Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 355

ตอนที่ 355 กระแสน้ำแปรเปลี่ยน ไม่เป็นดังเก่า

เมื่อฮ่องเต้ว่านลี่เข้ามาในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ บรรดาขุนนางถวายคำนับและลุกขึ้นยืน จากนั้นก็อดมองหน้ากันไม่ได้

สีพระพักตร์ฮ่องเต้น้อยเห็นชัดว่าเหนื่อยล้า ข่าวลือที่มาจากอุทยานปัจจิมเป็นที่กล่าวถึงไปทั่วทั้งในและนอกวัง พ่อครัวมีชื่อในเมืองหลวง คณะงิ้วการแสดงต่างๆ นักเล่านิทาน นักร้องเพลง และบรรดานางรำแต่ละสำนัก ขอเพียงมีชื่อเสียง ก็มักจะมี ‘บุคคลลึกลับ’ มาพาไปยังสถานที่ที่ได้ยินว่างดงามราวกับราชวังบนสรวงสวรรค์ หากตั้งใจรับใช้ให้ดี ก็จะได้รางวัลกลับมาก้อนโตเลยทีเดียว

แม้แต่บรรดาคนที่ถูกปิดตามาในรถก็รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปที่ใด และก็รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ที่ข่าวสารฉับไวพวกนั้น

การกระทำของฮ่องเต้ว่านลี่ในระยะนี้เริ่มเหมือนกับฮ่องเต้เจิ้งเต๋อและฮ่องเต้เจียจิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งเต๋อสร้างหอเสือดาวนอกวังไว้เลี้ยงดูสาวงามและสัตว์ป่า วันๆ เอาแต่เล่นกับบรรดานายทหารต่างขาติ ส่วนอุทยานปัจจิมนั้นก็เป็นที่บำเพ็ญของฮ่องเต้เจียจิ้งนั่นเอง ไม่อาจรู้ได้เลยว่าโอรสสวรรค์จะเป็นเช่นนี้ไปถึงเมื่อไร

ทว่าเล่นส่วนเล่น แต่ว่านลี่ยังไม่ได้ถึงขึ้นเหลวแหลก ยังคงเห็นฮ่องเต้ทอดพระเนตรฎีกา ยังคงเข้าร่วมประชุมขุนนางและเข้าเรียนทุกวันตามปกติ

ฮ่องเต้อภิเษกแล้ว จะทรงใช้ชีวิตในวังเช่นไร ขุนนางย่อมไม่มีสิทธิ์ข้องเกี่ยว และตอนนี้ก็เหมือนว่าชี้แนะอันใดไม่ได้แล้ว

แม้จะมีราชบัณฑิตจากสำนักปราชญ์หลวงฮั่นหลินย่วน สำนักปราชญ์หลวงกั๋วจื่อเจี้ยนและกรมพิธีการ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง ว่ากันว่าฮ่องเต้อายุยังน้อย ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับเรื่องหญิงงามและความเพลิดเพลิน ควรจะทรงมุ่งมั่นราชกิจ หมั่นเพียรต่อการปกครองแผ่นดินอะไรพวกนี้ หากก็เป็นเพียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ส่งผลกระทบได้เพียงแผ่วเบา

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่สนใจแม้แต่จะเอ่ยถึง ทำให้ทุกคนแปลกใจมาก ตามอุปนิสัยเข้มงวดของจางจวีเจิ้งแล้ว ตอนที่โอรสสวรรค์ทรงอักษรผิดไปหนึ่งตัวยังถูกอบรมหนัก ยามนี้กลับเหลวไหลเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่อบรมสอนสั่ง

การข่าวมากมาย คิดจะวิเคราะห์ก็ง่ายมาก สำนักแพทย์หลวงมีข่าวลือแว่วมาว่า ไทเฮาเหรินเซิ่งทุกปีจะทรงประชวร ด้วยเพราะพระวรกายอ่อนแอ ยื้อมาจนถึงตอนนี้ก็เริ่มไม่ไหวแล้ว หลายครั้งไม่อาจให้ผู้ใดเข้าเฝ้าได้ ได้แต่เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักพักผ่อนพระวรกาย

