Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 334

ตอนที่ 334 ลมแผ่วจากยอดหญ้า

ในเมืองหลวงมีพวกขุนนางหรือแม้กระทั่งชนชั้นสูงที่ทำการค้าหลายคนเสียผลประโยชน์จากการเก็บภาษีคลองส่งน้ำ เดิมก็โกรธแค้นหวังทงอยู่แล้ว ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความโกรธแค้น แต่เพราะหวังทงได้รับการปกป้องจากฮ่องเต้ว่านลี่ จึงไม่มีผู้ใดกล้าด่าในที่สาธารณะ

หลี่ซานไฉขุนนางนอกราชการแห่งกรมอากรประจำซานตงกล่าวเช่นนี้ที่สมาคมซูโจว เหมือนกับราดน้ำมันจุดไฟ แต่ละที่แต่ละคนหากรู้สึกว่าตนเองสามารถวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้ หรือว่าควรวิจารณ์ ก็ล้วนกล่าวกันถึงเรื่องหวังทง

ลมแผ่วจากยอดหญ้า เริ่มจากคนกลุ่มหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นเรื่องที่คนในเมืองหลวงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรวดเร็วไปทั่ว

แต่ละสมาคม แต่ละกลุ่มขุนนางก็ล้วนรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ หวังทงจากปากพวกเขากลายเป็นคนเลวที่หาที่ดีไม่ได้ เป็นขุนนางชั่วทำลายแผ่นดิน รังแกประชา

แต่เดิมนาวาสุคนธ์ที่เทียนจินถูกหวังทงปราบปราม ยังปราบพวกโจรสลัดและพวกฝักใฝ่ลัทธิมาร เป็นความดีความชอบใหญ่ คนที่เหลือนั้น ไม่ว่าจะเป็นว่านเต้าที่ปลิดชีพตนเอง หรือว่าฟานต๋าที่ถูกกุมตัวกลับมาสอบที่เมืองหลวง ก็เป็นพวกที่ไม่อาจปัดสายสัมพันธ์กับพวกก่อการร้ายได้

เดิมเรื่องก็กระจ่างชัดอยู่แล้วกลับแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าแปลกเช่นนี้ เริ่มจากมีคนบอกว่า เรื่องที่เทียนจินถูกบิดเบือน บอกว่าตนมีญาติมาจากเทียนจินและเล่าความจริงให้ฟัง

หวังทงกดขี่ประชาที่เทียนจิน ตอนเกิดเรื่องยังเป็นเต่าหดหัว พอจบเรื่องก็ออกมาล่าสังหารผู้บริสุทธิ์ไปจำนวนมาก ใส่ความขุนนางดี เรื่องชั่วร้ายมากมายแต่ละเรื่องก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่ว

ในตัวเมืองต่างก็เริ่มพูดกันถึงเรื่อง ‘ห้าคุณธรรมเทียนจิน’ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ล้วนทอดถอนใจที่ฮ่องเต้ถูกขุนนางชั่วหลอก นานวันประเทศชาติย่อมเสียหาย ต้องเกิดหายนะใหญ่เป็นแน่

คงได้แต่รอดูว่าจะมีผู้กล้าคนใดกล้าถือคุณธรรมออกมาสยบหายนะครั้งนี้…

นึกถึงตนที่ตรากตรำอ่านบทกวีคัมภีร์จนสอบติดเป็นขุนนาง กว่าจะได้สิทธิพิเศษงดเว้นภาษีได้ คิดไม่ถึงว่าหวังทงกระโดดทีเดียวก็ได้นั่งเก็บภาษีที่เทียนจินเสียอย่างนั้น

เงินทองที่ตนสมควรจะได้รับน้อยลงไปอีกส่วน นี่นับเป็นความแค้นฝังลึก แต่ทุกคนรู้ว่าหวังทงได้รับความไว้วางใจและปกป้องจากฮ่องเต้ หากบุ่มบ่ามไป ดีไม่ดีไม่ได้อะไรไม่ว่ากลับต้องมีภัยมาถึงตัวเสียด้วย

แม้ว่าความคับแค้นจะทวีสูงขึ้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดอยากจะออกหน้า ทุกคนต่างนั่งรอดูต่อไป

**********

หลี่ซานไฉขุนนางนอกราชการแห่งกรมอากรประจำซานตงเป็นคนส่านซี ตอนเด็กย้ายบ้านไปที่ปากแม่น้ำจางเจีย เมืองทงโจว

