ตอนที่ 306 คิดตก ไม่ไว้ชีวิต
งานเลี้ยงทั้งวันมีแต่คนของนาวาสุคนธ์แวะเวียนไปมา หัวหน้านาวาใหญ่ทั้งห้าไม่มีผู้ใดมาสักคน แต่หัวหน้าหน่วยนาวาท้องที่มากันไม่น้อย หัวหน้าพวกนี้ก็จ่ายเงินกันไม่น้อย จ่ายกันตำลึงสองตำลึง จากนั้นก็นั่งกินเลี้ยงร่ำสุรากันไป
หัวหน้าพวกนี้ไม่ได้มาคนเดียวแต่ยังนำลูกน้องมาด้วย ไม่โต๊ะหนึ่งก็สองโต๊ะ มักมีคนดื่มมากไปเริ่มเอะอะ แต่ก็แค่ด่าทอมั่วซั่ว ก็แค่ลุกขึ้นมาด่าหวังทงและองครักษ์เสื้อแพร
สร้างป้อมปืนใหญ่ริมแม่น้ำ ปืนใหญ่ถล่มร้านจิ้นเหอ สังหารหัวหน้าชุยกลางถนน สังหารเจียงซงกลางลาน เรื่องพวกนี้ทุกคนล้วนรู้กันดี เจ้าขุนนางสุนัขหวังทงอายุน้อย แต่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ใครบ้างไม่กลัว
คนที่ดื่มไปมากยังพูดได้ไม่เท่าไร ก็มีคนออกมาเตือนให้เบาหน่อย ยังมีคนดื่มไปมากร้องตะโกนให้ “ทุกคนไปเรียกร้องความยุติธรรมกับหวังทง” ถึงกับมีคนสบถด่าคนตะโกนไปยกใหญ่
เอะอะกันทั้งวัน ก็แค่ด่าทอบ่นไปเรื่อย ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อันใด ทุกคนได้แต่เก็บความโกรธแค้นอัดแน่นกลับไป
จ่ายเงินเล็กน้อย กินดื่มกันอิ่มแปล้ กลับบ้านไปยังต้องคิดถึงว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นไร คิดถึงเรื่องที่คุยในวงสุราก็ไม่ผิด เมื่อก่อนอยู่กันสบายๆ พอหวังทงมาถึง ก็ทำเอาลำบากกันเช่นนี้ได้
ภรรยาหม่าต้าฟู่ร้องไห้คร่ำครวญแต่เช้าตรู่ พอตกบ่ายก็ไม่มีน้ำตาให้บีบอีก เสียงร้องแหบแห้ง แต่ก็ต้องร้องต่อ หากไม่ร้องเกรงว่าคงได้หลุดยิ้มออกมาเป็นแน่
นับส่วนที่หม่าต้าฟู่ชนะมา บวกกับเงินช่วยเหลือพวกนี้ รวมกันแล้วก็น่าจะได้ 300 ตำลึง มีเงินก้อนนี้กลับบ้านเกิดแต่งงานใหม่ก็ไม่ยากแล้ว ชีวิตวันหน้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว
หัวหน้าผู้นั้นกล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า วันนี้จัดงานเสร็จ พรุ่งนี้ก็ออกจากเมืองได้ จ้างรถสองคันกลับบ้านเกิด ในเมืองนี้เจ้าสองแม่ลูกไร้สามีเช่นนี้ย่อมไม่สะดวก
แม้จะกล่าวว่าในเจ็ดวันต้องจัดงานให้ดี แต่พวกครอบครัวเล็กๆ ใช้ชีวิตสำคัญกว่า หัวหน้าผู้นั้นนำเงินมาจัดงานให้สมศักดิ์ศรี นางหม่าจึงรับปากจัดงาน
วันที่สอง ร้านโลงศพก็ส่งรถใหญ่มาคันหนึ่งพร้อมคนสองสามคน ทางนางหม่าเองก็จ้างรถมาอีกคัน เก็บของเสร็จก็ออกเดินทางทันที
พอรถใหญ่ออกจากเมืองไปได้สิบกว่าลี้ สองข้างทางก็เริ่มรกร้างไร้ผู้คน พอเลี้ยวไปถึงที่ๆ ร้านโลงศพเลือกไว้ก็ยกศพลงฝัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง รถสองคันก็จากไป ไม่เห็นโลงศพแล้ว คนบนรถก็ไม่เห็น เห็นแต่ชายเหล่านั้นนำรถกลับเมืองเทียนจิน
นางหม่ากับลูกได้กลับบ้านเกิดหรือไม่ เทียนจินห่างกันไกลเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ และก็ไม่มีผู้ใดไปสอบถามข่าวคราว