เพราะภูเขาที่พึ่งพิงเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นซุนไห่จึงคิดหาวิธีเอาพระทัยฮ่องเต้อย่างสุดชีวิต และด้วยเป็นพวกฝ่ายไทเฮาเหรินเซิ่ง ทุกคนจึงไม่อาจทำอันใดเขาได้

“…เผ่ามองโกลขอให้ราชสำนักพระราชทานผ้าแพรเพิ่ม แม่ทัพชีจี้กวงแห่งเมืองจี้โจวมีฎีกามาว่าปีก่อนหิมะตกหนัก สัตว์เลี้ยงหนาวตายไปเป็นจำนวนมาก เผ่ามองโกลจึงขอให้พระราชทานเพิ่มเพื่อจะได้นำไปแลกเปลี่ยนกับเผ่าอื่น เหตุเร่งด่วน ในฎีกาแม่ทัพชีกล่าวว่าเนื่องในโอกาสอันดี…”

จางซื่อเหวยพูดเสียงดังรายงานความเป็นไปของกรมทหาร ที่เรียกว่า ‘พระราชทาน’ ความจริงก็คือการค้าแลกเปลี่ยนชายแดน หลังจากบรรลุข้อตกลงสันติภาพ แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้าก็จะเอาม้าและวัวมาแลกแพรพรรณ แต่ก็มีจำนวนจำกัด ชื่อก็ฟังดูดี ส่งไปเรียกว่า ‘พระราชทาน’ แลกมาเรียกว่า ‘บรรณาการ’

และก็เป็นเพราะราชวงศ์หมิงกับเผ่ามองโกลลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก ดังนั้นชีจี้กวงในฐานะผู้บังคับบัญชาการทหารประจำเมืองจี้โจวจึงไม่อาจเข้าโจมตี ได้แต่ป้องกันประเทศเป็นหลัก ดังนั้นหลี่เฉิงเหลียงที่เมืองเหลียวโจวจึงได้มีโอกาสสร้างความชอบจนได้บำเหน็จจากราชสำนักมากกว่า

เกิดเป็นทหารที่เห็น ๆ ว่ามีโอกาสที่จะเอาชนะศึกได้ แต่กลับได้แต่ป้องกัน ช่างน่าอึดอัดสิ้นดี ดังนั้นจึงได้ถวายฎีกาขอออกศึก

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง การที่ชีจี้กวงได้ไปประจำทีเมืองจี้โจวก็เพราะจางจวีเจิ้งเสนอชื่อ ก่อนฎีกามาถึง ชีจี้กวงก็มีจดหมายลับมาฉบับหนึ่ง แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องระดับชาติ อย่างไรก็ต้องผ่านราชสำนักให้พอเป็นพิธี จางจวีเจิ้งหันหน้ามาเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ว่านลี่ ถวายคำนับทูลว่า

“ฝ่าบาท ชายแดนสงบสุขมาสิบปีแล้ว ประชาเป็นสุข สภาพเช่นนี้มิใช่ได้มาโดยง่าย แต่อย่างไรก็ฮ่องเต้ซื่อจงก็ทรงทำสนธิสัญญาไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่อาจเปลี่ยนแปลงโดยพลการ กระหม่อมคิดว่า ฎีกาของชีจี้กวงนั้นไม่เหมาะสมในยามนี้ ส่วนเรื่องเพิ่มจำนวนแพรพรรณนั้น กรมหทารจะลองคำนวณไปพร้อมกับจำนวนม้าที่เราต้องการ จากนั้นค่อยร่วมคำนวณกับกรมอากร ทรงเห็นเช่นไรพะยะค่ะ?”

