Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 247

ตอนที่ 247 การสร้างความเป็นหมู่คณะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ค่ายสาม นายกองธงเล็กทั้งสิบคนออกมา!”

หวังทงยืนตรงมือไพล่หลังอยู่บนเวที ถานเจียงกับหม่าซานเปียวใส่เสื้อเกราะยืนอยู่ข้างๆ ด้านข้างยังมีเก้าอี้กับที่บังลมรูปครึ่งวงกลม อวี๋ต้าโหยวนั่งอยู่ที่นั่น

ทหารประจำค่ายทั้งห้าด้านล่างเวทีเรียงขบวนเป็นแถวสี่เหลี่ยมค่อยๆ แยกแถวออก นายกองธงเล็กแต่ละกองร้อยยืนอยู่หัวแถว ได้ยินเสียงตะโกนดังจากบนเวที นายกองธงเล็กสิบคนที่ถูกเรียกก็เดินหน้าซีดออกมา

หวังทงพยักหน้า หม่าซานเปียวก้าวขึ้นหน้าไปตะโกนถามเสียงดังว่า

“อยู่ที่นี่ พวกเจ้ากินกันไม่อิ่มหรือ?”

“กินอิ่ม!”

“เคยหักเบี้ยหวัดพวกเจ้าไหม?”

“ไม่เคย….”

คนถามน้ำเสียงดังก้อง คนตอบกลับประปราย เนื้อหาที่ถามก็ง่ายมาก ก็แค่เคยปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีหรือไม่ มีอะไรที่ไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้าหรือไม่

รอจนทั้งสิบคนตอบคำถามใช่หรือไม่เสร็จ หม่าซานเปียวก็หันไปมองหวังทง หวังทงพยักหน้า หม่าซานเปียวก็ตะโกนดังขึ้นว่า

“ในเมื่อไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดี ทำไมจึงฝึกไม่ได้เป้าหมายที่ต้องการ เกียจคร้านเช่นนี้ คิดว่าไม่มีโทษทหารงั้นหรือ เจ้าหน้าที่ โบยคนละ 20 ไม้ และให้ไปใช้แรงงานที่ร้านค้า!”

สีหน้าทหารทั้งสิบยิ่งซีดเผือดลง บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ทหาร 20 คนจากค่ายหนึ่งวิ่งออกมาจากแถว นำคนทั้งหมดกดลงพื้นก่อนจะยกไม้กระบองขึ้นเริ่มโบย

ไม่มีผู้ใดส่งเสียงร้อง มีแต่เสียงไม้กระทบเนื้อดังเท่านั้น ทั้งสนามฝึกเงียบกริบ โบยเสร็จ ก็มีเด็กหนุ่มประคองถาดไม้เข้ามา อีกคนปลดป้ายที่เอวของทั้งสิบคนออกโยนลงบนถาดไม้

โบย 20 ไม้ไม่มาก แต่ก็มือหนัก พอโบยเสร็จ ทั้งสิบคนก็ลุกขึ้นยืนไม่ไหว ด้านนอกค่ายฝึกกองกำลังใหม่นี้ก็มีขบวนแถวเรียงตัวเป็นระเบียบ ตอนนี้คนเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นคนงานวัยฉกรรจ์ของร้านค้า มีคนวิ่งออกมาจากแถวมาประคองคนทั้งสิบออกไป

ข้างเวทีมีชายฉกรรจ์ใช้แรงงาน 50 คนยืนอยู่ สีหน้าคนเหล่านี้กลับต่างจากพวกที่ถูกโบย ทุกคนสีหน้ากระตือรือร้น

“50 คนที่รอเสริมกำลัง มาเข้าแถวหน้าเวที!!”

หม่าซานเปียวตะเบ็งเสียงดังขึ้น ทั้ง 50 คนก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา รูปขบวนพวกเขาไม่ได้เรียบร้อยสักเท่าไร เบี้ยวๆ บูดๆ ไม่เป็นรูปเป็นร่าง

หวังทงเดินลงมาจากเวที หลี่หู่โถวประคองถาดไม้รออยู่ด้านล่างเวที ถาดไม้นั้นมีป้ายประจำตัวอยู่ 50 อัน หวังทงส่งป้ายให้ชายฉกรรจ์ทั้ง 50 คน ทุกคนที่รับไปก็ล้วนใช้มือขวายกขึ้นกระแทกใส่อก ก้มตัวคำนับ สีหน้าท่าทางทุกคนเริ่มเป็นทางการขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

“ต่อไปนี้พวกเจ้าเป็นพลทหารกองเตรียมการ ทุกอย่างได้เหมือนกับค่ายอื่น พวกเจ้าต้องฝึกให้หนัก ฟังคำสั่งใต้เท้า หากมีใครเกียจคร้าน ก็จะถูกปลดออก พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม!”

