Skip to content
Home » Blog » องครักษ์เสื้อแพร 332

องครักษ์เสื้อแพร 332

ตอนที่ 332 ทุกสิ่งล้วนมีสองมุม ราชาปรีชาแท้จริง

ในวังย่อมไม่มีความลับ ซุนไห่แห่งสำนักอาชาหลวงนำเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่ไปยังอุทยานปัจจิม คืนวันนั้นก็รู้กันทั่ววังต้องห้าม

อุทยานปัจจิมในใจทุกคนก็เหมือนกับที่รกร้าง คิดไม่ถึงว่าซุนไห่จะใช้สิ่งนี้ ทุกคนได้แต่แอบชมซุนไห่ว่าสุดยอดมาก

ทุกคนยังรู้กันอีกว่า คืนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสำราญพระทัยมาก พอกลับถึงห้องบรรทม ยังแย้มสรวลที่หาได้ยากยิ่งให้กับฮองเฮาอีกด้วย

ซุนไห่เองก็เป็นหนึ่งในมหาขันที ตำแหน่งก็ไม่น้อย ฮ่องเต้เสด็จอุทยานปัจจิมไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ที่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของวังหลวง ทุกคนล้วนยินดีปรีดา ไม่มีผู้ใดอยากจะกล่าวอันใดในเรื่องนี้

ตอนนี้เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งในวังและนอกวังก็คือตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่าย ไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเกรงว่าคงไม่กล้าตัดสินใจเรื่องเงินฉลองปีใหม่ในวัง ในเมื่อโอรสสวรรค์พอพระทัย ก็ตามพระทัยพระองค์ก็แล้วกัน

*********

หลังพิธีอภิเษกสมรส เวลาที่เคยต้องไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาฉือเซิ่งก็น้อยลง ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เบื่อหน่ายคำสั่งคำสอนของไทเฮาเต็มทีแล้ว ก็ไม่อยากเสด็จไปพบเท่าไร ยกเว้นไปถวายคำนับเท่านั้น

ไทเฮาฉือเซิ่งกลับทรงคิดถึงพระองค์ หากทรงรู้ว่า หลังอภิเษก ว่านลี่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่างน้อยก็ควรปฏิบัติต่อเสมือนว่าเป็นผู้ใหญ่

ในวังเงียบเหงา แต่ก็ไม่อาจไปมาหาสู่กับไทเฮาเหรินเซิ่งบ่อยนัก ไทเฮาฉือเซิ่งกับอ๋องลู่จึงมีเวลาอยู่ด้วยกันยิ่งมาก อ๋องลู่เคยทูลว่าจะย้ายออกไปหลายครั้งแต่ไทเฮาก็ทรงปฏิเสธทุกครั้ง

“เจ้ายังเป็นเด็กน้อย อยู่เป็นเพื่อนไปก่อน ผู้ใดกล่าวอันใดก็ช่าง เห็นเจ้าสามารถร่ำเรียนตำราได้ดี เห็นแล้วก็ดีใจ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ขอแค่ไม่ต้องไปบ่อย ไม่ทรงสนพระทัยว่าอ๋องลู่เด็กน้อยจะได้แต่งตั้งเป็นอ๋องออกนอกวังไปหรือไม่ ถึงขั้นคิดว่ามีใครสักคนคอยเบนความสนพระทัยไทเฮาไปก็ดีเหมือนกัน เป็นเรื่องดีที่น่าดีใจอย่างมาก

**********

ทางเทียนจินนั้นเริ่มปิดเส้นทางน้ำแล้ว ไม่มีเรือมา หวังทงจึงหันไปสนใจเรื่องซื้อม้าและฝึกทหาร ในสารที่ส่งมานอกจากทักทายทั่วไป ก็มีแต่เรื่องการจัดการองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินกับกองกำลังหู่เวย เป็นเรื่องน่าสนุกทั้งนั้น

เรื่องราวของเมืองเทียนจินและเมืองรอบๆ กระดูกที่ฆ่าแพะฆ่าวัวก็ให้องครักษ์เสื้อแพรเอาไปต้มเป็นน้ำซุปกระดูกหม้อใหญ่ที่ริมแม่น้ำทะเล โยนปลาโยนกุ้งลงไป ไม่ลืมใส่เกลือ

เพราะว่าอยู่ใกล้โกดังเสบียง ข้าวสารเก่าที่ถูกโละออกมาก็สามารถซื้อได้ในราคาถูก แม้ว่าค่าแรงน้อย แต่ก็ไม่ขาดอาหารการกิน

ผลปรากฏว่าตอนนี้แม่น้ำทะเลที่เทียนจิน แรงงานทุกคนได้กินกันอิ่มหนำ ดื่มน้ำซุปกระดูกผสมปลากัน ทำให้ทุกคนอิจฉายิ่ง