พอจางจวีเจิ้งทูลจบ เบื้องบนก็เงียบไป อดเงยหน้าดูไม่ได้ กลับพบว่าฮ่องเต้มีสายพระเนตรเลื่อนลอยไปไกล กำลังตกอยู่ในภวังค์อันแสนไกล

เมื่อเห็นเช่นนี้ คิ้วของจางจวีเจิ้งก็กระตุกขึ้นทันที สักพักก็ส่งเสียงที่ดังเพิ่มขึ้นอีก ทูลว่า

“ฝ่าบาททรงเห็นเช่นไรพะยะค่ะ?”

พระวรกายของฮ่องเต้ว่านลี่สะดุ้งเฮือก สะบัดพระพักตร์ไปมาจึงได้พระสติ มองเห็นสายตาตำหนิของจางจวีเจิ้ง ก็กระแอมไอ ก่อนจะตรัสเช่นยามปกติว่า

“เราเห็นว่าที่ท่านจางว่ามานั้นเหมาะสมที่สุด ทำตามนั้นก็แล้วกัน!”

ไม่ว่าจางจวีเจิ้งจะกล่าวสิ่งใดในราชสำนักก็ให้ทำตามที่ว่าก็พอ ฮ่องเต้ว่านลี่ชินชาเสียแล้ว

ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ จางจวีเจิ้งก็มิได้ทูลต่อ ทูลเพียงว่า ‘กระหม่อมรับพระบัญชา’ แล้วก็ถอยกลับไปประจำที่เดิม

เสนาบดีกรมอากรหม่าจื้อเฉียงลังเลอยู่สักพักก็ก้าวขึ้นหน้ามากราบทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท หลายวันนี้มีคนมากมายนอกเมืองหลวงฟ้องร้องมาที่ศาลซุ่นเทียนว่า ซุนไห่กงกงแห่งสำนักอาชาหลวงแย่งชิงที่นาราษฎร ตัดเส้นทางน้ำ ในการซื้อขายม้านั้น ยังกดราคาซื้อขาย…”

“เรื่องนี้เรารู้นานแล้ว ที่บอกว่าที่นาก็แค่พวกนักเลงชั่วเข้าถือครองที่ดินหลวง นานวันคิดว่าเป็นของตน สำนักอาชาหลวงมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซุนไห่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ส่วนเรื่องซื้อม้านั้น ก็แค่สำนักอาชาหลวงปลดประจำการทหาร ก็เลยเปลี่ยนม้าเท่านั้น ซุนไห่จดบัญชีชัดเจน ไยจึงเรียกว่ากดราคาซื้อขาย ขุนนางหม่าไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสให้ผ่านๆ ไป ไม่ถกต่อว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่พระประสงค์ปกป้องนี้ ทุกคนล้วนฟังเข้าใจ

ทุกคนรู้สึกแปลกใจ เสนาบดีกรมอากรหม่าจื้อเฉียงปีหน้าก็จะอำลาจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว แต่ไรมาก็ทำการอย่างรอบคอบ อุปนิสัยนุ่มนวลยินยอมอยู่เสมอ เหตุใดวันนี้จึงได้มุทะลุโพล่งออกมาเช่นนี้ได้

เมื่อเห็นว่าหม่าจื้อเฉียงไม่ได้ดึงดันอันใดต่อ หรี่ตาไปดูสีหน้าจางจวีเจิ้ง จากนั้นก็ยอมถอย ทุกคนจึงเข้าใจแล้วว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น

“ขุนนางทุกท่าน มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?”

เดิมวาจานี้ควรเป็นเฝิงเป่าไม่ก็จางเฉิงเป็นผู้กล่าว แต่ฮ่องเต้น้อยทรงหาวหวอดด้วยไม่อาจทนต่อไปได้อีก เมื่อคืนดึกและยังทรงดื่มสุราองุ่นแดงที่ผสมดอกจามจุรีทำให้ร้อนรุ่มไปทั้งพระวรกาย ตอนนี้รู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าเริ่มคืบคลานเข้าแล้ว

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล!”

