ตอนที่ 256 รอพรุ่งนี้
“ขอบอกพี่ชายน้อยไว้ก่อนว่า หอมตรึงจิตนี้ไม่อาจใช้กาน้ำชาชง ใช้ชามใหญ่เนื้อยิ่งหยาบชงก็ยิ่งส่งกลิ่นหอมจรุง”
คนงานนำทางยิ้มตาหยีกล่าว นำทางโดยไม่หันหน้ามามอง
มือหวังทงสอดไว้ในตะกร้ากำมีดแน่น เดินตามไปเงียบๆ พอไปถึงหน้าประตูเรือนด้านหลัง คนงานผู้นั้นก็เปิดประตูเชิญให้หวังทงเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตู
พอเข้าไปแล้ว หวังทงก็อึ้งไปเล็กน้อย ที่นี่ดูเหมือนอีกร้านหนึ่ง ณ ลานด้านหลังของร้านนี้ มองไปยังเรือนไม่ไกลจากประตูหลังมากนัก เซี่ยงเหยียนกำลังยิ้มทักทายอยู่ตรงนั้น
“ถนนหน้าประตูร้านของชำกับประตูหน้าเรือนนี้ต้องอ้อมรอบใหญ่ ไม่มีผู้ใดคิดว่าจะทะลุถึงกันด้านหลังได้ แม้ว่าใกล้กันแต่กลับเป็นที่ปลอดภัยที่หนึ่ง”
หวังทงเอามือออกจากตะกร้า ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เจ้าก็ไม่ใช่คนเทียนจิน เมื่อไปเยี่ยมคารวะข้า ก็ย่อมมีคนจับตาดู ที่นี่เกรงว่าไม่ปลอดภัยแล้ว”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ เซี่ยงเหยียนก็หัวเราะออกมา เอียงกายทำความเคารพอ่อนช้อย เอ่ยอธิบายว่า
“การค้าของข้าน้อยมีทั้งในและนอกเมือง หลายอำเภอในเมืองเหอเจียนก็มี ก็ต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ทั้งบนและล่าง ขอเพียงมีเจ้าหน้าที่ทางการมาประจำเทียนจินก็ต้องไปคารวะมอบของขวัญ นานวันเข้าก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ จะว่าไป ทางโรงเตี๊ยมมงคลนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นการค้าของข้าน้อย มิอาจโยงถึงกัน”
หวังทงไม่ได้ต่อบทสนทนาต่อ ในห้องปัดกวาดได้สะอาดมาก กลับไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ สองฝ่ายนั่งลง เซี่ยงเหยียนลุกขึ้นรินน้ำชาให้หวังทงถ้วยหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า
“ที่นี่มีเพียงบ่าวรับใช้สูงวัยสองคน ใช้ให้ออกไปข้างนอกซื้ออาหารแล้ว รับรองใต้เท้าไม่ดีและชักช้า ขอโปรดอภัย”
“ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้ามาครั้งนี้เพียงอยากได้ข่าวหนึ่ง!”
เซี่ยงเหยียนสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด หวังทงกล่าวต่อว่า
“รายชื่อของนาวาสุคนธ์…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ สีหน้าเซี่ยงเหยียนก็มีแววตระหนกเผยออกมา พลางรีบกล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ใต้เท้า นาวาสุคนธ์แค่คนร่วมปักธูปเข้าร่วมสำนักก็มีเกือบหกพันแล้ว นี่แค่ที่ทุกคนเห็นกันโจ่งแจ้ง แน่นอนว่ามีที่ไม่รู้อยู่อีก รายชื่อนี้จะได้มาได้อย่างไร”
ตัวเลขนี้หวังทงพอมีอยู่ในใจบ้างแล้ว หากวาจานี้ทำให้หวังทงรู้สึกโมโหขึ้นทันที เขากดฝ่ามือลงที่ขอบโต๊ะถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า
