งดอก 100 คนก็เป็นหนึ่งกระถางธูป 10 กระถางธูปก็เป็น 1 นาวาสุคนธ์ เรื่องการขนส่งทางน้ำใหญ่น้อยทั้งในและนอกพื้นที่เทียนจินก็ล้วนพวกเขาเป็นใหญ่”

หังต้าเฉียวพอกรึ่มได้ที่ก็เล่าอย่างออกรสออกชาติ หวังทงถามอย่างไม่เข้าใจว่า

“ทางการก็ไม่สนใจดูแลหรือไง?”

“ใต้เท้า เมื่อก่อนตอนที่ท่าเรือมีเรื่องด่วน ทางการมีกำลังคนไม่พอ หนึ่งต้องรอรับเสบียง สองทุกคนต้องลงมือเอง ตอนนี้จึงยกงานนี้ให้พวก” นาวาสุคนธ์ “ไปจัดการเสียเลย คนพวกนั้นเรียกคนมาครบได้ในคราเดียวทันที ทางการจึงต้องพึ่งพาพวกนี้ ว่ากันว่าขุนนางท่าเรือหลายท่านก็มี” นาวาสุคนธ์ “หลายกอง…”

หวังทงโบกมือ กล่าวถึงตรงนี้ก็เข้าใจกระจ่างแล้ว องค์กรนาวาสุคนธ์พวกนี้ก็เหมือนกลุ่มท่าเรือในสมัยราชวงศ์ชิงนั่นเอง พวกเรือทางการและเรือพ่อค้าในคลองส่งน้ำ ท่าเรือสองข้างก็มีพวกใช้แรงงาน คนพวกนี้ต่างจากราษฎรทั่วไป พวกเขามีรูปแบบชีวิตและการเรียกร้องประโยชน์ของตนเอง เพื่อรักษาตัวรอดหรือเพื่อหาเงินให้ได้มากๆ หรือมีความเป็นได้มาก ว่าจะมีคนคิดการณ์อะไรบางอย่าง ย่อมต้องรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน อย่าได้พูดถึงสมัยนี้เลย โลกสมัยหลัง ประเทศต่างๆ ในปัจจุบันก็มีกลุ่มอิทธิพลมืดเช่นองค์กรท่าเรืออยู่

องค์กรเช่นนี้ ตอนนี้ก็ได้รับการแอบยอมรับกึ่งหนึ่งจากทางการ คิดจะทำต่อไป ก็คงต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาเจ้าที่เจ้าทางการในและนอกเมืองเทียนจินให้ดี ครั้งนี้ส่งเงินมาอวยพรปีใหม่ให้ตน ราวกับมีเจตนาอันใดแอบแฝงอยู่

ในใจหวังทงตอนนี้รู้สึกไม่สงบอยู่บ้าง เขาย่อมไม่ไร้เดียงสาจนเชื่อไปว่าอีกฝ่ายมามอบเงินเพื่ออวยพรปีใหม่ให้ตนเองเป็นแน่

คนในบ้านใหญ่ต่างพากันแบ่งเงินเหรียญจากบนเรือไปกันอย่างดีอกดีใจ จากการคำนวณของพวกจางซื่อเฉียงแล้ว เงินบนเรือนี้ไม่ถึง 100 ตำลึงเงิน สีเงินเหรียญทองแดงพวกนั้นก็ไม่เลว เป็นเงินเหรียญคุณภาพดีของทางการ 600 เหรียญน่าจะแลกได้ 1 ตำลึงเงิน

ก่อนวันที่ 15 เดือนหนึ่ง เมืองเทียนจินก็ไม่มีร้านค้าเปิดอยู่สักเท่าไร ไม่ว่าขุนนางหรือชาวบ้านต่างก็รอฉลองปีใหม่ บนถนนก็เงียบเหงาอย่างมาก

หวังทงรอจดหมายจากหลี่ว์วั่นไฉมาโดยตลอด อาจเพราะหลังกลับถึงเมืองหลวงทุกอย่างต้องใช้เวลาดำเนินการ ช่วงปีใหม่เช่นนี้ไม่มีผู้ใดปฏิบัติงาน