***********
ชาวนาวาสุคนธ์มีส่วนหนึ่งเอาแต่ร่ำสุราเล่นการพนันกันทั้งวัน มีส่วนหนึ่งใช้เงินที่สะสมไว้ก่อนหน้ามาเปิดร้านค้าเล็ก ยังมีบางส่วนยอมเสียหน้าไปใช้แรงงานต่อ
ไม่ว่าอย่างไรก็ใช้แรงงานหาเลี้ยงชีพ เมื่อก่อนกินเนื้อ ตอนนี้กินผัก แต่ก็กินอิ่มทำงานไป วันหน้าไม่แน่อาจมีอะไรเปลี่ยนแปลง คิดได้แล้วก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร
ซาเอ้อร์เป่าปีนี้อายุ 18 เป็นชาวนาวาสุคนธ์ที่แสนธรรมดาผู้หนึ่ง พูดกันตรงๆ ก็พวกร่างกายกำยำต้องการหาเลี้ยงชีพจึงได้เข้ามาเป็นชาวนาวาสุคนธ์
เขาไร้บิดาไร้มารดา ที่บ้านมีพี่สาวกับเขาเพียงสองคน พี่สาวแต่งมาที่เทียนจิน พี่เขยเปิดร้านเล็กๆ ค้าขายซาลาเปา มีลูกสองคน จึงช่วยเหลือเขาไม่ได้มากนัก
พอเข้าร่วมสำนักนาวาสุคนธ์ เขายอมทำงานหนัก ขนสินค้ามากมาย ได้เงินมาไม่น้อย ยังมักจะแบ่งเงินให้พี่สาวกับพี่เขยบ้าง หากก็มิได้ทำให้กินไม่อิ่มท้อง มีชีวิตที่มีความสุขไม่น้อย
พอนาวาสุคนธ์ล้มลง ซาเอ้อร์เป่าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เขามาเข้าสำนักได้แค่ปีเดียว ทำงานไม่น้อย ได้เงินจากการใช้แรงงานที่ท่าเรือก็พอสมควร ว่ากันว่าทนอีกสองสามปีก็จะสบาย นี่ยังไม่ทันได้ทนอะไรเลย พี่สาวและพี่เขยต้องลำบากตรากตรำแต่เช้าจนค่ำขายซาลาเปา ยังต้องจ่ายเงินค่าปักธูปอีกด้วย
ตอนนี้จ่ายค่าป้ายสงบสุข ร้านเช่นนี้จ่ายเงินราคาไม่เปลี่ยน เดือนละ 5 อีแปะ หากลำบากไม่จ่ายก็ผ่อนผันให้สองสามปี ก็เหมือนว่าไม่ได้จ่าย ชีวิตก็ดีไม่น้อย
ตนเองไปใช้แรงงานที่ท่าเรือ ทำมากได้มาก ไม่ต้องเสียให้เบื้องบน และไม่ต้องเสียค่าหัวคิวให้พวกหัวหน้า เงินที่ได้มาก็มากกว่าเมื่อก่อนมาก
ซาเอ้อร์เป่าผ่านชีวิตลำบากมามาก รู้ว่าหาเงินไม่ง่าย และรู้ว่าต้องดีต่อพี่สาวพี่เขย ใช้แรงงานที่ท่าเรือได้เดือนกว่า เถ้าแก่ที่ร้านขายเครื่องเคลือบแห่งหนึ่งเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เลว เป็นคนซื่อสัตย์เจียมตัว รับมาเป็นลูกจ้างในร้านก็คงดี
ลูกจ้างในร้านสินค้าเริ่มต้นได้เงินไม่ต่างกับข้างนอก แต่มีข้าวกิน ปลายปียังมีอั่งเปา มีหน้ามีหน้าอยู่บ้าง
ซาเอ้อร์เป่าได้งานนี้มาแล้ว ไม่เพียงแต่พี่สาวพี่เขยดีใจยกใหญ่ แต่เพื่อนบ้านพอรู้ก็มีคนมาเสนอเนื้อคู่ให้ถึงบ้าน เรื่องมงคลเกิดพร้อมกันทีเดียวสองงาน เป็นช่วงวันเวลาที่กำลังรุ่งเรือง
น่าจะเป็นวันที่หม่าต้าฟู่ไปฝังวันนั้น ซาเอ้อร์เป่าที่กำลังทำงานอยู่ด้านหลังร้านก็ถูกเถ้าแก่เรียกตัวมา พอไปพบ เถ้าแก่ก็เปิดประเด็นตรงไปตรงมาว่า ในร้านไม่ใช้คนนาวาสุคนธ์ ให้เขาไปได้
นี่ราวกับโดนไม้ฟาดกลางกระหม่อม ซาเอ้อร์เป่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าผิดตรงไหน แต่เถ้าแก่กล่าวเช่นนี้ ตนเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร อย่างมากก็ออกไปใช้แรงงานหากินต่อ