ปากแม่น้ำจางเจีย เมืองทงโจวเป็นจุดพักสุดท้ายของคลองส่งน้ำตอนเหนือ สินค้าเหนือใต้มาแลกเปลี่ยนกันที่นี่ นับได้ว่าเป็นตลาดการค้าสำคัญ ในเวลานั้นได้ฉายาว่า ‘เมืองใต้สู่เหนือ’ หมายเรียกรวมเมืองทงโจวและซูโจว รุ่งเรืองจนพอจะนึกภาพออก

ตอนหลี่ซานไฉยังเล็ก ตระกูลหลี่ก็เป็นพ่อค้าใหญ่ที่ปากแม่น้ำจางเจีย พอหลี่ซานไฉสอบติดในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 2 ก็เข้ามารับราชการที่กรมอากร กิจการทางบ้านก็ยิ่งรุ่งเรือง

ตอนนี้ตระกูลหลี่ที่เมืองทงโจวได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งแห่งทงโจว

เมื่อหลี่ซานไฉเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกรมอากร ก็ได้เป็นนายกองหน่วยยูนนานก่อน ดูแลการเก็บภาษีที่มณฑลยูนนานทั้งหมด สินค้าจากปากแม่น้ำจางเจียลำเลียงผ่านคลองส่งน้ำไปยังเมืองหลวงและที่ต่างๆ ก็ได้รับประโยชน์จากการเว้นภาษี การได้ประโยชน์เช่นนี้ การค้าก็ย่อมยิ่งทำยิ่งรวย เดิมเป็นธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่อยู่แล้ว ยังได้รับความช่วยเหลือนี้อีก ก็ย่อมขยายใหญ่โตอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา

บรรดาพ่อค้าที่ทงโจวต่างแย่งกันเชื่อมสายสัมพันธ์กับหลี่ซานไฉ หวังให้เขาช่วยดูแลกันบ้าง ดังนั้นตระกูลหลี่จึงได้กลายเป็นผู้นำการค้าที่ทงโจวไปโดยปริยาย

ครอบครัวยิ่งร่ำรวย ก็ย่อมกล้าใช้จ่าย หลี่ซานไฉยังเป็นคนใจกว้าง ไม่เพียงแต่เส้นทางขุนนางสดใส ชื่อเสียงยังยิ่งโด่งดัง

ในเมืองหลวงมีบัณฑิตและขุนนางตกยากไม่น้อย มีขุนนางมือสะอาดหลายคนรวมอยู่ด้วย กับคนเหล่านี้หลี่ซานไฉก็ใจกว้างด้วยเสมอ ตอนให้ความช่วยเหลือ ยังจริงใจอย่างยิ่ง ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อยแต่อย่างใด

หลายปีผ่านไป ชื่อเสียงของหลี่ซานไฉก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ แม้มีตำแหน่งเล็กๆ แต่คนในกรมอากรทุกคนต่างไม่กล้ามองข้ามเขา

แม้ว่าตำแหน่งจะต่ำ แต่กุมอำนาจการวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองหลวง หากล่วงเกินเขาเข้าก็ย่อมถูกโจมตี ถึงตอนนั้นคงต้องดิ้นรนต่อสู้ในวงการขุนนางจนไร้ความสงบสุข

หลังจากหลี่ซานไฉได้รับเลื่อนตำแหน่งไปเป็นนายกองอากรประจำหน่วยซานตง ชื่อเสียงกับอิทธิพลของเขาก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก ขุนนางระดับล่างต่างรู้สึกเป็นเกียรติหากได้คบค้าสมาคมกับหลี่ซานไฉ ถึงกับมีคนที่เดินผ่านหน้าเขาไปครั้งเดียวก็เอาไปคุยกันเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่

หน่วยซานตงของกรมอากรดูแลการค้าขนส่งเกลือทั้งหมด นับเป็นบ่อเงินบ่อทอง เป็นงานที่มีแต่ได้เงินได้ทอง ความมั่งคั่งของตระกูลหลี่ที่เมืองทงโจวก็ยิ่งมากขึ้น

ในเวลานี้แม้แต่พ่อค้าเกลือแม่น้ำไหวเหอทางใต้ที่ร่ำรวยมากต่างก็ต้องให้เกียรติตระกูลหลี่ หลี่ซานไฉก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง มีสายสัมพันธ์ไปทั่วโลก แม้แต่กลุ่มบัณฑิตแดนใต้ยังรู้จักชื่อเสียง

ตระกูลหลี่แม้รวยมากเช่นนี้ แต่ยังอาศัยการค้าขายผ่านคลองส่งน้ำ เมื่อก่อนสะดวกตลอดเส้นทาง ไม่เว้นภาษีก็ไม่ต้องตรวจสินค้า ทุกระดับไว้หน้า แต่พอหวังทงมาข้องเกี่ยวด้วยการเปิดด่านภาษีที่เทียนจิน ยังเปิดด่านภาษีออกทะเลด้วย ทำให้การค้าทางทะเลรุ่งเรืองใหญ่โต

