ตอนที่ 374 ระบำกลางทะเลสาบ
“ซุนกงกง หกพันตำลึงนี้ท่านให้ส่งไปทงโจวเปลี่ยนเป็นที่นาเหมือนเดิม หรือว่าส่งเงินไปจวนท่านที่เขตอุดร?”
“อ่า หากพวกเจ้าคิดอุบายใหม่ๆ ได้ล่ะก็ เงินพวกนี้ยกให้พวกเจ้ายังได้!”
“กงกงล้อเล่นแล้ว การคิดสิ่งใหม่นั้นเป็นหน้าที่พวกข้าน้อย ของกงกงก็ย่อมเป็นของกงกง คนละเรื่องกัน”
“……ส่งไปที่จวนละกัน……”
ซุนไห่นั่งอยู่ในร้านน้ำชาห้องหรูหราใกล้กับหอฉินก่วน ซุนไห่นั่งเป็นประธาน ข้างๆ มีคนท่าทางเหมือนพ่อบ้านสามคน แต่ละคนสนทนากันด้วยรอยยิ้ม
ความกังวลบนใบหน้าของซุนไห่นั้นเห็นได้ชัดเจน แต่เงินทองก็ยังคงยิ้มรับไว้ดังเดิม งานสร้างและต่อเติมอุทยานปัจจิม การเชิญการละเล่นต่างๆ คณะร้องรำทำเพลงต่างๆ เข้าวัง ยังมีอื่นๆ อีกจิปาถะ แต่ละอย่างก็ต้องใช้เงิน และราคาก็ยังสูงกว่าราคาตลาดหลายเท่า
แรงงานในการซ่อมพระราชวัง การเชิญคณะแสดงต่างๆ ทำกำไรมาก้อนโต ย่อมไม่อาจลืมแหล่งที่มา ต้องตอบแทนซุนกงกงที่ดูแล เช่นนี้จึงจะสามารถมีการค้าให้ทำไปนานๆ ได้
หลังจากการก่อสร้างต่อเติมเสร็จ ก็ต้องเชิญคณะการแสดงมา ซุนไห่เคยลองหออื่นบ้าง หากเป็นหอฉินก่วนที่รู้งานที่สุด ยังให้ค่าตอบแทนมากกว่าที่อื่นสามส่วน อีกทั้งยังปิดปากสนิท ไม่ยักยอกลดทอนวัสดุ ไม่เหมือนร้านอื่นที่พอเข้ามาในอุทยานปัจจิม ก็ถึงกลับออกไปป่าวประกาศข้างนอกเพื่อดึงดูดแขกของร้าน
จนถึงตอนนี้ มีน้อยคนมากที่รู้ว่าหอฉินก่วนเคยเข้าไปในอุทยานปัจจิม นอกจากนี้สาวๆ ในหอฉินก่วนก็เก่งกาจอันดับหนึ่งในเมืองหลวง และยังมีลูกเล่นใหม่ๆ อยู่เสมอ สามารถดึงดูดฮ่องเต้ว่านลี่ไว้ได้นานที่สุด
ไม่นานซุนไห่ก็ไม่เรียกใช้หออื่น ร่วมมือกับหอฉินก่วนมานาน อย่างไรก็ต้องมีจุดสิ้นสุด ทุกวันนี้แม้แต่หอฉินก่วนเองก็ใช้ลูกไม้อุบายหมดทุกทางแล้ว ไม่มีอะไรใหม่อีกแล้ว
“คบหากันมานาน ข้าก็ไม่เสียเวลาพูดอ้อมค้อมให้มากความ ตอนนี้การแสดงร้องรำและกายกรรมงิ้วนั่นนี่ ท่านผู้นั้นบอกว่าน่าเบื่อแล้ว วันก่อนข้าไปเชิญมา ท่านผู้นั้นบอกว่ามีงาน หอฉินก่วนเจ้าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง หรือว่าคิดวิธีการใหม่ๆ ไม่ออกแล้ว?”