“สถานที่ใกล้เมืองหลวงเช่นนี้ หกพันคนปักธูปร่วมสำนัก หากเจ้ามีข่าวมารายงาน ราชสำนักไหนเลยจะปล่อยให้มีพวกโจรสวะพวกนี้อยู่ได้”
แม้ว่าหวังทงจะเป็นเพียงนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน แต่เซี่ยงเหยียนรู้ดีว่า หนุ่มน้อยอายุ 16 ปีผู้นี้อยู่ในสายตาของบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงหลายคน การมาถามข้อมูลเช่นนี้บางทีอาจจะถูกขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงตำหนิและไม่ไว้ใจ
ได้ยินเช่นนี้ เซี่ยงเหยียนก็ลังเล รีบลุกขึ้น เดินไปด้านหน้าหวังทงและคุกเข่าลง น้ำเสียงร้อนใจอย่างมาก เซี่ยงเหยียนเป็นสายสืบมานานหลายปี ย่อมวางตัวสงบนิ่งได้ตั้งนานแล้วและน่าจะฝึกจนเป็นนิสัย หากยามนี้กลับรู้สึกร้อนใจขึ้นมาจริงๆ
“ใต้เท้าทุกท่านอยู่เมืองหลวง ไม่รู้ว่าหรอกว่าข้าน้อยอยู่ข้างนอกลำบากเพียงใด ข้าน้อยอยู่เทียนจินมาแปดปี ตอนมาแรกๆ ก็รู้เรื่องการเข้าเป็นคนสำนักนาวาสุคนธ์ ก็รีบส่งม้าเร็วไปแจ้งเมืองหลวง แต่กลับไม่มีข่าวคราวส่งกลับมา ตอนนั้นนาวาสุคนธ์ก็แค่ราวสามร้อยคนเท่านั้น สองปีก็เพิ่มเป็นสามพัน ต่อมาข้าน้อยก็มีสารด่วนไปอีก กลับมีผู้ส่งสารตำหนิกลับมาแทน บอกว่า เรื่องเกี่ยวข้องกับการขนส่งใต้หล้า กระทบต่อการขนส่งเช่นนี้ย่อมมีหน่วยงานดูแลเส้นทางน้ำจัดการ เจ้ามากเรื่องอะไร เช่นนี้จะให้ข้าน้อยทำอย่างไรได้ จะทำเช่นไรได้?”
คิดไม่ถึงว่าจะมีความแฝงอยู่เช่นนี้ หวังทงก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรได้อีก เห็นชัดว่าเซี่ยงเหยียนร้อนใจไม่น้อย คุกเข่าอยู่ตรงนั้นมองหวังทง
“ลุกขึ้นเถอะ! วาจานี้กล่าวกับข้าก็พอ ตอนนี้สภาพเช่นนี้เกรงว่าเจ้าจะเผยให้คนนอกได้ระแคะระคาย จะต้องประสบเภทภัยในไม่ช้า!”
“ตั้งแต่มาเทียนจิน ขุนนางแต่ละคนก็ไม่กล้าแตะต้องสำนักนาวาสุคนธ์ ขุนนางฝ่ายบู๊ไม่น้อยก็ถูกพวกเขากดกันจนขยับตัวไม่ได้ หากไม่โดนจัดการทุลักทุเลแทบเอาชีวิตไม่รอด ก็ไม่อาจเงยหน้าอ้าปากได้ ตามธรรมเนียมข้าน้อยควรจะได้กลับไปที่สำนักบูรพาดำรงตำแหน่งอื่นตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว ทำไมยังถูกกดอยู่นี่….ใต้เท้ามาเทียนจินนี่ สังหารคนและหัวหน้านาวาของสำนักนาวาสุคนธ์ต่อหน้าผู้คน ข้าน้อยจึงได้กล้ากล่าววาจานี้กับใต้เท้า มิเช่นนั้น ข้าน้อยไหนเลยจะกล้า”
หวังทงลุกขึ้นยืนไม่พูดอะไร ดึงเซี่ยงเหยียนให้ลุกขึ้นตาม ตนเองกลับนั่งลงไปดังเดิม เซี่ยงเหยียนสามารถพูดออกมาเช่นนี้ได้ ก็เหมือนเปิดเผยตัวตนไม่น้อยแล้ว
“ตำหนิเจ้าผิดไปแล้ว ในเมื่อมอบรายชื่อทุกคนให้ไม่ได้ คนของนาวาสุคนธ์ในเมืองล่ะ ทางเจ้าทุกวันสืบข่าวจับตาดู มีอะไรบ้าง?”