ถึงกับมีคนพูดกันไปว่า พวกเชลยก่อการร้ายถึงกับมีชีวิตที่ดีกว่าประชาชนคนดี เช่นนั้นทุกคนไปก่อการจลาจลกัน ถึงตอนนั้นจะได้กินแผ่นเปี๊ยะอบและซุปกระดูกของใต้เท้าหวัง

ประชาชนคิดเช่นนี้ พวกยากจนมากมายก็มาหางานทำกันที่นี่ พวกเขาไม่ใช่พวกที่กินอิ่มมาทำ แต่เป็นพวกมีกินก็พอใจ

เมืองเทียนจินภายใต้การดูแลของหวังทง อาศัยจังหวะปีนี้ที่มีเงินทองใช้จ่ายกันสบาย กองตรวจการ กองขนส่งกรมอากรและสำนักคุมกำลังพลต่างก็ร่วมมือกันดี จ่ายเบี้ยหวัดและเสบียงตรงตามเวลา จ้างแรงงานที่พากันมาที่เทียนจิน จัดการขุดลอกเส้นทางน้ำและซ่อมแซมท่าเรือให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมการสำหรับปีหน้าที่จะมาถึง

อย่างไรปีนี้ภาษีที่เก็บได้จากคลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเลก็เหลือไว้ใช้ที่เทียนจิน ถือเป็นระเบียบจัดสรรปันส่วน

เมืองเทียนจินปีนี้หลังผ่านเหตุจลาจลมา ยามนี้มีรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักทั่ว ต่างจากเหตุจลาจลที่อื่น ที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายปี

หวังทงยังกล่าวในสารลับว่า ปรับริบบรรดาเรือทะเลพวกนี้ วันหน้ายังต้องใช้เรืออีกมา กำลังคิดหาทางต่อเรือเองอะไรพวกนี้

นอกจากพวกก่อจลาจลจะได้กินค่อนข้างดี ทำให้ประชาชนอิจฉาไม่น้อย เรื่องอื่นๆ ว่านลี่ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไร โดยเฉพาะการบรรยายเกี่ยวกับการรบทางทะเลที่หวังทงตั้งใจลงทุนลงแรงบรรยายไว้ ว่านลี่กลับรู้สึกไม่น่าสนใจ

การรบทางทะเลก็แค่ให้เรือเข้าไกลแล้วยิงด้วยปืนใหญ่ หรือไม่ก็โดดลงเรือศัตรูเข้าโรมรัน ไหนเลยจะดุเดือดเหมือนการรบทางบกที่ต้องใช้อาวุธและม้าศึกพวกนั้น ไม่รู้ว่าหวังทงให้ความสำคัญเช่นนั้นไปทำไม

นอกจากเมืองเทียนจินแล้ว เรื่องราวอื่นพวกขุนนางผู้ใหญ่ไม่ยอมให้พระองค์ข้องเกี่ยว ชีวิตที่น่าเบื่อเช่นนี้ ว่านลี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าอุทยานปัจจิมเป็นสถานที่ที่น่าไปยิ่ง

อยู่ที่นั่น นอกจากภาพงดงามตามอย่างวังหยกบนดวงจันทร์แล้ว ความสงบนิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของพระองค์เพียงคนเดียว ทำให้ว่านลี่สบายพระทัยยิ่ง

ที่ห้องทรงอักษรวุ่นวายมาก สามารถมีที่พักผ่อนอย่างแท้จริงเช่นนี้ เป็นที่ๆ เป็นของพระองค์ได้เช่นนี้ ฮ่องเต้น้อยจึงรู้สึกหลงใหลยิ่ง อุทยานปัจจิมเดิมก็เป็นพระตำหนักที่สมบูรณ์ จึงทรงให้จัดห้องที่นั่นเป็นที่พักสำหรับขันทีและนางกำนัลไปพักประจำ พอมีเวลาก็จะเสด็จไปเที่ยวเล่น

ซุนไห่เองก็ย่อมไม่ปล่อยโอกาส ขอเพียงว่านลี่เสด็จไป เขาย่อมไปด้วย

ความรู้สึกที่ซุนไห่ทำให้ทรงรู้สึกก็ต่างจากคนอื่น เฝิงเป่ากับจางเฉิงรู้สึกเหมือนญาติผู้ใหญ่ห่างๆ สองคนไม่สั่งสอน เสนอแนะ ก็ตักเตือน ควบคุมพฤติกรรมและความคิดของว่านลี่ทุกอย่าง จางจวีเจิ้งก็เป็นพระอาจารย์ที่เข้มงวด คุมเข้มทุกกระเบียดนิ้ว