พ่อบ้านทั้งสามสบตากัน คนหนึ่งพยักหน้าเบาๆ ทุกคนหันไปมองซุนไห่ สีหน้าลำบากใจยิ่ง หนึ่งในนั้นก้มหน้ากล่าวว่า
“ซุนกงกง ลูกเล่นใหม่นั้นคิดยากจริงๆ หอฉินก่วนคิดสิ่งใหม่มาได้แต่ละครั้งก็ใช้เวลาปีหนึ่งหรือสองปี……ทางซุนกงกงนั้นก็ช่าง……”
สีหน้าซุนไห่เคร่งเครียด กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เป็นเพราะหอฉินก่วนเจ้ารู้จักจัดการได้ดี ข้าจึงได้ใช้งานพวกเจ้ามาถึงวันนี้ ข้าเองก็ใช่ว่าไม่จ่ายหนัก หรือว่าไปต้าถง ไปทงโจวไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องกล่าวถึงข้างนอกเลย แค่ในวังก็มีคนมากมายเท่าไรยอมจ่ายเงินมาขอร้องข้า……”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าคิดอะไรได้ รีบกระแอมไอหยุดไป พ่อบ้านสามคนสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
หอฉินก่วนไม่ได้รวยเพราะต้องพึ่งซุนไห่ ตอนนี้ที่ยอมช่วยก็เพราะไม่อยากล่วงเกินซุนไห่ และยังมีเงินก้อนโตให้ทำกำไร หากไม่ใช้งานกันจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องฟ้าถล่มดินทลายอันใด เหตุผลนี้พวกเขาเองก็พอเข้าใจ ซุนไห่เองก็เข้าใจ เงียบไปครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“ลองคิดหาวิธี อย่างไรพวกเจ้าก็มีช่องทางข่าวสารในเมืองหลวงมาก หากคิดเรื่องสนุกสำราญใหม่ได้ เงินทองครั้งหน้าจะจ่ายสองเท่า พวกท่านสามคนก็จะได้อั่งเปาด้วย……”
กล่าวกันถึงขั้นนี้ แม้ว่าคิดวิธีไม่ออกก็ต้องคิดให้ออก มิเช่นนั้นหน้ำตาทุกคนล้วนมองหน้ากันไม่ติด พ่อบ้านหอฉินก่วนอีกสองคนสีหน้าลำบากใจ หากมีผู้หนึ่งเหมือนคิดอะไรได้
ซุนไห่เหลือบเห็นเข้าก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า
“เหล่าเจี่ยง มีอะไรก็พูดมาเลย กลัวข้าไม่มีเงินจ่ายหรืออย่างไร?”
พ่อบ้านเจี่ยงผู้นั้นหัวเราะแหะๆ ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นท่าทางไม่แน่ใจนักว่า
“ซุนกงกง หากจะหาลูกเล่นใหม่ ข้าน้อยเองก็พอรู้อยู่สิ่งหนึ่ง เพียงแต่สิ่งนี้ไม่ค่อยกล้านำมากล่าวโจ่งแจ้งนัก……”
“นี่ไม่ใช่ที่ทำการทางการ มีอะไรก็ว่ามา ไม่มีใครเอาผิด!”
“กงกงยังจำใต้เท้าหวังกั๋วกวงได้กระมัง!”
ซุนไห่พยักหน้า ลูกชายหวังกั๋วกวงกระทำการเหิมเกริม ถึงกับสั่งให้คนรับใช้ลงมือกับฝ่าบาท ทำเอาหวังกั๋วกวงต้องหลุดจากตำแหน่งกลับไปอยู่บ้านเกิด เรื่องนี้คนในวังล้วนจำได้แม่นยำ ทุกคนจดจำได้ว่าคุณชายหวังลุ่มหลงนารียิ่งนัก”
“คุณชายหวังตอนนั้นชื่นชอบลูกเล่นแปลกใหม่มาก เคยเชิญคณะงิ้วมาเล่นที่จวน ใช้เงินไปถึงสามพันกว่าตำลึง”
“สามพันกว่าตำลึง?”