เซี่ยงเหยียนยิ้มเฝื่อนๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้า สายสืบสำนักบูรพาจับตาคนทางการไม่จับตาประชาชนทั่วไป จับตาดูประชาชนเป็นเรื่องของสำนักองครักษ์เสื้อแพร เรื่องใหญ่ที่นาวาสุคนธ์ได้ทำมานั้น ท่าทีเมืองหลวงเหมือนปกป้อง ทางข้าน้อยก็มิกล้าสืบเปิดเผย ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ความอะไรนัก แต่หากใต้เท้าต้องการ ทางข้าน้อยจะให้แหล่งที่ตั้งสองสามแห่งของพวกนาวาสุคนธ์ในเมืองแก่ท่าน นี่เป็นเรื่องไม่ปิดบังที่ข้าน้อยสืบความมาได้ เรื่องอื่นๆ ไม่มีแล้ว”
หวังทงส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า
“เอาที่อยู่ที่ว่ามาให้ข้า มีก็ดีกว่าไม่มี”
เซี่ยงเหยียนมองเหมือนจะถามอะไร แต่ก็ลังเลไม่ได้เอ่ย พอส่งเสียงเรียกบอกไปก็ได้พู่กันและหมึกมา จากนั้นก็เขียนที่อยู่สองสามที่ลงไปบนกระดาษทันที
หวังทงพับกระดาษใส่ตะกร้าไม้ไผ่ ลุกขึ้นเดินออกไป เซี่ยงเหยียนคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยถามว่า
“ข้าน้อยขอบังอาจถามสักคำว่าใต้เท้าต้องการรายชื่อไปเพื่ออะไร”
“ไม่ต้องถาม ตอนนี้สืบข่าวต่อไป สืบได้มากเท่าไร ประโยชน์ย่อมมากตามไปด้วย ยิ่งมีผลดีต่อตัวเจ้าเอง”
หวังทงโบกมือ กลับออกไปตามทางเดิมที่มา
ตอนออกมาจากประตูหน้า หน้าร้านของชำครึกครื้นกว่าตอนขามาไม่น้อย จึงได้แฝงตัวออกไปกับฝูงชนที่เข้าออกเหล่านั้น หวังทงตั้งใจเดินไปยังร้านอื่นๆ อีก ซื้อเครื่องปรุงในครัวกับขนมและอื่นๆ อีกเล็กน้อย ร้านค้าเหล่านี้ล้วนอยู่ในที่ตั้งต่างกัน ต้องใช้เวลาวกไปวนมาไม่น้อย
พวกถานเจียงเดินตามอยู่ด้านหลังไกลๆ ล้วนทำทีเหมือนคนเดินถนนทั่วไป เดินมาตลอดทางเช่นนี้ บางทีหวังทงก็ทำทีเหมือนคิดอะไร แล้วก็หันขวับไปมองทันที แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร
ดูท่าแล้วไม่มีคนจับตามอง หวังทงยิ้มเยาะตัวเองในใจอยู่บ้าง ความรู้ในเรื่องการสืบความลับพวกนี้ตนเองล้วนได้มาจากในนิยาย ละครและภาพยนตร์ การแต่งกายและแสดงท่าทางเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่ แต่ลองคิดดูอีกที หากพวกนาวาสุคนธ์มีความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าก็คงไม่ขยายอิทธิพลอยู่แต่เมืองเทียนจินเล็กๆ นี่ คงได้กินยาวไปทั้งเส้นทางขนส่งแล้ว
พอเดินไปถึงเรือนแถวหอกลอง หวังทงกลับคิดความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมาได้ว่า สำนักนาวาสุคนธ์เกี่ยวข้องกับการขนส่งมากมายเช่นนี้ แรงงานหกพันคน พวกตัวหัวหน้าที่ออกไปลงมือกัน เกรงว่ากำลังหลักนอกจากพวกแรงงานบนเรือแล้ว น่าจะยังมีพวกแรงงานขนส่งที่ท่าเรือรวมด้วย
เส้นทางน้ำแต่ละสายนอกเมืองเทียนจิน ทั้งกลางวันและกลางคืนมีเรือขนถ่ายสินค้ากันไม่น้อย ในนั้นยิ่งมีพวกมีที่มาไม่ชัดเจนไม่น้อย ยังมีเรือใหญ่ที่ไม่อาจเปิดเผย เช่นคืนนั้นที่มีพวกโจรสลัดร่วมอยู่ด้วย เรือพวกนั้นเข้าออกกึ่งเปิดเผย แต่อย่างไรก็ไม่อาจเปิดเผย
สินค้าบนเรือไม่ขนก็ไม่ได้ แรงงานขนสินค้ามีมากมาย คนมากก็ปากมาก คิดจะให้ทุกคนปิดปากเงียบสนิท การกระทำเช่นการปักธูปเข้าร่วมสำนักที่มีเกราะแน่นหนาเช่นนี้ได้สร้างระบบการจับตาดูกันและกันขึ้นมา กลายเป็นกลุ่มองค์กรได้เอง น่าจะเป็นความตั้งใจในการก่อตั้งสำนักนาวาสุคนธ์นี้