ขันทีและขุนนางคนอื่นๆ ฮ่องเต้ว่านลี่เองรู้สึกได้ว่าขณะกำลังนบน้อมนั้นล้วนเหินห่าง คนพวกนี้รู้ว่านายตนไม่ใช่ว่านลี่ แต่เป็นเฝิงเป่าหรือไม่ก็จางจวีเจิ้ง

ซุนไห่นั้นต่างออกไป การกระทำและวาจาของซุนไห่ล้วนเพื่อให้ว่านลี่พอพระทัย ยกยอปอปั้นไปทุกสิ่ง ทำให้ว่านลี่รู้สึกว่าไม่มีอะไรไม่ได้ดังใจ อยู่กับเขาแล้วสบายใจยิ่งนัก

เหมือนทุกอย่างมาอย่างกะทันหัน เดือนสิบสองในรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 ซุนไห่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ จะไม่กล่าวถึงว่าขันทีคนอื่นคิดอย่างไร เพราะไทเฮาสองพระองค์รู้สึกยอมรับเรื่องที่ว่านลี่สนิทกับสำนักอาชาหลวง อย่างไรการที่ว่านลี่เองได้กุมอำนาจกองกำลังก็เป็นเรื่องดี

***********

ยามนี้เหนือใต้ไปมาหาสู่กันก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน เรือลำหนึ่งเดินทางจากแดนใต้มาตามคลองส่งน้ำถึงตอนเหนือ จากนั้นก็กลับไป นับรวมเวลาแวะทำธุระ ใช้เวลาสองเดือนน่าจะได้ เรือบางลำมาตอนเหนือเพื่อทำการค้า มักจะแล่นไปที่ต่างๆ หลายแห่ง ย่อมใช้เวลานานยิ่งขึ้น

ข่าวการเก็บภาษีบนคลองส่งน้ำเมืองเทียนจินแพร่มายังแดนใต้ก็ราวเดือนเก้าเดือนสิบแล้ว จากนั้นคนแดนใต้ก็คำนวณว่าจะเงินทอง แล้วเขียนจดหมายไปหาคนทางเหนือ ก็น่าจะราวเดือนสิบเอ็ดเดือนสิบสองแล้ว

ขุนนางเมืองหลวงมาจากทางใต้มาก คนที่บ้านเขียนจดหมายมาบ่น ย่อมมีคนกล่าวว่าทางบ้านออกเงินให้เจ้าร่ำเรยน กว่าจะได้ตำแหน่งมาไม่ง่าย กลับไม่อาจดูแลทางบ้านได้อะไรพวกนี้

แต่เหตุจลาจลที่เทียนจินก่อนหน้านี้ ขุนนางเมืองหลวงล้วนอึดอัด แม้ว่ามีขุนนางผู้ใหญ่ปกป้อง ไม่โดนลงโทษ แต่คำสั่งสอนก็ทำเอาหน้าชาไปตามกัน

นับประสาอันใดกับยามใกล้สิ้นปี ทุกคนยุ่งกับการเฉลิมฉลอง อย่างไรก็เงียบไว้ก่อนดีกว่า อย่าได้ก่อเรื่องกันเกินไปจนไม่อาจฉลองปีใหม่ได้ ทุกอย่างรอให้ผ่านปีใหม่ไปก่อนค่อยว่ากัน

แต่ก่อนปีใหม่สมาคมหลายแห่งในเมืองหลวง หรือในจวนคหบดีมีเงิน ทุกวันจะมีบัณฑิตมารวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่วิพากษ์กันล้วนเป็นเรื่องการเก็บภาษีที่เทียนจิน…

***********

“ท่านเฉิน ตอนรัชสมัยหงอู่ปีที่ 9 ขุนนางกรมเอกสารเมืองผิงเหยามณฑลซานซีเฉิงเล่อดำรงตำแหน่งครบวาระ ผู้ว่าตรวจสอบการทำงานแล้วก็ชมเชยเรื่อง ‘สามารถนำระบบจัดเก็บภาษีกลับมาใช้อีกครั้ง’ ก่อนจะพามาเข้าเฝ้ายังเมืองหลวง แต่ปฐมฮ่องเต้กลับตรัสว่า ‘ภาษีมีกำหนด สามารถนำระบบจัดเก็บกลับมาใช้ นับเป็นการขูดรีดประชา จึงควรปลดจากตำแหน่ง ตรวจสอบทำงานผิดพลาด’ ทรงมีราชโองการให้ลดตำแหน่ง นี้เป็นเพราะเหตุใด!”