จางซื่อเหวยเสนาบดีกรมทหารกลับก้าวออกมายืน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อ้าพระโอษฐ์หาวค้าง พยักพระพักตร์อย่างรำคาญพระทัยมาก “มีอันใดก็ว่ามา” ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไม่ก็สอบถามหรือไม่ก็ตักเตือน หรืออาจเล่าเป็นนิทาน ไว้รอโต้กลับไปก็แล้วกัน

“ทูลฝ่าบาท นายกองพันหวังที่เทียนจินได้รับการร้องขอจากขุนนางพื้นที่ให้ไปปราบโจรที่อำเภอชิง เมืองเหอเจียน ได้ชัยชนะใหญ่ ได้เงินมาทั้งหมดสามแสนตำลึง นำส่งเข้าเมืองหลวงมาแล้ว เอาไว้เป็นส่วนเพิ่มเงินก้อนจินฮวา”

พอได้ยินว่าเป็นเรื่องหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มใส่พระทัยมากขึ้นเล็กน้อย จางซื่อเหวยกราบทูลต่อว่า

“เงินก้อนจินฮวาเพิ่มเป็นล้านตำลึง ด้วยพระดำรัสของพระองค์ว่าจะทรงรวบรวมเอง กระหม่อมลองคิดคร่าวๆ ยามนี้มีถึงเจ็ดแสนแล้ว ตั้งแต่ทรงเอ่ยมาถึงตอนนี้ เพิ่งจะแค่เดือนห้ากว่า สิ่งที่นายกองหวังทำนั้นไม่อาจกล่าวว่าไร้ประสิทธิภาพ แต่ในเจ็ดแสนนี้ ได้มากจากการกวาดล้างถึงเกือบห้าแสน หวังทงได้รับพระเมตตายิ่งใหญ่ แม้ว่าเป็นแค่นายกองพัน แต่ไปอยู่เทียนจินไม่มีผู้ใดควบคุม สิ่งที่ราชสำนักได้รับรู้เกี่ยวกับเทียนจินก็เป็นเพียงฎีกาลับ จำนวนล้านตำลึงนั้น ราชวงศ์หมิงปีหนึ่งได้มาจากทั่วแผ่นดินก็แค่นี้เท่านั้น ปีนี้กวาดล้างจับโจรได้มาล้านตำลึง ปีหน้าจะรวบรวมจากที่ใด หรือจะสร้างความเท็จขึ้น กวาดล้างขุนนางราชสำนัก หรือตอนนี้ก็ทำเช่นนี้แล้ว”

“หากขุนนางจางสงสัย ก็ไปตรวจสอบได้นี่ บัญชีชัดเจน ความผิดแต่ละกระทงก็ส่งไปที่กรมอาญา ศาลต้าหลี่ร่วมจัดการ สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาก็มีรายงาน ทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไยต้องหาเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ด้วย”

ฮ่องเต้ว่านลี่ใช้พระหัตถ์จิกต้นขาเพื่อให้พ้นจากอาการสลึมสลือ เห็นอยู่ว่าเงินทองเข้าวังมา มีอันใดไม่ดีกัน อย่างนี้ในวังปีนี้ก็จะผ่านไปได้อย่างสบายๆ ไม่มีเงินก้อนจินฮวา ความสุขสำราญที่อุทยานปัจจิมจะมีได้อย่างไร ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่พอพระทัย

จางซื่อเหวยไม่โต้เถียง ก้มตัวลงกล่าวเพียงว่า

“ฝ่าบาท กันไว้ดีกว่าแก้ กระหม่อมเพียงคาดว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ จะป้องกันอย่างไร ขอทรงมีพระวินิจฉัยด้วยพะยะค่ะ”

หลังจากกราบทูลจบก็ถอยกลับเข้าแถว ว่านลี่ไม่กล่าวอันใด ได้แต่ยืนขึ้นส่งเสียงฮึ ก่อนจะสะบัดแขนภูษาเสด็จออกไปทันที จางจวีเจิ้งมองตามไปพลางส่ายหน้า หากไม่กล่าวอันใด