คนซื่อคิดตกก็จะมีชีวิตที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก เทียนจินในตอนนี้ ยอมลงแรงเพื่อให้อิ่มท้องนั้นง่ายมาก หากหาถูกที่ เช่นไปที่แม่น้ำทะเล อย่างไรก็ต้องหาเงินได้
พวกที่พอมีหัวคิดย่อมคิดได้ ร้านค้าและโกดังสินค้าที่แม่น้ำทะเลนั้นมากมาย คนงานก็ยังน้อย ถึงตอนนั้นทุกคนไปทำงานกันที่นั่น อย่างไรก็ต้องพอหาเลี้ยงปากท้องได้
แม้ว่าซาเอ้อร์เป่าคิดตก แต่อย่างไรก็มิใช่เรื่องดี พอกลับไปบอกพี่สาวพี่เขย พี่สาวร้องไห้คร่ำครวญ พี่เขยยิ่งด่าทอตนเองว่าตอนแรกไม่ควรให้เอ้อร์เป่าเข้าสำนักนาวาสุคนธ์เลย
ซาเอ้อร์เป่านำเงินที่เหลืออยู่ในมือไปซื้อขนมให้หลานชายและหลานสาว ตนเองไปซื้อผลไม้สองสามอย่างกลับไปที่พัก นอนแล้วรอพรุ่งนี้ไปทำงานต่อก็แล้วกัน
ที่พักของเขาเป็นเพิงพักที่ท่าเรือนอกเมือง ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านก็พักที่นี่ ที่พักซาเอ้อร์เป่าเป็นเพียงแค่เพิงพังๆ เตียงพังๆ แค่นอนได้เท่านั้น
พื้นที่นี้ไม่เคยเงียบ หนึ่ง เป็นคืนที่เรือบนคลองส่งน้ำมีการขนสินค้า คืนนี้ร้านค้าต้องการแรงงาน สอง ทุกคนไม่มีบ้าน
ไม่มีอะไรต้องห่วง มีเงินเล็กน้อยก็ใช้หมดไม่คิดมาก มีงานก็ทำไป ไม่มีงานก็ร่ำสุราเรื่อยเปื่อย รวมตัวกันเล่นพนัน มีบางคนหาหญิงสาวมาเป็นเพื่อน เป็นพื้นที่ครึกครื้นอยู่ตลอดเวลา
พื้นที่เช่นนี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการก็ไม่ค่อยได้มา พื้นที่ไร้ขื่อไร้แป ที่นี่ทุกคนดูแลตัวเอง เรื่องคนอื่นยุ่งให้น้อย แม้แต่หัวหน้านาวาสุคนธ์เมื่อก่อนยังต้องเสียเปรียบที่นี่ มีเรื่องกันใหญ่โต สุดท้ายไม่รู้ผู้ใดเป็นคนลงมือ ได้แต่ปล่อยให้ผ่านเลยไป
คืนวันที่ 13 เดือนเก้า นอกจากพระจันทร์ดวงโตขึ้นอีกหน่อย อากาศหนาวขึ้นอีกนิด ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกคนดื่มกันกันอย่างสบายใจ พวกไม่มีเงินก็คลุมหน้านอน ลำบากลำบนมาถึงเที่ยงคืนกว่าจะได้อยู่กันเงียบๆ
ทั้งคืนไม่มีเรื่องอันใด ผ่านไปเช่นนี้ เช้าวันที่สองยังไม่มีใครสนใจใคร ยังใช้แรงงานที่ท่าเรือต่อ คืนวานซาเอ้อร์เป่ามาทักทายบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปด้วยกัน ไปแต่เช้าจะได้เลือกก่อน ไปกลางคืนดีไม่ดีไม่มีงาน ผู้ใดจะคิดว่ารอไปรอมา ซาเอ้อร์เป่าก็ไม่มา
“มารดามันสิ เป็นลูกจ้างได้ไม่กี่วัน ทำตัววางท่า ไม่ใช่คุณชายเสียหน่อย”
ยังดีที่เมื่อก่อนเอ้อร์เป่าเป็นคนไม่เลวนัก ผู้ใดเดือดร้อนเขามักไปช่วยเหลือ ตอนทำงานได้แบ่งเงินก็ไม่คิดมาก ทุกคนมักจะจดจำน้ำใจนี้ ด่าก็ด่าไป แต่อย่างไรก็ต้องไปตามสักหน่อย
เพิงเก่าๆ พังๆ ประตูปิดอยู่ คนไปเรียกไม่สำรวมท่าทีอันใด พอเห็นประตูปิดอยู่ ก็เคาะเสียงดังอยู่ด้านนอก ตะโกนด่าไปว่า
