ตอนที่ 450 ตัดเส้นทางเงินทองถือเป็นความแค้นยิ่งใหญ่
พ่อบ้านใหญ่นำคนส่งข่าวออกไป ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างชายอาวุโสในชุดหรูหราผู้นั้นยกมือขึ้นโบกรอบๆ รอจนสาวใช้และคนงานถอยห่างออกไป ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านพ่อ ตระกูลหลินครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกเราไม่สู้ถือโอกาสนี้ตัดสัมพันธ์ทิ้ง พวกเขาทั้งตระกูลเหมือนคนบ้า เชื่อถือไม่ได้จริงๆ”
ชายอาวุโสผู้นั้นขมวดคิ้ว เอ่ยว่า
“แหล่งที่มาเงินทองตระกูลเราเจ็ดส่วนก็มาจากเขตปกครองเหนือ และยังต้องอาศัยตระกูลหลิน จะตัดได้อย่างไร ตัดไปแล้ว พวกเราคนเยอะขนาดนี้ จะเอาอะไรกินอะไรใช้กัน!?”
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ใช่ว่าไม่รู้ น้องเล็กฝึกทหารอยู่ทางนั้น ใช้เงินไปราวกับสายน้ำ ในราชสำนักแต่ละคนก็ปากกว้างกระเพาะโต ก็ต้องเบิกทาง หากไม่มีบรรณาการจากตอนเหนือและเขตปกครองเหนือพวกนั้นมา จะจ่ายไหวได้อย่างไร”
ชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งแทรกขึ้น ชายคนแรกที่พูดถอนหายใจพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านพ่อ น้องรอง ยังจำเมื่อ 20-30 ปีก่อนตอนพวกเราอยู่ต้าถงกันได้ไหม กินอยู่เทียบกับตอนนี้ก็ราวฟ้ากับดิน แต่ก็มีชีวิตสุขสบายกว่าตอนนี้มาก ข้างนอกเรามีโรงบ้านหลายแห่ง และหากน้องเล็กไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก พวกเรากินค่าเช่าที่นา ทำการค้าเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่ว่าดีเหมือนกันหรอกหรือ รอให้เสี่ยวจิ้งแต่งให้กับอ๋องลู่ ทุกคนก็ย่อมมีเกียรติยศเงินทองมากมายเป็นแน่ ไยต้องคิดถึงสิ่งบนฟ้าที่จับต้องไม่ได้ด้วย!”
วาจาเพิ่งกล่าวจบ อีกทางก็ตบโต๊ะเสียงดัง ชายชราอาวุโสตวาดด้วยความโมโหว่า
“เจ้าบัดซบ บรรณาการหลายแสนทุกปีจากทางเหนือ พวกเจ้าบอกว่าไม่เอาก็ไม่เอางั้นหรือ แต่งให้กับอ๋องลู่ เกียรติยศเงินทองมากมายแน่นอนอะไรกัน แค่อ๋องกระจอก ตอนนี้ยังเอาแต่ดึงดันอยู่ในวังต่อ หากออกนอกวังไปครองพื้นที่บรรดาศักดิ์แล้วเมื่อใด ผู้ใดยังจะจดจำเขาได้ ถึงตอนนั้นก็คงหมดแค่ยุคข้าหย่งเซิ่งป๋อ พวกเจ้าสามคนไม่ได้เกียรติยศอะไรไปด้วยเลยแม้แต่น้อย”
ท่านผู้นี้ย่อมเป็นอวี๋หยวนกัง บรรดาศักดิ์หย่งเซิ่งป๋อ กล่าววาจารุนแรงด้วยเพราะชายชราเป็นขุนพลมาจากต้าถง ยามโมโหขึ้นมาก็สำแดงฤทธิ์เดชบารมีพวยพุ่ง ชายวัยกลางคนที่ถูกสั่งสอนรีบก้มหน้าลงบ่นพึมพัมว่า
“ไม่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์นี่ก็มีชีวิตมาได้ตั้งหลายปี ตระกูลหลินเราก็เหมือนกับงู คนอื่นเห็นแล้วก็ไม่ได้เกรงกลัวอันใด ผีเท่านั้นที่รู้ ถึงตอนนั้นพวกเราทุกคนคง……”
พูดได้เพียงครึ่งเดียว อวี๋หยวนกังก็ก้าวเท้าเข้ามาตวัดมือขึ้นตบบ้องหูไปทีหนึ่ง ตวาดด่าดังว่า
“เจ้าลูกเนรคุณ!! ทำการค้ากับทางเหนือใหญ่โตเช่นนั้น เจ้าคิดว่าไม่มีบรรดาศักดิ์นี้ ไม่มีคนเมืองหลวงพวกนั้นดูแล เจ้าจะยังสุขสบายราบรื่นเช่นนี้ได้หรือ ถึงตอนนั้นเกรงว่าเจ้าคิดเสียใจคงสายไปแล้ว คนอื่นแย่งการค้าเจ้าไป ยังจ้องทรัพย์สมบัติเจ้าตาเป็นมันอีก อ๋องลู่ไปครองพื้นที่เมื่อใด ตำแหน่งพวกนี้ล้วนราวกับสุนัขผายลม มิเช่นนั้นพวกเราทุกปีจะจ่ายให้ขุนนางซานซี แม่ทัพต้าถงและขุนนางหลายระดับมากมายเช่นนั้นทำไมกัน……ข้าเสี่ยงชีวิตมา กลับถูกเดรัจฉานเช่นพวกเจ้าพร่ำบ่น เจ้าคิดว่ามีบุตรสาวแต่งกับอ๋องลู่ได้ก็เก่งกล้าไม่ไว้หน้าใครได้แล้วงั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นรีบก้มหน้าลง หุบปากเงียบ ชายวัยกลางคนอีกคนเห็นแล้วก็หดตัวถอยหลังไปสองก้าวกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คนเมืองหลวงพวกนั้นเรียกร้องเงินทองจากพวกเรา ใช้คนของพวกเรา ยังก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่ตอนเหนือนี่อีก วันหน้าอาจมีสักวัน พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่……”
วาจาลังเล อวี๋หยวนกังแค่นหัวเราะกล่าวว่า
“ถึงตอนนั้น เรื่องนี้ไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่า อู่ชิงโหว (บิดาไทเฮาฉือเซิ่ง) ทางนั้นตอนนี้มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน……วันนี้ส่งคนไปเทียนจินจับตาดูให้ดี ดูว่าผงฟูมาจากที่อื่น หรือว่ามาจากตอนเหนือ มีข่าวเมื่อใดให้รีบมารายงาน!!”