จางเฉิงที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็รู้สึกแปลกใจ มองอย่างลังเลครู่หนึ่ง หากก็ไม่กล่าวอันใด รีบตามเสด็จออกไปทันที

ตามปกติที่ผ่านมา ผู้ใดก็ตามในที่ประชุมหากกล่าวถึงหวังทง ย่อมต้องมีเรื่องโต้เถียงรุนแรง แต่วันนี้กลับทรงมีปฏิกิริยานิ่งไปมาก ซุนไห่วางแผนต่างๆ มานั้น นับได้ว่าสามารถดึงพระทัยของฮ่องเต้ไปได้แล้วจริงๆ

หลังจากประชุม ฮ่องเต้ไม่ทรงให้เฝิงเป่าหรือจางเฉิงตามเสด็จ เพราะไทเฮาฉือเซิ่งทางนั้นมีพระประสงค์ให้พระองค์เสด็จไปงานเลี้ยงในครอบครัวพร้อมฮองเฮา

ขันทีทั้งสองส่งฮ่องเต้ขึ้นเกี้ยวจากไป ก็หันหน้ามุ่งไปยังสำนักส่วนพระองค์ เดินไปได้สองสามก้าว จางเฉิงก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“ฮ่องเต้อายุยังน้อย ย่อมสนพระทัยใฝ่หาความสำราญ แต่ซุนไห่ก็ช่างเหิมเกริม ไม่เห็นหัวผู้ใดในวังทั้งสิ้น ไม่อาจปล่อยเช่นนี้ให้เนิ่นนานได้”

เฝิงเป่าเงียบไปเดินไปได้สองสามก้าวก็ยิ้มเย็นกล่าวว่า

“คนชั้นต่ำ เมื่อก่อนซุนไห่ไม่ใช่ทำตัวเช่นนี้ หากมิใช่ว่าฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมถูกคนจนได้ดิบได้ดี ได้เข้ารับใช้ไทเฮาเหรินเซิ่ง จะมีวันนี้ได้อย่งไร ก่อเรื่องจนไร้ขอบเขต…”

พูดได้สองประโยคก็หยุด หันไปโบกมือกล่าวว่า

“ไม่ต้องสนใจคนพรรค์นี้ ก็แค่ตัวตลกเท่านั้น ทำงานเราให้ดีสำคัญกว่า”

“เฝิงกงกงกล่าวได้ถูกต้อง”

จางเฉิงรับคำนอบน้อม แต่ในใจกลับคิดว่า เฝิงเป่าปกติแต่ไรมาก็จะนิ่งเงียบ การที่กล่าวออกมาเช่นนี้ ดูท่าแล้วน่าจะโมโหมากจริงๆ

***********

เรื่องทุจริตของขุนนางที่เกี่ยวข้องกับการค้าเกลือนั้นเป็นเรื่องปกติมาก เอกสารกรมอาญาก็ไม่ได้เร่งรีบอันใด ยังเป็นช่วงเดือนหนึ่งอยู่ เอกสารก็ย่อมช้าเป็นปกติ

คืนดึกสงัด ณ เมืองชางโจว เฉียนชุนผิงอยู่ที่จวน สองสามีภรรยาอยู่ในห้องนอนด้านใน สองคนค่อยๆ ย่องออกมา ปิดประตูเบาๆ ปีนกำแพงหนี

วันที่ 1 เดือนสองในปีที่เจ็ดแห่งรัชสมัยว่านลี่ สาวใช้ของเฉียนชุนผิงพบศพเฉียนชุนผิงและภรรยาแขวนคอตาย ยังพบอีกว่าก่อนตายยังกรอกยาพิษให้บุตรชายคนเดียวตายไปก่อนอีกด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่เอกสารทางการยังมาไม่ถึงเมืองชางโจว…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version