Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 413

ตอนที่ 413 ขุนพลเก่าแก่แห่งแผ่นดิน ตื่นตระหนกกับต่างชาติ

“ใต้เท้าผู้เฒ่า เรือนี้ชาวตะวันตกใช้ขนสินค้าข้ามทะเลมา ว่ากันว่าขนเงินทองข้ามมาฝั่งตะวันออกเราหลายหมื่นลี้ จากนั้นมาเปลี่ยนเป็นผ้าไหม เครื่องเคลือบและเครื่องหอมที่เรากับที่แถบทะเลใต้ จากนั้นก็ขนกลับไป ไปมาก็ราวหนึ่งปี”

ทหารที่กวางตุ้งและฮกเกี้ยนต่างเห็นอวี๋ต้าโหยวเป็นเทพแห่งสงคราม นายทหารเรือกวางตุ้งที่นำขบวนเรือมาไม่คิดว่าจะได้เจอกับอวี๋ต้าโหยวที่นี่ กล่าวกันว่ามังกรอวี๋พยัคฆ์ชี สถานะอวี๋ต้าโหยวยังอยู่เหนือชีจี้กวง นายกองพันเรือผู้นี้ตื่นเต้นอย่างมาก ให้ความเคารพนอบน้อมอย่างที่สุด

จากดาดฟ้าลงสู่ห้องเรือด้านล่าง ก็จะได้เห็นปืนใหญ่แต่ละกระบอก สองด้านมีเชือกเส้นใหญ่รัดไว้กับท่อนไม้ข้างหน้าต่างสองท่อน ก็เพื่อป้องกันปืนใหญ่เด้งถอยหลังหลังจากยิง

“ด้านล่างยังมีอีกสองชั้น ชั้นสองวางปืนใหญ่ ชั้นสามเป็นสินค้า ชั้นสามนอกจากให้ลูกเรือพักแล้ว ก็ยังมีสินค้าและอาหารน้ำดื่ม”

นายพันเรือผู้นี้ไม่น่าจะมีความรู้มากมายถึงขั้นนี้ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะหลายเดือนอยู่บนเรือมาเข้าใจอะไรมาไม่น้อย หวังทงตั้งใจฟังอย่างมาก

จากการวิเคราะห์ของเขา เรือเช่นนี้น่าจะเป็นเรือที่ล้ำนำสมัยที่สุดในยุคสมัยนี้แล้ว ชาวผิวขาวจากยุโรปอาศัยเรือนี้เรือเดินทางข้ามมหาสมุทรและพิชิตประเทศและชนชาติอื่นในแถบนี้

อวี๋ต้าโหยวดูเหมือนจะไม่ฟังการแนะนำของนายพันเรือ ตั้งแต่ลงเรือมาก็เหมือนตกในภวังค์ เดินเข้าไปในห้องเรือชั้นที่หนึ่ง ก็มองจ้องปืนใหญ่พวกนี้ เดินเข้าไปลูบคลำปืนใหญ่

นายกองพันเรือพูดไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเข้าไปประเด็นมาเก๊าตอนไหน กล่าวถึงความสามารถของกองกำลังตนและแม่ทัพตน นายกองพันเรือผู้นี้ก็พูดพร่ำถึงความสามารถไม่หยุดต่อหน้าอวี๋ต้าโหยวที่เลื่อมใสในชื่อเสียงมานาน

“วันก่อน ใต้เท้าเฉินให้เรือพวกเราปลอมเป็นเรือประมงเรือพ่อค้าเข้าไปในมาเก๊า พอถึงวันลงมือ ก็ออกคำสั่งงลงมือ ทำเอาพวกต่างชาติตกใจทำอันใดไม่ถูก……”

“ไม่ว่าจะบนท้องทะเลหรือบนพื้นดิน หากต้องรบกันก็ต้องรบกันอย่างเปิดเผย อาศัยกำลังพิสูจน์แพ้ชนะ หากลากออกไปรบกันที่ท้องทะเล กองทัพเรือกวางตุ้งสู้ไหวไหม?”