ในห้องหนังสือของอ๋องลู่ มีเลขาสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเฉินเกอนั่งอยู่ตรงข้าม เขานับเป็นบัณฑิตลัทธิขงจื๊อผู้มีชื่อในยุคนี้ เป็นอาจารย์ที่ไทเฮาฉือเซิ่งเชิญมาสอนอ๋องลู่

ได้ยินอ๋องลู่ถามเช่นนี้ เฉินเกอที่จอนผมขาวแซมดำรูปร่างผอมสูงก็พยักหน้า ลุกขึ้นทูลว่า

“ทูลท่านอ๋อง ตอนปฐมฮ่องเต้สร้างแผ่นดิน ได้ทรงพบเห็นพวกมองโกลขูดรีดภาษีจากราษฎรอย่างหนัก ทำให้ราษฎรไม่อาจดำรงชีพได้ แผ่นดินไม่อาจเป็นสุข ด้วยเหตุนี้ ปฐมฮ่องเต้จึงได้ทรงประกาศในรัชสมัยหงอู่ปีที่ 2 ว่า ‘ภาษีการค้าสามสิบเก็บหนึ่ง เป็นกฎห้ามฝ่าผืน’

อ๋องลู่พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ จากนั้นก็พลิกไปอีกหน้า เฉินเกอกลับไปนั่งที่ สบตากับขุนนางอีกท่านข้างๆ สีหน้าชื่นชม

อ่านหนังเสร็จแล้ว อ๋องลู่ก็ทำท่าครุ่นคิดเหมือนผู้ใหญ่แต่แสดงออกมาทางสีหน้าไร้เดียงสา เงยหน้าถามว่า

“ท่านโหม่ว ปีรัชสมัยซื่อจงที่ 39 หยางสือเฉียวเก็บภาษีที่เมืองหังโจว เขาให้พ่อค้าเขียนรายรับเอง จากนั้นก็เก็บภาษี ปีหนึ่งได้มาทั้งหมดแค่ 15 ตำลึง แต่ใต้หล้าล้วนชมเชย บอกว่าเป็นขุนนางดี และได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้ตรวจการมณฑลเจ้อเจียง…ในฐานะขุนนางราชสำนัก ไม่ควรเก็บภาษีให้มากเพื่อราชสำนักงั้นหรือ?”

ขุนนางข้างๆ เฉินเกอลุกขึ้น เขารูปร่างอ้วนท้วน สูงแค่ไหล่ของเฉินเกอ อายุไม่น้อยแล้ว เขาคือโหม่วไหน่ขุยแห่งสำนักราชบัณฑิต เป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ทูลตอบกลับไปว่า

“ทูลท่านอ๋อง ใต้หล้าทั่วทั้งสี่ทิศ ประชาชนได้เท่าไร ก็เปรียบเสมือนราชสำนักได้เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนกัน ไม่แย่งชิงจากราษฎร ราษฎรร่ำรวยประเทศชาติก็เข้มแข็ง ตามหลักการปกครองของนักปราชญ์เมธี เช่นนี้นับเป็นรากฐานของแผ่นดินที่สงบสุข ปฐมฮ่องเต้ไม่เก็บภาษีการค้าหนัก มีธรรมเนียม ‘ละเว้นภาษีของขวัญแต่งงานและของใช้งานศพ ผ้าที่ทอเอง เครื่องมือเกษตร เรือขนส่งสินค้าตนเอง ปลาและผลไม้ต่างๆ’ เป็นเพราะทรงเป็นผู้ปกครองที่รักใคร่ราษฎร”

ทั้งสองคนล้วนเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ เป็นบัณฑิตลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียง เรื่องราวในบันทึก คนอื่นต้องพลิกหา แต่พวกเขาสามารถกล่าวออกมาได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลา

อ๋องลู่พยักหน้าติดกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้ พอฟังจบ ก็ส่ายหน้าทันทีกล่าวว่า

“ต้องทูลเสด็จพี่ฮ่องเต้….”

เห็นสีหน้าไร้เดียงสา เฉินเกอกับโหมวไหน่ขุยก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นประสานมือคำนับพร้อมกัน ขอร้องว่า

“ท่านอ๋องทรงอย่าได้กราบทูลฮ่องเต้ พวกข้าพระองค์ไม่เป็นไร แต่พระองค์อย่าได้ทรงเสียความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกับฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นพวกกระหม่อมแม้ตายก็คงไถ่ถอนความผิดนี้ไม่ได้”

“ท่านทั้งสองรีบลุกขึ้น ข้าไม่กราบทูลก็ได้ พวกท่านรีบลุกขึ้น…”

ใบหน้าราวหยกสลักของอ๋องลู่ฉายแววร้อนใจ

**************

อ๋องลู่ไม่ได้ถามว่านลี่ แต่คำถามนี้ได้แพร่ออกไปนอกวัง บรรดาบัณฑิตต่างพากันแอบยกย่องชมเชยอ๋องลู่ว่าเป็นผู้ปรีชาสามารถ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version