พอได้ยิน ซุนไห่ก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าเต็มปอด คณะจากหอฉินก่วนลำบากลำบนในอุทยานปัจจิมมานานเช่นนี้ คืนหนึ่งได้แค่ราวพันสองร้อยตำลึงเท่านั้น ในนี้ยังมีส่วนแบ่งของคนมากมาย คุณชายหวังเชิญคณะงิ้วมาเล่นในจวน เหตุใดต้องจ่ายเงินมากมายเพียงนั้น
ใช้เงินมหาศาล ย่อมมีเหตุผลที่ต้องจ่าย ซุนไห่รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที พ่อบ้านผู้นั้นกล่าวต่อด้วยท่าทางลึกลับว่า
“การแสดงนี้ในรัชสมัยฮ่องเต้เจิ้งเต๋อก็เคยมี ตอนนี้ในจวนชนชั้นสูงหลายจวนก็ยังมี……”
************
หากซุนไห่ไม่ทูลว่าอุทยานปัจจิมมีของใหม่สวยงามขั้นสุด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงมา
สุราอาหารชั้นยอดกินทุกวันก็ชินชา ยังสู้ข้าวสวยกับเนื้อตุ๋นน้ำแดงที่หอเลิศรสในวันวานไม่ได้ ภาพงดงามดูบ่อยก็ชินชา อุทยานปัจจิมกว้างใหญ่เพียงใดก็เป็นอุทยานปิด ไม่สนุกเหมือนออกไปเดินบนถนนทักษิณหรือตรอกซอกซอยรอบๆ สำหรับสาวงาม มากไปก็เช่นเดียวกัน ตนเองเป็นโอรสสวรรค์ ในวังมีสาวงามมากมายรอให้พระองค์เชยชม อุทยานปัจจิมก็แค่แปลกใหม่เท่านั้น
เมื่อฮ่องเต้วานลี่มีเวลาว่าง ก็มักจะคิดถึงลานฝึกหู่เวย คิดถึงเรื่องราวความรู้ที่ได้เรียนได้ทำมา พระองค์ได้นำของว่างไปแจกจ่ายแบ่งปันกับเด็กๆ ทุกวันมีแต่ความสุขสนุกสนานยิ่งนัก ถึงตอนนี้คิดขึ้นมาก็ยังรู้สึกมีความสุข
เหตุใดความสำราญในอุทยานปัจจิม ความฟุ่มเฟือยอย่างที่สุด กลับทำให้ทรงรู้สึกเบื่อหน่าย หากในวังผู้ที่สามารถทำให้พระองค์มีความสุช สามารถพยายามเฟ้นหาสิ่งใหม่มาให้พระองค์สนพระทัยได้ก็มีแต่ซุนไห่เท่านั้น คนอื่นได้แต่ปั้นหน้าเคร่งเครียดทุกวัน ตักเตือนให้ทรงงาน ราชกิจซ้ายขวาก็ตัดสินพระทัยอันใดไม่ได้ จะไปทรงงานอันใดกัน
“ฝ่าบาทเสด็จ~ ~ ~”
เสียงรายงานดังยาวมา ประตูอุทยานปัจจิมก็ค่อยๆ เปิดออก ซุนไห่สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อมกายรับเสด็จ ว่านลี่พยักพระพักตร์ เสด็จลงจากเกี้ยว
ครั้งนี้ไม่มีเล่นแสงไฟวิบวับอันใด มีเพียงขันทีสองคนด้านหน้าถือโคมไฟนำเสด็จ ซุนไห่อยู่ทางซ้าย เจ้าจินเลี่ยงอยู่ทางขวา ด้านหลังมีองครักษ์สี่นาย ขันทีอื่นๆ ตามอยู่ด้านหลังออกไปอีก
อุทยานปัจจิมมีทะเลสาบเล็กๆ ชื่อว่า สระสวรรค์เหยาฉือ ในฤดูร้อนสามารถล่องเรือบนทะเลสาบ เป็นความสำราญอย่างหนึ่ง
ทะเลสาบนี้ไม่เห็นมีอะไร จุดที่น่าสนใจก็คือศาลาใหญ่ที่ทิ้งตัวจากฝั่งลงไปกลางทะเลสาบ เรียกว่า ศาลาหลินชิง ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน หากนั่งในศาลาย่อมได้ชมทิวทัศน์ผืนน้ำกอปรกับการจัดทัศนียภาพในอุทยาน ทำให้เหมือนว่ากำลังชมภาพวาด
แต่ทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ก็เท่านั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ชมไปครั้งสองครั้งก็พอแล้ว ชมมากไปก็รู้สึกธรรมดา ตอนซุนไห่ทูลเชิญมาที่ศาลาหลินชิงแห่งนี้ ก็ทรงรู้สึกเบื่อแล้ว คิดว่าจะประทับสักครู่ก็เสด็จกลับ
ศาลาฝั่งติดน้ำกลับแขวนแพรบาง มีสายลมพัดแผ่วเบา ศาลาแขวนผ้าแพรไว้เช่นนี้ ที่ปิดๆ บังๆ ไว้ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทำให้ว่านลี่รู้สึกอยากรู้ยิ่งนัก ซุนไห่ยิ้มทูลว่า