หวังทงถามเสียงดัง ชายฉกรรจ์ทุกคนต่างคำรามรับพร้อมกัน

“ขอยอมพลีเพื่อใต้เท้า!”

หวังทงพยักหน้า หันหน้าเดินกลับขึ้นเวที หม่าซานเปียวตะโกนลงไปด้านล่างว่า

“ยามปกติเสียเหงื่อให้มากหน่อย ยามศึกก็จะเสียเลือดน้อย ใต้เท้าเราให้พวกเจ้าฝึกเช่นนี้ก็เพื่อพวกเจ้าเอง ทุกค่ายทุกกอง ต้องอดทนฝึกฝน อย่าได้เกียจคร้าน รู้แล้วใช่ไหม!”

“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!! ขอยอมพลีเพื่อใต้เท้า!!”

หวังทงยืนตัวตรงตามแบบฉบับนายทหารอยู่บนเวที ยกมือขึ้นโบก ทหารด้านล่างก็เริ่มกระจายแถวออก เมื่อครู่พิธีการสั้นๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกน่าเกรงขามอย่างมาก หลี่หู่โถวด้านหลังก็พลอยตื่นเต้นหน้าแดงเข้มขึ้นตามไปด้วย สองมือเก้กังไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหนดี

รอแถวสลายตัวไป อวี๋ต้าโหยวก็ยันเก้าอี้ลุกขึ้นยืน หวังทงรีบเข้ามาประคอง อวี๋ต้าโหยวโบกมือยิ้มกล่าวว่า

“ยังขยับได้ไม่ต้องประคอง ที่เจ้าทำนี่ดูเหมือนพิธีการเลื่อนลอย แต่กลับได้ผลดีมาก เจ้าพวกลูกกระต่ายต่างฝึกหนักกัน กลัวโดนปลดทิ้ง ทุกคนจิตใจเต็มร้อย”

หวังทงยิ้มๆ พิธีพวกนี้มีผลต่อการอบรมและเกียรติยศขององค์กร การกระทำเช่นนี้นานวัน ทุกคนก็จะรู้สึกภักดีองค์กร รู้สึกยอมรับคำสั่ง ความคิดรวมตัวเป็นหนึ่งก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น พิธียิ่งน่าเกรงขามมากเท่าไร ผู้ปฏิบัติก็จะยิ่งยอมรับ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเกรงขามและสูงส่ง จะจริงจังและไม่เห็นเป็นเรื่องเด็กเล่น ในชาติก่อนนั้นก็ใช้ความรู้พวกนี้ในการสร้างและอบรมกลุ่มองค์กรต่างๆ ขึ้นมา

ในสมัยนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในยุคข่าวสารฉับไว ยังไม่มีผู้ใดได้ออกไปสู่โลกภายนอกมากนัก พวกคนในนี้ที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย วิธีการเช่นนี้ย่อมได้ผลเป็นพิเศษ

ไม่ถึงสองเดือน พลทหารใหม่ก็เริ่มรู้สึกภาคภูมิใจในสถานะของตนเอง เริ่มขยันฝึกขึ้นมาด้วยตนเองอย่างไม่รู้ตัว

“วิธีมอบป้ายประจำตัวพวกนั้นก็ไม่เลว หากสามารถแกะสลักชื่อพลทหารทุกคนลงไปด้วย ไม่แน่ว่าอาจได้ผลดียิ่งขึ้น!”

จะว่าไปจะต่างอะไรกับพวกองครักษ์เสื้อแพร อันนั้นป้ายประจำตัวทำจากวัสดุแตกต่างกันไป ก็แค่เอามาปรับให้เป็นแผ่นเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือก็เท่านั้น ป้ายของบรรดาพลหทารก็เขียนคำว่า “ทหาร” ระดับกองธงเล็กขึ้นไปก็เขียนชื่อและตำแหน่ง

ป้ายเหล็กแผ่นเล็กๆ ทำจากโรงตีเหล็ก หวังทงกล้าจ่ายเงินในการทำป้ายเหล็กแสดงสถานะนี้มาก แผ่นละราว 30 อีแปะ โรงตีเหล็กในเมืองเทียนจินก็แบ่งงานนี้ไปช่วยกันทำสองสามโรง

ป้ายนี้ทำออกมาแล้วก็ได้ผลดี พลทหารทุกคนที่ได้รับป้ายก็จะทะนุถนอมมาก เก็บรักษาอย่างระมัดระวัง พวกใช้แรงงานก็มองกันตาเป็นมัน