กำลังเล่าอย่างดีอกดีใจ ก็ถูกอวี๋ต้าโหยวที่กำลังก้มมองปืนอยู่ขัดขึ้นหนึ่งประโยค นายกองพันเรือผู้นั้นนิ่งอึ้งไป พูดไม่ออก ได้แต่อ้ำอึ้ง ในที่สุดก็ไม่กล้าคุยโวโอ้อวดต่อ

“สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้ ได้แต่ใช้เรือเพลิงเข้าประชิดจุดไฟเผาเท่านั้น แต่อีกฝ่ายมีปืนมากเช่นนั้นยอมให้พวกเจ้าเข้าใกล้ได้หรือ? อีกฝ่ายยังเป็นใบเรืออ่อน ลมทะเลพัดมา ก็แล่นได้เร็วกว่าพวกเจ้าเสียอีก ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะโดดหนีก็คงไม่ทันแล้ว คงได้ถูกถล่มจมไปหมด”

วาจาอธิบายของอวี๋ต้าโหยวเริ่มรุนแรงขึ้น นายกองพันเรือได้แต่ก้มหน้างุดไม่กล้าตอบ อวี๋ต้าโหยวกล่าวทุกประโยคล้วนเป็นการเป็นงาน เฉินหลินเองก็เคยกล่าววาจาลักษณะนี้เช่นกัน

ใบเรืออ่อน ได้ยินอวี๋ต้าโหยวว่า หวังทงจึงเพิ่งคิดได้ว่าตอนขึ้นเรือมามองเห็นเสากระโดงเรือตะวันตกแขวนใบเรือที่ทำจากผ้าใบ เรือใหญ่กวางตุ้งหรือฮกเกี้ยนล้วนใช้เสื่อเป็นใบเรือ เขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตามพื้นฐานความรู้ที่มี พื้นที่ใบเรืออ่อนย่อมใหญ่ เหมือนว่ามีพื้นที่รับลมมากกว่า คาดว่าตอนลมปะทะมาก็คงแล่นได้เร็วกว่ากระมัง

“เรือตะวันตกติดปืนใหญ่ร้ายกายเพียงนี้ ทัพเรือหมิงเราจะรับมือได้อย่างไร ราชสำนักไม่ยอมออกเงินสักแดงเพื่อการทะเล……”

มือของอวี๋ต้าโหยวตบไปที่ลำปืน น้ำเสียงแหบพร่าสั่นเครือ สุดท้ายก็อดไม่ได้บ่นพึมพำไม่หยุดว่า

“ทำอย่างไร ทำอย่างไร……”

อวี๋ต้าโหยวอายุ 16 ในรัชสมัยหงจื้อ ตอนนี้ 75 แล้ว อายุมากแล้ว สุขภาพและกำลังวังชารับการกระทบกระเทือนไม่ไหวแล้ว บ่นพึมพำไปสองสามคำ ร่างก็ทรุดลง ยังดีที่นายกองพันกับหวังทงอยู่ข้างๆ พวกเขาเคลื่อนไหวฉับไว รีบเข้าประคองเอาไว้

หวังทงรีบตะโกนเรียกทหาร ทุกคนไปหาแผ่นไม้บนเรือมาแบกชายชราลงจากเรือไปอย่างระมัดระวัง พอเกิดเรื่องนี้ หวังทงก็ไม่มีกระจิตกระใจจะดูต่อ รีบตามลงจากเรือไปด้วย

พอลงจากเรือมา ชายชราเอาแต่พึมพำเบาๆ ว่า ‘ทำอย่างไร’ ไม่หยุด น้ำตาไหลอาบแก้ม หวังทงรู้สึกงง ได้แต่ตามลงจากเรือมาด้วย กวักมือเรียกรถม้ามาพาไปหาหมอใกล้ๆ ก่อน

หวังทงยืนอยู่บนชายฝั่งดูรถม้าลับตาไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอะไรขึ้นมาได้ รีบหันไปมอง ก็เห็นเรือของโปรตุเกส เรือลำนี้ใหญ่กว่าเรือกวางตุ้งอีก ปากกระบอกปืนใหญ่ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าอานุภาพแรงกว่า เป็นอาวุธบนท้องทะเลที่ล้ำหน้าที่สุดในยุคสมัยนี้

กำลังคิดอยู่นั้น หวังทงก็ได้สติรู้ขึ้นมาในทันใด เรือนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความล้ำหน้า และไม่ใช่เรือราชสำนักหมิง นี่เป็นเรือต่างชาติ ย่อมเป็นภัยต่อแผ่นดินหมิงได้ทุกเมื่อ อวี๋ต้าโหยวที่ออกรบทางทะเลมาทั้งชีวิตเพื่อแผ่นดินหมิง ได้เห็นอาวุธร้ายกาจเช่นนี้ ก็ย่อมรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา

ในตอนต้นรัชสมัยเจียจิ้ง ขุนนางและประชาชนริมทะเลก็เริ่มเห็นเรือการค้าติดอาวุธของตะวันตก แต่ไม่เคยมีผู้ใดคิดจะไปเรียนรู้ มาจนกระทั่งถึงสงครามฝิ่น ประตูของประเทศถูกกระชากออกด้วย แม้ไม่ได้อยู่ในยุคนั้นก็รู้สึกอัปยศเช่นกัน