สินค้าทางทะเลราคาต่ำมาก ย่อมส่งผลต่อการค้าสินค้าที่ขนส่งผ่านคลองส่งน้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังต้องจ่ายภาษีอีก เท่ากับการเฉือนเนื้อของตนไปฟรีๆ

การค้าเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วไป แต่ตระกูลหลี่ระดับนี้ การกระทำของหวังทงไม่รู้ว่าสร้างความเสียหายไปเท่าไร วันหน้าก็ยิ่งทำกำไรได้น้อยลง ความรุ่งเรืองของหลี่ซานไฉกับความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลนั้นเกี่ยวข้องกัน รุ่งเรืองและอัปยศอดสูร่วมกัน หากหวังทงยังอยู่ หวังทงยังทำ เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็คงได้แต่อ่อนแอลงทุกวัน ตระกูลหลี่ขาดเงินทอง หลี่ซานไฉก็ย่อมไม่อาจรักษาชื่อเสียงต่อไปได้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำราบรื่นในหน้าที่การงานต่อไป สองคนจึงกลายเป็นหากเจ้ายังอยู่ต้องไม่มีข้าไปโดยปริยาย

***********

ใกล้สิ้นปี กระแสโจมตีหวังทงในเมืองหลวงก็เริ่มแพร่กระจายอีกระลอก บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ในวังต่างก็ได้ยินได้ฟังกันมา แต่ก็ไม่ใส่ใจสักเท่าไร

ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาเหรินเซิ่งหรือเฝิงกงกง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจางจวีเจิ้ง เพราะต่างก็มองกันอยู่ที่เงินเข้าคลังเป็นหลัก ในระยะเริ่มต้นของรัชสมัยว่านลี่ ทุกปีในตอนสิ้นปีก็จะต้องจัดการงบประมาณ ทุกคนต่างเตรียมตั้งรับกันอย่างเต็มที่ บัญชีรายรับรายจ่ายไม่สอดคล้องกัน รายจ่ายไม่ชัดเจน ปลดตำแหน่งนับว่าเรื่องเล็ก ส่งเข้าคุกไปไต่สวนยังมีความเป็นไปได้

หากถูกศัตรูทางการเมืองและคู่ต่อสู้แย่งตัวจับจุดอ่อนไว้ได้ จะหาเรื่องให้ร้ายตนหรือลูกศิษย์ได้ จึงต้องระวังป้องกัน หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีการต่างๆ ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ยังต้องแย่งชิงต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและลูกศิษย์ จึงต้องเตรียมระวังตัว

เรื่องข่าวโจมตีหวังทงนั้น ดูเหมือนว่าชื่อของหวังทงไม่ได้หายไปจากความทรงจำของทุกคนเลย บทสรุปทุกคนก็ย่อมเดาได้ ไยต้องไปสนใจ

แต่สำหรับสำนักรักษาความสงบ แม้ว่าจางเฉิงไม่ได้สอบถาม แต่โจวอี้กับหลี่ว์วั่นไฉสองคนก็เริ่มกังวลมาก จัดการส่งคนสืบข่าวโดยเฉพาะ

หลังสืบได้ความมา สองคนกลับผ่อนคลายลง หลี่ว์วั่นไฉกล่าวเยาะขึ้นว่า

“หลี่ซานไฉพูดแบบนี้ ทุกคนในโลกสามารถพูดได้ มีแต่เขาไม่อาจพูด ตระกูลหลี่ที่ทงโจวหากมิใช่ทำการค้าเกลือและตุกติกภาษีมา ทำการค้าให้ตายก็ไม่อาจร่ำรวยเช่นนั้นได้ วาจาใส่ร้ายผู้อื่นเอาดีเข้าตัวก็เท่านั้น”

หลี่ซานไฉจากสมาคมซูโจวกล่าวผดุงคุณธรรมในที่สาธารณะ ก็ย่อมสืบข่าวมาได้โดยง่าย พอได้ความมาก โจวอี้ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ปกติดี

“บัณฑิตหากอยากมีชื่อ หากว่าสังหารคนไม่ได้หรือตัดใจลงมือกับตนเองไม่ได้ ก็อาศัยพูดจาใหญ่โตหลอกชาวบ้าน ก็แค่ด่าทอคนที่ไม่ควรล่วงเกิน เพื่อให้ดูว่ากล้าหาญก็เท่านั้น”

ด้านนอกด่าทอกันเช่นนี้ สำนักฎีกากลับไม่ได้รับฎีกาแม้แต่ฉบับเดียว กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็แค่เรื่องตลก สำนักรักษาความสงบก็ค่อยๆ เลิกให้ความสนใจ