ตอนนี้ทุกครึ่งเดือนจะมีวัดผลการฝึก พวกที่ถูกคัดออกก็จะส่งไปทำงานที่ร้านค้าและริบป้ายคืน ปรากฏว่าทุกคนฝึกฝนกันอย่างหนัก พวกมีป้ายแล้วก็กลัวเสียป้ายไป พวกไม่มีป้ายก็พยายามสุดชีวิตให้ได้มา

ได้ยินความเห็นอวี๋ต้าโหยว หวังทงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มตอบว่า

“ครูฝึกอวี๋กล่าวได้มีเหตุผล ข้าเตรียมจะให้ทุกค่ายมีการสอบใหญ่ทุกปี คะแนนดีที่สุด 30 คนแรกก็จะได้จารึกชื่อบนป้ายเหล็ก วันหน้าไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ป้ายนี้ก็จะไม่ริบคืน”

อวี๋ต้าโหยวค่อยๆ ลงเวทีมาด้วยความระมัดระวัง พอได้ยินวิธีนี้ก็ยิ้มกล่าวว่า

“เจ้ารู้จักขยายขอบเขตการทำงานจริงๆ ทำเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งฝึกกันหนักขึ้นอีก”

หวังทงโค้งกายคำนับพลางหัวเราะ หลี่หู่โถวที่ตามมาด้านหลังก็อดไม่ได้ถามขึ้นว่า

“พี่หวัง ข้าดูการฝึกแล้ว แม้ว่าค่ายหนึ่งข้าก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา ให้ข้ามาค่ายเถอะนะ ไม่เป็นนายกองธงเล็ก เป็นพลทหารก็ได้”

“รอเจ้าสูงอีกหน่อยก็ได้ ตอนนี้เจ้ายังตัวเล็กไป!”

ได้ยินคำตอบ หลี่หู่โถวก็ยู่ปากหน้าบึ้งไม่ยอมพูดจาอีก แต่จริงๆ แล้วเป็นตามความคิดข้างต้น เด็กน้อยแม้ว่าจะเป็นแต่ที่แข็งแกร่งกว่าทุกคน แต่ทุกคนก็คงรู้สึกไม่น่าเกรงขาม ตอนนี้หวังทงไม่อย่าให้มีอะไรมาทำลายบรรยากาศ

หลี่หู่โถวอยู่ในช่วงกำลังยืดตัว การฝึกที่ลำบากเกินไปจะเป็นการทำลายตัวเขาเอง หลี่หู่โถวตอนนี้แม้ว่าได้ตำแหน่งนายกองพันมาจากลานฝึกหู่เวย แต่เกี่ยวพันกับหลายฝ่ายมากเกินไป หลี่หู่โถวยังไงก็ยังต้องดูแลอย่างระมัดระวังถึงจะดี

ความคิดหวังทงเปลี่ยนไปที่อื่นอย่างเร็ว จะทำให้คนรู้สึกเป็นกลุ่มองค์กรกันได้อย่างไร ทำให้คนขยันขันแข็งได้อย่างไร ทำให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร ความรู้เรื่องนี้เขารู้หมด แต่จะนำมาใช้ฝึกในยุคสมัยนี้ได้อย่างไร ยังต้องคิดให้รอบคอบ

ตอนมายุคนี้ใหม่ๆ หวังทงรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนมาในสมัยอดีตนั้นใช้ที่นี่ไม่ได้ และเขาก็รู้ประวัติศาสตร์น้อยมาก ทำให้หวังทงรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ค่อยๆ เติบใหญ่ไปเรื่อยๆ หากเมื่อบุคคลและเรื่องราวที่พบพานมากขึ้นเรื่อยๆ หวังทงก็พบว่าสิ่งต่างๆ ในโลกอดีตนั้นสามารถนำมาปรับใช้ได้

มาเทียนจินได้ไม่ถึงครึ่งปี อวี๋ต้าโหยวก็ชราลงไปมาก เดินเหินก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน หวังทงคิดจะเข้าไปประคองก็เกรงว่าจะโมโห เดินไปได้สองสามก้าว ถานเจียงด้านหลังก็ตามมาทันกล่าวขึ้นไม่ดังนักว่า

“นายท่าน ถานกงบอกว่าเมื่อครู่สิบคนนั้นหลายวันก่อนเข้าเวรกะดึก ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนอกค่าย หลายคนกลับมาส่งข่าวแล้วก็ยังถูกส่งออกไปลาดตระเวนอีกหนึ่งชั่วยาม ก็ย่อมเหนื่อยล้าอยู่บ้าง การสอบเมื่อครู่ตกไปอยู่ท้าย อันนี้…”