อยู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์ตอนที่เคยเรียนตอนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างน่าแปลก ปลายราชวงศ์ชิง หูหลินอี้ได้เห็นเรือปืนไฟตะวันตกแล่นทวนน้ำเข้ามา ก็กระอักเลือดร่วงจากหลังม้า ปฏิกิริยาน่าจะเหมือนกับอวี๋ต้าโหยวเมื่อครู่อยู่บ้าง

“เจ้านั่นรีบสวมเสื้อผ้าเร็ว ตัวเปลือยๆ เต้นเร่าๆ งามนักหรือ!!”

อารมณ์ของหวังทงถูกเสียงตะโกนระยะไกลขัดจังหวะ เขามองไปทางเสียงตะโกนออกคำสั่งพวกต่างชาติที่ดังขึ้นหันไปมองเรือใหญ่ที่มีทหารหมิงคุมอยู่ สีหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้ม

“ข้ามาแล้ว ทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม”

วาจานี้เขาพึมพำกับตนเอง มิมีผู้ใดได้ยิน

***************

บามองด์เป็นคนจริง แต่เดิมหวังทงเตรียมจัดให้อยู่ในจวนให้นางหม่าดูแล และจัดหาคนรับใช้ให้คนหนึ่ง ให้อาจารย์ของตนได้มีชีวิตที่สุขสบายสักระยะหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าอยู่ในจวนจะกินก็มีจะใส่ก็มีมาถึงตรงหน้าได้ไม่กี่วัน วันที่สามบามองด์ก็เริ่มโวยวายว่าจะออกไปข้างนอก พอถามสาเหตุ ก็บอกว่าทุกวันทำงานยุ่งจนชิน สุขสบายเช่นนี้รู้สึกไม่ชิน ซ้ายขวามีเนื้อกินมีสุราดื่มมีที่อยู่สุขสบาย อย่างไรก็จะทำงานตีเหล็ก

“ตอนนี้เจ้ามีเงิน มีตำแหน่ง เปิดโรงตีเหล็กที่นี่ได้กระมัง ข้าอยากจ้างผู้ช่วยอีกสองสามคน ใช้ชีวิตแบบเจ้าของโรงตีเหล็กสบายๆ เสียหน่อย”

คำขอของบามองด์ง่ายมาก หวังทงจึงได้แต่ยิ้มรับปาก แต่ที่อยู่อย่างไรก็ต้องอยู่ในจวน อาหารการกินอย่างไรก็ไม่มีสาวใช้ ก็ให้สั่งมากินด้วยกัน

“ท่านอาจารย์ ตอนที่ท่านจากบ้านมา มาที่แผ่นดินหมิงนี้มาทำอะไรกัน!”

ใกล้เดือนสิบเอ็ดแล้ว โต๊ะอาหารเริ่มมีพวกหม้อไฟเดือดปุดๆ แล้ว บามองด์ยิ้มไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย หวังทงกินไปสองคำก็ถามขึ้น

“เมื่อก่อนไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า ตอนนั้นพลั้งมือฆ่าสุนัขล่าสัตว์ของเจ้านายผู้หนึ่งตาย กลัวโดนลงโทษ ดังนั้นจึงได้เป็นลูกเรือมายังตะวันออกนี่ มาถึงมาเก๊า หัวหน้าเรือตาย ข้าก็เลยอยู่ต่อ”

หวังทงหยิบกาสุรารินให้บามองด์ แน่นอนเขายังจำได้ ที่ถามนี่ก็เพื่อนำไปสู่ประเด็นเท่านั้น หวังทงยิ้มถามต่อว่า

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ลูกเรือคนอื่นบนเรือลำนั้นล่ะ? ทหารพวกนั้นล่ะ?”

บามองด์คีบเนื้อแพะชิ้นหนึ่งจิ้มน้ำจิ้มก่อนจะส่งเข้าปากอย่างมีความสุข ที่มาเก๊าอากาศร้อนอย่างนั้น อาหารชาวฮั่นย่อมไม่มีพวกหม้อไฟเช่นนี้ บามองด์พอได้กินก็ติดใจ ตอนนี้ทุกมื้อต้องมี ได้ยินหวังทงถาม ก็เคี้ยวไปตอบไปอย่างฟังไม่ชัดนักว่า

“จะอะไรได้อีก เหตุใดต่างบอกว่าแผ่นดินตะวันออกล้วนเป็นทองคำเพชรนิลจินดา พอมาถึงก็จะรวยระเบิด หลายคนก็มากัน มาถึงแล้วไม่เห็นทองคำเพชรนิลจินดาอันใด แต่เงินค่าแรงที่หาได้จากการเป็นช่างตีเหล็กที่มาเก๊าได้มากกว่าที่บ้านเกิดสี่ห้าเท่า หลายปีผ่านไปก็พอเก็บเงินได้ พวกลูกเรือกับทหารเหมือนกันหมด หาเงินได้ดีกว่าที่บ้านเกิดมาก……”

หวังทงรินสุราให้ตนเอง ดื่มลงไปอย่างอารมณ์ผ่อนคลาย ยิ้มกล่าวว่า

“มาหาเงิน เช่นนั้นก็คุยกันง่าย!”

****************

ช่างชาวโปรตุเกสและทหารที่มาเทียนจินตอนนี้ยังรู้สึกไม่สบายใจ หากความกลัวแต่เดิมตอนขึ้นเรือมาถึงตอนนี้ก็เริ่มชิน

เดินทางรอนแรมมานานหลายเดือน ทหารหมิงแม้ว่าจะเข้มงวดแต่ก็ไม่ได้ทำอันตราย มาถึงเทียนจินได้พบกับการอาบน้ำฆ่าเชื้อโรคอันดับแรก ก็ปกติดี หากว่าจะฆ่าหรือทรมานก็คงลงมือไปนานแล้ว ตอนนี้นำไปกักตัวไปก่อน อยากรู้แค่ว่าลงทุนลงแรงเพียงนี้เพื่ออันใด

ที่มาเก๊าไม่ว่าขุนนาง ทหาร นักบวชหรือพ่อค้าก็ไม่ได้แตะต้อง กลับเป็นช่างกับพลทหารเท่านั้น คนพวกนี้มีประโยชน์อันใด

กักกันไว้ห้าวัน ยังแจกจ่ายชุดยาวผ้าฝ้าย และยังมีคนมอบเสื้อหนาวตัวหนาให้อีก การปฏิบัติเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้วางใจลงไม่น้อย บางทีก็มีล้อเล่น บางทีก็มีคนขึ้นไปที่สูงๆ มองไปที่ไกลๆ ทางตะวันตกเหมือนว่าเป็นเมืองใหญ่ที่รุ่งเรืองหาใดเทียม

หลังจากผ่านไปสิบวัน ช่างตีเหล็กที่ถูกพาตัวไปวันก่อนก็มา แต่งตัวเหมือนคหบดีแห่งราชวงศ์หมิง ในใจทุกคนก็เริ่มคิดว่าช่างตีเหล็กผู้นี้ได้พบกันคนใหญ่คนโตแผ่นดินหมิงหรือไร จึงได้อู้ฟู่เพียงนี้

ช่างตีเหล็กผู้นั้นไม่ได้เข้ามาในบริเวณกักกัน แต่อยู่นอกรั้วถือปืนคาบศิลากระบอกหนึ่ง ถามว่าใครตีเป็นหรือซ่อมเป็น

หากจำไม่ผิด ปืนคาบศิลากระบอกนี้ก็คืออาวุธของทหารที่ถูกกักตัวไว้ ตอนทุกคนถูกกักตัวเข้ามาที่นี่ ทหารผู้นั้นยังชี้พูดอยู่

นายช่างทำอาวุธสองคนตัวสั่นเทาบอกว่าพวกเขาซ่อมและตีเป็น จากนั้นก็ถูกนำตัวออกมา ไม่รู้ว่าไปที่ใด สามวันไม่ได้ข่าวคราว ทุกคนก็เริ่มคิดไปในทางไม่ดีนัก นายช่างทำอาวุธสองคนประคองหีบเล็กๆ เข้ามาสองใบ

ทุกคนกำลังใจเต้นและสับสนว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ช่างทั้งสองมีสีหน้าราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ทหารหมิงที่นำพวกเขากลับมาจากไปแล้ว ทุกคนก็ล้อมวงเข้ามา

“เกิดอันใดขึ้นกัน เกิดอันใดขึ้นกันแน่?”

ทุกคนถามช่างทั้งสองคนที่ยังตัวสั่นเทาพูดไม่ออก ได้แต่วางหีบลง จากนั้นเปิดออก ทุกคนมองของในหีบ จากนั้นก็พากันนิ่งอึ้งไปทันที

ในหีบส่องประกายวาววับ เต็มไปด้วยเงินก้อน……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version