“เอ้อร์เป่าตื่นได้แล้ว เป็นลูกจ้างจนนิสัยเสียหรือไง…”
บังเอิญว่าพอเคาะประตูไป ประตูก็แง้มออก หรือว่าตื่นแล้ว พอยื่นหน้าเข้าไปมอง เสียงร้องโหยหวนดังพร้อมกับหลุดอุทานออกมา “โอ้แม่เจ้า” ถอยกรูดไปหลายก้าว ถูกประตูขวางล้มนั่งแปะลงกับพื้น
ด้านนอกยังมีคนสิบกว่าคนรออยู่ ได้ยินเสียงร้องโหยหวน ก็รู้สึกได้ว่าไม่ปกติ รีบวิ่งกรูกันมาทันที คนที่นั่งแปะอยู่กับพื้นสั่นเทาไปทั้งตัวชี้ไปในบ้าน เอ่ยติดอ่างตะกุกตะกักขึ้นว่า
“ตะ…ตายแล้ว…”
เมื่อทุกคนได้ยินก็สบตากัน ผลักประตูวิ่งเข้าไป ซาเอ้อร์เป่าใช้ผ้ามัดเอวผูกกับขื่อแขวนคอตายแล้ว
ในตอนนี้ ผู้ใดก็ไม่สนใจงานอีกแล้ว รีบช่วยกันเอาศพลงมา ตัวเย็นแข็งทื่อแล้ว ตายไปแล้ว มีคนวิ่งไปแจ้งทางการ มีคนวิ่งเข้าเมืองไปแจ้งข่าวพี่สาว ทุกคนยามนี้ต่างพูดไม่ออก เด็กหนุ่มดีๆ ผู้หนึ่ง เหตุอันใดทำให้คิดไม่ตกกัน!
กลุ่มนาวาสุคนธ์นอกเมืองต่างก็กระจายกันอยู่ที่นี่ ข่าวมาถึงไวมาก ตอนชาวนาวาสุคนธ์มาถึง พี่สาวซาเอ้อร์เป่ากับทางการยังมาไม่ถึง
ชาวนาวาสุคนธ์มา 30 กว่าคน แม้ว่าไม่ได้ทรงอิทธิพลเหมือนเมื่อก่อน แต่คนเยอะทำให้คนรอบข้างเกรงกันอยู่หลายส่วน ใบหน้าหัวหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น มองศพแล้วก็กล่าวว่า
“เด็กหนุ่มดีๆ ผู้หนึ่ง เหตุอันใดทำให้คิดไม่ตกกัน อายุเท่าไรกันเอง ทุกท่าน ผู้ใดรู้บ้างว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น?”
ทุกคนสบตากัน ทุกคนต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จริงๆ แต่คนมุงวงนอกผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า
“เมื่อคืนวานพบกัน เอ้อร์เป่าบอกว่าถูกนายจ้างไล่ออกมา บอกว่าเพราะเป็นชาวนาวาสุคนธ์ ดังนั้นจึงไม่กล้าจ้าง”
หัวหน้าผู้นั้นได้ยินแล้ว ก็หันไปมองคนที่มาด้วยกัน เงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ถอนหายใจ สีหน้าเศร้าสลด
เทียนจินไม่ใหญ่ ไม่นาน พี่สาวกับพี่เขยซาเอ้อร์เป่าก็รีบมาถึง พอเห็นร่างของน้องชาย คิดถึงว่าเมื่อวานยังบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ยังซื้อขนมให้หลาน คืนเดียวไม่พบหน้าก็แขวนคอตายเสียแล้ว
พี่สาวซาเอ้อร์เป่ามองตาค้างก่อนจะปรี่เข้าไปร้องไห้คร่ำครวญ พี่สาวน้องชายรักกัน ร้องไห้ช่างน่าเวทนายิ่ง พี่เขยคุกเข่าปิดหน้าอยู่ข้างๆ สองบ่าสั่นไหว
คนรอบข้างทนดูต่อไปไม่ไหว หัวหน้าที่มาน้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“ยังมีทางรอดให้ชาวนาวาสุคนธ์เราอีกหรือ!!?”
บรรยากาศกดดัน ทุกคนต่างพูดไม่ออก ผู้ติดตามด้านหลังหัวหน้าก็เงียบกริบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวหน้าจะหันกลับมาถลึงตาใส่ ผู้ติดตามด้านหลังจึงเริ่มคร่ำครวญหวนไห้