*************

กำลังของสำนักรักษาความสงบตอนนี้ทั้งหมดกำลังจับตาขันทีซุนไห่ แม้จางเฉิงไม่ได้สั่งการมา และหวังทงก็มิได้มีจดหมายมาบอก

เป็นโจวอี้ที่ตัดสินใจดำเนินการด้วยตนเอง พระอารมณ์ของฮ่องเต้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ทางการเมืองและความเจริญรุ่งเรืองของแต่ละคนมาก และยิ่งสำคัญสำหรับสำนักรักษาความสงบ

ซุนไห่อยู่ปรากฏตัวออกหน้านำฮ่องเต้เสด็จอุทยานปัจจิม ทำให้ทรงสำราญพระทัยมาก ไม่รู้ว่ามีผู้ใดสั่งการเบื้องหลัง และไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด วิธีการที่ใช้กับการสร้างลานฝึกหู่เวยของหวังทงต่างกันตรงไหน นับประสาอะไรกับการที่ซุนไห่เดิมยังเป็นมหาขันทีในวัง

หากปล่อยให้เขาก้าวเดินไปทีละขั้นเช่นนี้ เกรงว่าความไว้วางพระทัยในจางเฉิงและความเชื่อพระทัยในหวังทงจะถูกย้ายไปที่ซุนไห่แทน ทุกอย่างที่ทุ่มเททำกันมาจนถึงวันนี้ เกรงว่าคงได้สลายไปสิ้นราวกับหมอกควันจางหาย

แต่ซุนไห่ผู้นี้ไม่ว่าตรวจสอบอย่างไรก็ไม่อาจมองทะลุถึงเจตนาได้ ผลสรุปง่ายมาก ก็คือรู้สึกเบื่อหน่ายไทเฮาเหรินเซิ่งในวังที่เก็บตัวเงียบ หายครั้งที่ซุนไห่ถูกหลินซูลู่ตำหนิ พระนางมิได้ออกหน้าปกห้อง ไม่รู้จะทำเช่นไร ซุนไห่จึงได้แต่มาเอาพระทัยฮ่องเต้แทน

จะไปตรวจสอบแหล่งอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซุนไห่จากสำนักอาชาหลวงผู้นี้ก็มีอำนาจทหารในมือ ตนเองก็มีกำลังในมือ ป้องกันแน่นหนา

**************

“ทูลไทเฮา หลังเลิกประชุมขุนนางฝ่าบาทเสด็จไปอุทยานปัจจิมกับซุนไห่พะยะค่ะ ซุนไห่พาคณะงิ้วเข้ามาในวัง ฝ่าบาททรงชมดูจนถึงเวลาพระกระยาหารค่ำ ฮองเฮาให้คนไปตาม ฝ่าบาทยังทรงกริ้วใหญ่”

ในห้องบรรทมไทเฮาฉือเซิ่ง ทรงประทับบนพระแท่น นางกำนัลกำลังถวายการนวด อีกนางทูลรายงานขึ้นเบาๆ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไทเฮาก็ทรงขมวดพระขนง ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า

“ไม่ทรงรักความก้าวหน้า จางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าไม่ไปควบคุม ฝ่าบาทไม่ทรงรู้จักควบคุมพระองค์เอง”

“ไทเฮา หม่อมฉันไปบอกจางจิงให้กำราบซุนไห่สักที…”

นางกำนัลทูลเบาๆ อยู่นั้น พระนางก็ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นโบก ตรัสว่า

“ซุนไห่เป็นคนของไทเฮาเหรินเซิ่ง ข้าไม่อาจเอ่ยอันใด ตามใจเขาไปก่อน ช่วงเดือนสิบสองกับเดือนหนึ่งนี้ รอให้พ้นฉลองปีใหม่ไปก่อนค่อยว่ากัน”

นางกำนัลก้มหน้ารับคำ กราบทูลต่อว่า

“สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนและสำนักราชบัณฑิตระยะนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่าอ๋องลู่ทรงปรีชา รู้ธรรมเนียม เป็นผู้มีสติปัญญาอันดับหนึ่ง บรรดาขุนนางบัณฑิตต่างก็กล่าวเช่นนี้”

นางกำนัลคิดจะทูลต่อ แต่เห็นสีพระพักตร์ไทเฮาเรียบเฉย ค่อยๆ หรี่พระเนตรลง จึงได้หยุดพูด เงียบไปครู่หนึ่ง ไทเฮาจึงตรัสขื้นว่า

“อ๋องลู่ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ จะปรีชาหรือไม่จะมีประโยชน์อันใด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version