********
พอกลับถึงจวนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หวังทงก็ตามพวกถานเจียงมาที่ห้อง ตอนนี้พวกถานเจียงข้างกายเขามีทั้งหมดสี่คน คนอื่นๆ อยู่ที่ค่ายฝึกกำลังพลใหม่
พวกถานเจียงเดินเข้ามาในห้อง หวังทงกำลังอ่านที่อยู่ที่เซี่ยงเหยียนเขียนให้ ในเมืองทั้งหมดมีสามแห่ง นอกจากที่ที่ตนไปมาเมื่อคราวที่แล้ว ถนนทางตะวันตกของเมืองยังมีอีกสองแห่ง
ความรุ่งเรืองและคลองส่งน้ำที่เมืองเทียนจินนี้เกี่ยวพันกับเมืองหลวงอย่างแยกไม่ออก ทางตะวันตกของเมืองก็ห่างจากเส้นทางสู่เมืองหลวงใกล้ที่สุด ห่างจากคลองส่งน้ำก็ไม่ไกล ร้านค้าบนเส้นทางนี้ก็มีครบเกือบทุกร้าน สำนักนาวาสุคนธ์ตั้งที่ทำการสองแห่งที่นี่ นับว่าเลือกได้ไม่เลว
“พวกเจ้าตอนนี้ไปค่ายใหม่เรานอกเมือง พรุ่งนี้เช้าตรู่เข้าเมืองมาพร้อมกับหัวหน้าค่าย บอกหม่าซานเปียวด้วยว่าให้จัดการควบคุมกำลังพลให้ดี รอรับคำสั่ง”
ก่อนพวกถานเจียงจะเข้ามา หวังทงก็เขียนคำสั่งเสร็จ ประทับตราเรียบร้อย บรรยากาศตอนนี้เป็นทางการมาก พวกถานเจียงต่างรับคำสั่งมาด้วยท่าทีแบบทหารในกองทัพรับคำสั่งอย่างไม่รู้ตัว
“นายท่าน หลังจากเข้าเมืองมาพรุ่งนี้จะเคลื่อนไหวเรื่องใด บอกกล่าวล่วงหน้าได้หรือไม่ จะได้ให้ทุกค่ายได้เตรียมพร้อมกัน!”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปรออยู่ที่ประตูทิศเหนือ ถึงตอนนั้นย่อมรู้เอง ตอนนี้ก็ไปจัดการได้แล้ว ทุกอย่างต้องจัดการหลังอาทิตย์ตกดิน คืนนี้เริ่มส่งคนไปรอบๆ ค่ายตรวจตราก่อน หากมีสายสืบข้างนอกจับตาดู ก็ให้ไล่จับมาขังไว้ในค่ายให้หมด”
“ปฏิบัติ!”
“ไปได้แล้ว! อย่ามัวชักช้า!!”
พวกถานเจียงทุกคนออกจากห้องไปแล้ว หลี่หู่โถวก็ไปตามจางซื่อเฉียงเข้ามา หวังทงหยิบเอกสารยื่นให้เขา สั่งการไปว่า
“พรุ่งนี้ก่อนฟ้าสาง พี่จางเอาเอกสารนี้ไปที่หน้ากองคุมกำลังพลรอส่งมอบสารนี้ ปิดประตูเมืองสี่ด้านอยู่ใต้การดูแลของพวกเขา อย่าให้พวกเขามัวชักช้าจะเสียการ”
จางซื่อเฉียงน้อมกายก้มลงรับคำสั่ง หวังทงหันหน้าไปทางหลี่หู่โถวกล่าวว่า
“หู่โถว มีงานมอบให้เจ้าทำ!”
หลี่หู่โถวรีบยืนตัวตรงทันที สีหน้าระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ หวังทงสีหน้าจริงจังกล่าวว่า
“คนของเรา 20 คนกับทหารใหม่ 50 คนให้เจ้าคุม ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่เฝ้าจวนไว้ให้ดี พรุ่งนี้เช้าสาวใช้และคนงานของนายกองตรวจการฟานต๋ากับขันทีว่านเต้าล้วนต้องขังไว้ที่ลานเล็ก ข้ากลับมาเมื่อไร ก็ปล่อยพวกเขาเมื่อนั้น”
หลี่หู่โถวรับคำสั่งแบบทหารท่าทางจริงจัง หวังทงยกมือตบไหล่ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“ออกไปขี่ม้ากับข้าก่อน ไปถนนสายใหญ่รอบเมืองเทียนจินสักรอบ ไม่งั้นพรุ่งนี้อาจจำทางไม่ได้ ไปเตรียมม้าไป!”
หลี่หู่โถวรับคำอย่างตื่นเต้นยินดี รีบวิ่งออกไปทันที หวังทงยืนขึ้นชักดาบออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วก็กระแทกกลับเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป