Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 361

ตอนที่ 361 ยามภัยมาถึง ย่อมเห็นน้ำใจ

ปลายเดือนสองต้นเดือนสาม นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแประจำเทียนจินหวังทงส่งเงินก้อนจินฮวาเข้าท้องพระคลังอีกเป็นครั้งที่สาม นับรวมได้ล้านสองแสนตำลึง

นี่นับว่าเป็นปรากฎการณ์ใหญ่ เมืองระดับกลางปีหนึ่งส่งเงินเข้าคลังมาได้หนึ่งล้านตำลึง ราชสำนักต้องส่งขุนนางไปตรวจสอบดูว่าที่นั้นขุดภูเขาทองคำกันหรืออย่างไร หรือว่าขุนนางท้องที่รังแกประชา

เทียนจินเล็กๆ ก็แค่พื้นที่ทหารติดทะเล อาศัยกำไรรุ่งเรืองจากการขนส่งทางน้ำเท่านั้น อย่างไรก็เป็นแค่เมืองเล็กๆ หากเทียบแล้วก็ใหญ่แค่ระดับอำเภอเท่านั้น

แต่พอหวังทงไปถึงได้ราวครึ่งปีเท่านั้นก็ทำเงินส่งให้ราชสำนักได้ก้อนเงินจินฮวาถึงแปดแสนกว่าตำลัง

หวังทงเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ไม่เคยร่ำเรียนความรู้อะไร ก็แค่เคยเปิดร้านอาหารทำกำไรในเมืองหลวงมาเท่านั้น

เขามีความสามารถอะไร หรือว่าเก็บภาษีเรือผ่านเข้าออก เปิดเส้นทางการค้าทางทะเลแค่ไม่กี่อย่างนี้ก็ทำกำไรได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ?

ตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา การค้าแดนใต้มีมาเกือบร้อยปี การขนส่งทางน้ำนี้ก็มีมาแต่ตั้งราชวงศ์แล้ว การค้าทางทะเลก็ถูกห้ามไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้มาเปิดทะเลก็ยังมีข้อห้ามมากมาย

ท้องพระคลังแผ่นดินหมิงแต่รัชสมัยเจียจิ้งมานั้นก็ว่างเปล่า ราชสำนักและขุนนางท้องที่ต่างก็พยายามเก็บจากภาษีที่ดิน แต่ตอนนี้เงินทองมากมายเบื้องหน้าไม่สนใจ กลับมาลงมือเอากับพวกชาวนายากจน ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่

ปาฏิหาริย์ที่หวังทงสร้างขึ้นนี้ คนในเมืองหลวงไม่น้อยต่างกำลังใคร่ครวญหนัก บรรพชนฮ่องเต้มองข้ามภาษีการค้าไปอาจมีเหตุผล ตอนนี้ยังต้องทำตามแบบแผนเดิมหรือ!?

ทว่าผู้ที่คิดการได้รู้ความเช่นนี้กลับมิใช่แกนนำในการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้ สิ่งที่พวกเขาคุยกันนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า ว่า หวังทงสั่งสมกองกำลังที่เทียนจิน ปลอมเป็นโจรบนหลังม้าออกปล้นสดมภ์ ออกจากเมืองในยามค่ำคืน ปล้นชิงพ่อค้าที่ผ่านไปมา ยังบอกกันถึงขั้นว่าไปไกลถึงเมืองชิงโจวตอนเหนือที่ไกลโพ้น

กล่าวกันว่าชาวเทียนจินลำบากยากแค้น ภาษีเก็บได้ตอนนี้มีใช้ไปถึงว่านลี่อายุ 40 แล้ว มักมีทหารองครักษ์เสื้อแพรถือดาบบุกเข้าปล้นบ้านเรือนราษฎร พ่อค้าแดนใต้จำนวนไม่น้อยก็ถูกปล้นฆ่า จับกรอกหินโยนลงทะเล จากนั้นยังสมคบคิดโจรสลัด ปล้นเรือชาวเกาหลีและพื้นที่ริมชายทะเล จากนั้นก็กลับมาปกปิดหลักฐานกบดานที่เทียนจิน ผู้คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างพากันตกใจหวาดกลัวยิ่งนัก

*********

รายงานเช่นนี้มักถูกบรรดาขุนนางท้องที่รายงานต่อไปยังขุนนางเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรแล้วก็มีพระสติกะตือรือร้นขึ้นซึ่งหาได้ยากยิ่งในระยะนี้ ว่ากันว่าเคยทรงถามเช่นนี้ที่ห้องทรงอักษร

จางปั้นปั้น ฟานต๋ากับว่านเต้าได้พบหวังทงครั้งแรก เห็นหวังทงเรียบง่าย ผ่านไปสิบกว่าวันได้พบกันอีก หวังทงมีเงินทองของมีค่าเต็มห้อง ทุกคนตกใจถามขึ้น หวังทงตอบเฉยเมยว่า เมื่อวานไปออกทะเลได้มา เราว่าเรื่องนี้ทำไมคุ้นๆ นะ?”

จางเฉิงนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท มาจากหนังสือรวมนิยายในสมัยซ่งใต้ที่บอกเล่าเรื่องราวของขุนพลจู่ที่ข้ามแม่น้ำลงใต้ ไม่ว่าทำงการหรือชาวบ้านล้วนยากจนค่นแค้น ไม่มีเสื้อผ้าของดีมีราคาอันใด วันหนึ่งมีคนไปเยือนบ้านเขาและพบข้าวของมีค่ามากมาย ทุกคนต่างถามด้วยความแปลกใจ เขาตอบว่า เมื่อวานลงใต้ไปอีกครา ขุนพลจู่ที่นำทหารไปปล้นชิงมา คนที่รู้เห็นต่างยอมรับได้ ไม่ถามความต่อ หวังทงกับฟานต๋าและว่านเต้าไม่ถูกกันราวกับน้ำกับน้ำมัน เช่นนั้นยังมีเรื่องน่าตกใจอันใดให้ต้องถามไถ่อีก”

รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ในราชสำนักฝ่ายในนับเป็นตำแหน่งแกนหลัก ความจำที่ได้ยินได้ฟังมาก็ย่อมไม่เป็นรองบรรดาราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ เรื่องเล่านิทานพวกนี้จางเฉิงย่อมจำได้แม่นยำ ว่านลี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะดังลั่นตรัสว่า

“เราเข้าใจแล้ว ที่บอกว่าปลอมตัวเป็นโจรเข้าปล้นพ่อค้า ใช้เรื่องราวของสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก นี่มันเรื่องของปลอมเป็นโจรออกปล้นพ่อค้า นี่กล่าวถึงตัวละครที่ชื่อสือฉงนี่นา?”

***********

ยามนี้ผู้กุมอำนาจราชวงศ์หมิงไม่ใช่โอรสสวรรค์หรือจางเฉิง ดังนั้นการที่โอรสสวรรค์คิดเห็นเช่นไรกับการวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือดนั้นไม่สำคัญ

หลังจากพวกบัณฑิตรวมตัวกันยื่นฏีกา ยังมีขุนนางระดับกลางและล่างในเมืองหลวงร่วมด้วย ย่อมไม่อาจมองข้ามพลังเช่นนี้ไปได้ อย่างไรก็ย่อมมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ยังมีพ่อค้าที่เสียประโยชน์อีก

ควรต้องรู้ว่า แม้การขนส่งทางทะเลหรือทางแม่น้ำยังไม่มีเรือสินค้าเข้าเทียนจิน เมืองหลวงและเขตปกครองเหนือยังคงซื้อขายสินค้าของปีก่อน แต่ราคาได้ร่วงลงมากกว่าสองส่วน แล้ว

หลายฝ่ายร่วมมือกันเช่นนี้ การตรวจสอบหวังทงก็เหมือนลูกธนูขึ้นสายพร้อมกัน ไม่ยิงไม่ได้แล้ว

แต่ละหน่วยงานส่วนนอกและสำนักส่วนในก็มุ่งมายังเทียนจิน เดิมใช้ชื่อว่าสอบคดี ในเมื่อมีคำว่า “คดี” เช่นนี้ก็หมายความว่าที่หวังทงได้กระทำที่เทียนจินนั้นล้วนไม่ถูกกฎหมายทั้งสิ้น ต้องจับตัวมาลงโทษ

ขณะที่แต่ละหน่วยงานกำลังตัดสินใจอยู่นั้น ซุนต้าไห่ก็นำเงินก้อนจินฮวาเข้าเมืองหลวงมา หลังจากในวังรับเงินไปแล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งก็ตรัสว่า

“เจ้าเด็กน้อยหวังทงก่อเรื่องที่เทียนจินไม่น้อย แต่ถูกผิดนั้นยังไม่อาจตัดสิน หนึ่ง ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง สอง ล้วนเร่งหาเงินเพื่อส่งเข้าวังหลวง อย่างน้อยก็มีความชอบ……”

พระดำรัสนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วจากปากของนางกำนัลสู่ขันที จากนั้นก็ออกไปเข้าหูบรรดาคนนอกวังอย่างรวดเร็ว

ไทเฮาตรัสเช่นนี้ ทุกคนก็รีบเปลี่ยนวาจา เดิมว่าสอบคดี รีบเปลี่ยนเป็น ตรวจสอบ คำว่า “ตรวจ” นั้นยังไม่บอกว่าจะมีผลลัพท์เช่นไร

**********

เหมือนเช่นปกติ เงินก้อนจินฮวาเมื่อเข้าวัง หวังทงก็จะส่งจดหมายไปที่สำนักรักษาความสงบ

นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหลี่เหวินหย่วนอ่านจดหมายแล้ว ก็รีบไปเชิญหลี่ว์วั่นไฉจากศาลซุ่นเทียนและโจวอี้ในวังออกมาหารือ คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกโจวอี้ไม่มา

ตอบมาว่าในวังงานยุ่งมาก ปลีกตัวมาไม่ได้ แต่เรื่องหวังทงนั้นสำคัญ หลี่เหวินหย่วนจึงไม่อาจปล่อยให้ล่าช้า ส่งคนไปเร่งอีก ครั้งนี้จึงได้ยอมมา

เข้าสู่ต้นเดือนสามแล้ว ณ หอรุ่งเรือง ทั้งสามคนนั่งลง หากบรรยากาศไม่ผ่อนคลายเหมือนเมื่อวันวาน อาหารง่ายๆ และสุราพร้อม หากไม่มีผู้ใดแตะต้อง หลี่เหวินหย่วนกล่าวขึ้นว่า

“ทางใต้เท้าหวังมีข่าวมา สิ่งที่ข้าต้องทำก็จะรีบไปทำ ยังมีเรื่องอีกมาที่ต้องให้ท่านทั้งสองไปดำเนินการ ให้กำหนดเวลาข้ามาหน่อย จะให้ต้าไห่คอยในเมืองหลวงก่อน ไว้พร้อมค่อยเร่งม้าเร็วกลับไป”

หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า โจวอี้กลับไม่มีปฏิกิริยา เอาแต่เงียบ รอให้ทั้งสองมองมา จึงได้ยอมกล่าวขึ้นว่า

“ข้าทางนั้นไม่เหมือนเมื่อก่อน ซุนไห่สำนักอาชาหลวงวางอำนาจบาตรใหญ่ คิดจะสืบข่าวอะไรก็ไม่ง่าย ในวังตอนนี้ยากยิ่งนัก”

หลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉอึ้งไป สีหน้าหลี่เหวินหย่วนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่ว์วั่นไฉสะบัดพัดจีบในมือออกดัง “พรึ่บ” พัดโบกอย่างร้อนใจ โจวอี้มองซ้ายทีขวาทีก็กระแอมไอลุกขึ้นกล่าวว่า

“ในวังยังมีงานต้องทำ ข้าขอตัวก่อน วันหน้าค่อยพบกันใหม่!”

สีหน้าหลี่เหวินหย่วนเริ่มเปลี่ยนสี ลุกพรวดขึ้นทันที หลี่ว์วั่นไฉใช้พัดในมือรั้งไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า

“โจวกงกงอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ข้ามีวาจาขอกล่าวสักหน่อย”

โจวอี้มองหลี่ว์วั่นไฉ พยักหน้าก่อนจะนั่งลง หลี่ว์วั่นไฉประสานมือยิ้มกล่าวว่า

“พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี ข้าพูดจาตรงไปตรงมา ขอโปรดอภัย โจวกงกง อำนาจวาสนาอนาคตของท่านอยู่ที่ผู้ใดกัน?”

โจวอี้เงยหน้าขึ้นมอง หลี่ว์วั่นไฉสีหน้าแต้มรอยยิ้มกล่าวต่อว่า

“ฮ่องเต้? หรือว่าจางกงกง? โจวกงกง หากไม่มีใต้เท้าหวังที่เทียนจิน ท่านคิดว่าพอถูกจับความผิดได้ จางกงกงยังจะให้ท่านทำงานที่สำนักรักษาความสงบนี้หรือ? โจวกงกงอาจคิดว่าสำนักรักษาความสงบตอนนี้ก็เหมือนกับสำนักบูรพาหรือสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีระบบของตนในเมืองหลวงนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใต้เท้าหวัง แต่ข้าว่าเป็นเพราะมีใต้เท้าหวังที่เทียนจินค้ำเอาไว้ต่างหาก ขุนนางในวังนอกวังต่างจับจ้องไปที่เทียนจิน หากใต้เท้าหวังล้มลง ทุกอย่างสิ้นสลาย ท่านคิดว่าพวกเราเก็บเงินผู้อื่นเช่นนี้ แอบสืบเรื่องคนอื่นเช่นนี้จะยืนนานได้สักเท่าไร แม้แต่ขุนนางที่โอรสสวรรค์ทรงให้การสนับสนุนยังโดนลงโทษ ท่านและข้าระดับไหนกัน ยังจะยืนนานได้อีกหรือ?”

วาจากล่าวได้ดุเดือด โจวอี้โต้กลับด้วยสัญชาตญาณว่า

“สำนักรักษาความสงบนี้ได้กลายเป็นที่โปรดปรานฝ่าบาทแล้ว ไยจะไม่ยืนนานเล่า?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่ว์วั่นไฉเริ่มเย็นเยียบ ตบพัดลงปิดกลางฝ่ามือกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังล้ม สำนักรักษาความสงบที่มีทั้งเงินมีทั้งอำนาจยังจะอยู่ในมือท่านกับข้างั้นหรือ ซุนไห่นั่นทำไมไม่มาทำ หากกลับเพียงมองดูโจวกงกงที่เป็นผู้ที่กระทำผิดมาก่อนมาทำหน้าที่นี้”

วาจาไม่น่าฟัง ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือส่วนรวม นับว่าได้ล่วงเกินถึงที่สุดแล้ว โจวอี้สีหน้าตกในภวังค์ เริ่มโมโห แต่สุดท้ายก็รู้สึกละอาย อึ้งอยู่เป็นนาน จึงได้ก้มหน้าลงประสานมือกล่าวว่า

“เป็นข้าเองที่โง่เขลา ข้าจะรีบกลับวังไปดำเนินการ ไม่ว่าอย่างไร สามวันจากนี้ย่อมให้คำตอบได้”

หลี่ว์วั่นไฉเก็บรอยยิ้มเย็นเยียบ ลุกขึ้นประสานมือขออภัยว่า

“เมื่อครู่วาจาล่วงเกินแล้ว ขอโจวกงกงโปรดอย่าได้ถือโทษ”

อารมณ์ของโจวอี้ก็แปรเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติ เขายิ้มและโบกมือเยาะตัวเองว่า

“ข้าเองมักคิดว่าตนเองมองกระจ่างทุกเรื่อง แต่มักจะทำผิดในเรื่องเล็กน้อย ทำการใหญ่ไม่ได้ ไม่อาจรับภาระใหญ่ได้จริงๆ !”

หลี่เหวินหย่วนสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน มองสองฝ่ายนั่งลง กล่าวต่อว่า

“เรื่องการไปตรวจสอบที่เทียนจินครั้งนี้ ใต้เท้าในราชสำนักหลายท่านล้วนเกี่ยวพันด้วย มหาอำมาตย์จางก็สั่งการลงมาว่าให้ ‘ดำเนินการตรงไปตรงมา’ ใต้เท้าจางแห่งกรมทหารก็สั่งว่าให้ ‘ตรวจเข้ม’ เสนาบดีกรมอากรหม่าจื้อเฉียงก็สั่งมาว่า ‘ตรวจละเอียด’ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้?”

หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ทางข้าได้สืบจากชาวบ้าน มีคนได้ยินอิ๋วชีบอกว่า ใต้เท้าจางเอ่ยถึงเรื่องนี้กับที่ปรึกษาแล้ว นอกจากภาษีที่ดินแล้ว แน่นอนย่อมมีเรื่องอื่นอีก หากเกี่ยวพันถึงคนจำนวนมหาศาล ไม่อาจแตะต้อง เทียนจินมีคนกำเริบเสิบสานก็เหมือนเปิดหน้าฉากให้เห็น วันหน้าก็จะได้ดำเนินการง่ายหน่อย วาจานี้ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”

โจวอี้พยักหน้ากล่าวสำทับว่า

“จางกงกงกล่าวว่าหวังทงถูกโจมตีก็เพราะไปแตะต้องการค้าเกลือ แต่มีเรื่องมาถึงขั้นนี้ได้ คงไม่ใช่ความสามารถของพวกระดับล่างพวกนั้นเป็นแน่ เบื้องหลังย่อมต้องมีคนหนุนหลัง ต้องสืบให้ได้ว่าเป็นผู้ใด……”

หลี่เหวินหย่วนขมวดคิ้วโบกมือกล่าวว่า

“เรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้ใต้เท้าสั่งการมานั้นให้ทำก่อน แม่นางซ่งที่หอฉินก่วนต้องรีบตามข่าวมาให้เร็วที่สุด……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version