หวังทงโบกมือ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ก่อนที่พวกเขาจะไปออกศึกสังหารศัตรู ขอเพียงอยู่ในค่ายฝึกนี้ จะทำลายกฎเกณฑ์การคัดออกนี้ไม่ได้ ไม่อาจมีกรณีพิเศษ ในเมื่อมีสาเหตุนี้ ครั้งหน้าก็เสริมพวกเขาคืนมาก็แล้วกัน วันหน้าดึกดื่นมีเรื่องเช่นนี้อีก ก็ให้ทดสอบช้าอีกหนึ่งวันได้”

ถานเจียงรีบรับคำสั่ง อวี๋ต้าโหยวที่เดินอยู่เบื้องหน้าได้ยินดังนี้ แต่ก็ไม่หันหน้ามา กลับเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า

“กฎกองทัพเช่นภูผา ยอมสังหารผิดแต่ไม่อาจปล่อยผิดตัว นี่จึงเป็นกฎเกณฑ์ หากเรื่องใหญ่แล้วใช้ความรู้สึกเล็กๆ มาทำลายลง เช่นนั้นทุกคนก็จะมีเหตุผล ใครจะยังฟัง ถานเจียง เจ้าติดตามเสนาบดีถานมานานเพียงนี้ ไม่รู้เรื่องนี้หรือไง!”

วาจามาถึงตอนท้ายก็เริ่มดุดัน ถานเจียงตัวสั่นไปทั้งตัว รีบเดินไปคุกเข่าลง โขกศีรษะสามครั้งก่อนจะลุกขึ้น เอ่ยตำหนิตนเองว่า

“เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือน ขอใต้เท้าผู้เฒ่าและนายท่านโปรดละเว้นโทษด้วย!”

หวังทงยิ้มประคองให้ลุกขึ้น ในใจคิดถึงเรื่องที่ตนเองฝึกทหารและกำหนดการลงโทษไว้แค่โบยด้วยแส้ 5-10 ทีเท่านั้น แต่อวี๋ต้าโหยวกลับเสนออย่างตรงไปตรงมาว่า

“โบยเบาไป ใช้กระบองกองทัพเลย ขอแค่อย่าตีให้พิการ ตีอย่างไรก็ได้!”

จัดการกองทัพใช้ระเบียบเข้มงวด เป็นเรื่องมีหลักการจริงดังว่า

ยังไม่ทันเดินออกนอกค่าย ก็มีขันทีชุดน้ำเงินลงจากหลังม้าที่นอกประตูค่าย วิ่งอย่างเร่งร้อนมาทางหวังทง กล่าวด้วยความละอายใจว่า

“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยไปที่โรงปืนไฟมา แต่หลูกงกงไม่ให้เข้าไป”

หวังทงยิ้ม เข้าไปตบบ่าขันทีผู้นั้นกล่าวว่า

“ไช่กงกงเพิ่งมาถึง หลูกงกงไม่รู้จักก็ไม่แปลก อีกสักครู่ข้าจะให้เทียบแนะนำตัวท่านแล้วค่อยไปใหม่”

ไช่กงกงผู้นี้ก็คือไช่หนานที่ติดตามโจวอี้ในเมืองหลวง โจวอี้ทำผิดต้องโทษ ก็ทำให้คนมากมายเดือดร้อนไปด้วย ตัวเขาเองก็ไม่ได้สะอาดเท่าไร เพียงแต่เงินไม่มาก ตำแหน่งไม่สูง ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดช่วยเหลือจึงได้มาเป็นเจ้าหน้าที่เลือกซื้อสุราและซอสเปรี้ยวที่นี่

รับหน้าที่เลือกซื้อสุราและซอสเปรี้ยวให้ห้องเครื่องวังหลวง เจ้าหน้าที่เลือกซื้อก็ต้องถูกส่งออกมาก่อน ไม่ได้ประจำในหน่วยงาน ตำแหน่งนี้ก็ฟังแล้วก็ดี แต่ไม่มีอำนาจแท้จริง ทำแต่งานรับใช้

แต่ภารกิจของไช่หนานก็พิเศษอยู่ ให้ประจำที่สำนักนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินชั่วคราว รอสารมาถึงค่อยทำงาน ในนี้ย่อมมีความนัยที่ทุกคนรู้แก่ใจ

ไช่หนานเองก็เข้าใจ มาที่นี่แล้วก็รีบจัดวางตัวเองอยู่ในฐานะคนรับใช้ของหวังทง คอยวิ่งไปวิ่งมาให้แข็งขัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version