ทุกวันได้แต่ขี่ม้าออกไปดูรอบเมืองเทียนจิน จากนั้นก็นำคนงานและเด็กๆ ออกกำลังกายวอร์มร่างกาย ที่ทำให้หวังทงไม่รู้ว่าควรผิดหวังหรือสบายใจดีก็คือ พวกพลทหารองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ ไม่มีสักคนที่อยากมาวิ่งออกกำลังฝึกฝนไปด้วยกัน อยากเอาแต่แอบอยู่ในบ้านอุ่นๆ ดื่มสุราสนุกสนานกันเท่านั้น

นี่ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดที่จะสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่ของหวังทง หลังวันที่ 7 เดือนหนึ่ง บรรดาชายหนุ่มที่รับสมัครไว้ที่ตลาดจากทั่วทุกสารทิศก็เริ่มเข้าเมืองมารายงานตัว

สองวันแรกเงียบเหงามาก แต่พอมีสองสามคนแอบมาสืบข่าว พอได้รับคำตอบยืนยัน คนก็เริ่มทยอยมา คนพวกนี้จัดให้อยู่ในเรือนที่ปัดกวาดไว้รอรับแล้ว ทุกวันมีอาหารให้กิน มีที่ให้พัก

ปีใหม่เช่นนี้ไม่มีผู้ใดอยากพักอาศัยข้างนอกกัน แต่การเคลื่อนไหวของสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินเช่นนี้กลับทำให้เห็นว่าการรับสมัครกำลังพลนั้นเชื่อถือได้ เดิมพวกที่ยังรู้สึกสงสัย พอได้ยินข่าวแล้วก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา

คนที่พอมีสายสัมพันธ์ ก็หาคนมาเลียบๆ เคียงๆ ถามข่าว มีบางคนไปถามถึงขุนพลหลี่ มีบางคนไปถามถึงกองบัญชาการกองพิทักษ์ ต่างได้รับคำตอบยืนยันชัดเจน ว่านายกองพันหวังผู้นั้นมีความสามารถจริง และมีกำลังที่จะจัดการทุกสิ่งขึ้นใหม่ ติดตามเขาย่อมมีอนาคตไกล

มีคนไปได้ข่าวมาว่าขุนพลหลี่มอบบ้านใหญ่ในเมืองหลังหนึ่งให้นายกองพันหวัง ในสายตากองกำลังพิทักษ์ที่นี่จะมองว่าผู้บัญชาการกับขุนพลหลี่ผู้นี้ยิ่งใหญ่ที่สุด คนเหล่านี้กล่าวเช่นนี้ ใครบ้างจะสงสัยอีก

ใครบ้างไม่รู้ว่าสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นงานที่ดี หนึ่งบอกสิบ สิบบอกร้อย พวกได้ใบสมัครมาก็ย่อมดีอกดีใจ ยังมีคนมาหาถึงที่ พวกที่ไม่ได้ใบสมัครไปก็ไหว้วานคนมาสอบถาม ดูว่ามีโอกาสหรือไม่

หวังทงย่อมรับไว้ก่อนทั้งหมด ขอเพียงเป็นชายฉกรรจ์ที่ได้ตามมาตรฐานก็ให้สมัครได้ทั้งหมด ถึงตอนนั้นค่อยทดสอบก็ได้

แต่ก่อนเทศกาลบัวลอยจะจบลง ก็ไม่อาจทำอะไรได้ แม้ว่านายกองตรวจการฟานต๋าจะเปิดทางสะดวกให้ แต่ก่อนและหลังเทศกาลสามวันในเมืองมีงานโคมไฟ เป็นวันสุดท้ายในเดือนหนึ่งที่ทุกคนจากทั่วทุกสารทิศจะได้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ คนเข้าคนออกมาก อย่างไรก็ขอไม่ร่วมวงในช่วงผู้คนหลั่งไหลมาเช่นนี้จะดีกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version