“ฝ่าบาท เสวยสุธารสก่อน จะเริ่มแล้ว”
เจ้าจินเลี่ยงรับกาสีเงินมาถือ เปิดฝากาออก เทออกมาเล็กน้อย แล้วค่อยเทออกจากปากกาอีกเล็กน้อย ใช้เข็มเงินทดสอบ จากนั้นก็ดื่มลงไป ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ถวายแด่ฮ่องเต้”
ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งเสด็จมาย่อมรู้สึกกระหายน้ำอยู่บ้าง ดื่มไปสองจอก ซุนไห่ก็ปรบมือดังสองที
ขันทีที่รับใช้อยู่ในศาลาก็ดับโคมไฟในศาลา มีเพียงหลังผ้าแพรบางสองชั้นที่มีแสงไฟสว่าง ทางนั้นเป็นทางลงสู่ทะเลสาบ
เมื่อดับแสงไฟ ศาลาที่สว่างไสวเมื่อครู่ก็มืดดับลง เสียงน้ำดัง ทหารองครักษ์ด้านหลังคว้าด้ามดาบพร้อม ซุนไห่หันไปโบกมือกระซิบว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
ยามนี้ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มสนพระทัย เสียงขลุ่ยดังแว่วมา ผืนทะเลสาบมืดดำอยู่ๆ ก็มีแสงวาบขึ้น ราวกับว่ามีแสงดาวบนท้องฟ้ากระพริบขึ้นในยามค่ำคืน
หลังจากแสงไฟหลายดวงส่องประกาย ก็ไปรวมกันที่ตรงกลาง พอรวมตัวกัน โคมไฟดอกบัวก็คลี่ออกเห็นภาพด้านใน เป็นสาวน้อยแต่งกายเป็นเทพธิดายืนอยู่หัวเรือ มองผ่านแพรบางสองชั้น มองวับๆ แวมๆ ชั่วขณะหนึ่ง เทพธิดาก็ราวกับลอยลงมาจากท้องฟ้า
ผู้คนในศาลาอดฮือฮาขึ้นไม่ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ประทับยืนขึ้น เสียงขลุ่ยแผ่วลง เรือลำนั้นค่อยแล่นมายังศาลากลางน้ำ
เรือใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงดนตรีที่แผ่วลงเริ่มดังขึ้น หากยังพอมีสติก็จะเห็นว่า เมื่อครู่ดนตรีนั้นดังมาจากผืนทะเลสาบ หากตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่รอบศาลา คิดว่าสองข้างศาลากลางน้ำคงจัดแพไม้ไผ่เอาไว้
จากนั้นไม่นาน เรือก็เทียบท่าศาลากลางน้ำ เสียงขลุ่ยเปลี่ยนไปอีก เป็นเร่งเร้าจังหวะดัง โคมไฟในศาลาถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เทพธิดาองค์นั้นแต่งกายวับแวบย่างกรายเข้ามาในศาลาอยู่ระหว่างแพรบางสองผืน
ในตอนนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทอดพระเนตรชัดบ้างแล้ว หญิงสาวผู้นี้มีเพียงแพรบางบนร่างกายผืนเดียว มีผ้าแพรปิดบังหลายชั้น เห็นได้วับแวม แต่พออยู่ใต้แสงไฟ แรงดึงดูดเย้ายวนนั้นยากหาใดเทียม
ซุนไห่รีบหันหน้าหนี โบกมือให้ทุกคน มีองครักษ์ตะลึงต้างอยู่พากันหันตาม ยามนี้เสียงขลุ่ยเริ่มบรรเลงจังหวะเร่งร้อน
หญิงสาวสวมเครื่องประดับมงกุฏศีรษะ เต้นระบำด้วยเครื่องแต่งกายแพรบาง ไม่ใช่ระบำทั่วไป เป็นระบำกายอ่อนนุ่มราวกับงู บิดกายเย้ายวน ความงามไร้ขีดจำกัด หากยังมีทีท่าให้ต้องครุ่นคิด ราวกับเชื้อเชิญ ราวกับล่อลวง
ฮ่องเต้ว่านลี่หอบหายใจถี่ ยังมีหญิงสาวอีกนางหนึ่งแต่งกายเบาบางเช่นเดียวกันย่างกรายเข้ามาในศาลาเต้นร่วมกับหญิงนางเดิม ร่างกายพัวพันเกี่ยวรัดยิ่งกว่าเดิม
ยามนี้ไม่ต้องพูดถึงโอรสสวรรค์ แม้แต่บรรดาขันทีเองหอบหายใจถี่ เสียงดนตรีเริ่มเร่งเร้าอารมณ์ อยู่ๆ พลันมีเสียงตะโกนดังมาอย่างเร่งร้อนใจว่า
“ฝ่าบาท ห้ามทอดพระเนตร ห้ามทอดพระเนตรพะยะค่ะ!”