************
วันที่ 11 เดือนสี่ ตระกูลหม่าเมืองเซวียนฝู่ส่งคนมาสองสามคน ท่าทางเป็นผู้ใหญ่เช่นหม่าอวิ๋น หม่าฮุ่ยซานที่มาใหม่เป็นคนเปิดเผย อายุราว 35-36 ว่ากันว่าเป็นทหารคนสนิทของหม่าฟาง เพราะว่าเป็นคนคล่องแคล่ว ดังนั้นจึงได้ทำหน้าที่ดูแลจัดการอีกหน้าที่หนึ่ง
ครั้งนี้เขามากับผู้ติดตามก่อน พอมาถึงก็ไปพบที่ร้านสามธาราบอกว่าอีกหกวัน จะมีรถขนผงฟู 30 คันมาถึงเทียนจิน
รถใหญ่จากเมืองเซวียนฝู่กับรถใหญ่ของกองกำลังหู่เวยไม่เหมือนกัน ของกองกำลังหู่เวยเป็นรถม้าสี่ตัวลากได้ถึง 1,500 ชั่งขึ้นไป แต่ของเมืองเซวียนฝู่ได้อย่างมากก็แค่ 600 ชั่ง หาก 20 คันรถรวมแล้วก็หมื่นกว่าชั่งได้
ร้านสามธาราในเมืองเซวียนฝู่สร้างเสร็จและเปิดกิจการแล้ว ไม่ได้ใช้จ่ายเงินอันใดแม้แต่น้อย ร้านค้าล้วนเป็นตระกูลหม่าและตระกูลลี่ช่วยกันออก ร้านสามธาราแค่ส่งคนมาเท่านั้นก็พอ
ในเมื่อทางนั้นอำนวยความสะดวกให้เช่นนี้ หม่าฟางส่งคนมา อย่างไรหวังทงก็ต้องให้พบ หม่าฮุ่ยซานได้พบทักทายตามมารยามแล้วก็บอกถึงผงฟู 20 คันรถกำลังเดินทางมา ใกล้จะถึงแล้ว
หวังทงหันหน้าไปมองจางฉุนเต๋อที่ให้มาร่วมพบปะด้วย พบกับคนต่างกัน จุดหมายต่างกัน คนที่มาร่วมพบด้วยก็ย่อมต่างกัน ล้วนหมายถึงการให้ร่วมหารือ
เห็นหวังทงมองมา จางฉุนเต๋อก็คำนับกล่าวว่า
“รถ 20 คันก็น่าจะราวหมื่นชั่งกว่า หากจะขายให้หมดเกรงว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ขายไม่ยาก”
ได้ยินดังนี้ หวังทงพยักหน้าเอ่ยว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตามราคาที่ชั่งละ 430 อีแปะ ไปเบิกเงินสดที่ต้าไห่ ให้พี่หม่าท่านนี้นำกลับไปก็แล้วกัน”
จางฉุนเต๋อขมวดคิ้วหากก็รับคำสั่ง ในใจรู้สึกไม่ค่อยพอใจเมืองเซวียนฝู่ รถสองคันก่อนหน้าก็เพราะมีคนฝากฝังมาขาย นี่ยังส่งมาอีกหลายคันรถ แม้ว่าผงฟูจะเป็นของจำเป็น อย่างไรก็ขายง่าย แต่การแบ่งไปตามร้านสาขาต่างๆ ก็ต้องมีคนงานมาจัดการ นับว่าเป็นแรงงาน ตระกูลหม่าก็ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียเลย
สินค้ายังขายไม่หมด หวังทงก็คิดบัญชีจ่ายเงินให้ไป หลายพันตำลึงสำหรับตระกูลหม่าก็ไม่เท่าไร หม่าฮุ่ยซานย่อมรู้สถานะหวังทง รู้ว่าหลายพันตำลึงสำหรับอีกฝ่ายแล้วก็ไม่เท่าไร แต่การจ่ายง่ายดายเช่นนี้ก็มิใช่ธรรมดานัก
หม่าฮุ่ยซานคุกเข่าลงขอบคุณ รอหวังทงให้ลุกขึ้นจึงยืนขึ้นเอ่ยว่า
“กล่าวกับใต้เท้าหวังตามตรง ผงฟูพวกนี้หาง่าย หากสามารถขายได้ที่เทียนจิน ทุกเดือนส่งมา 100 คันรถก็ยังไม่ยาก”
ได้ยินว่า 100 คันรถ จางฉุนเต๋อก็เงียบกริบ เขาจัดตัวเองให้อยู่ในสถานะพ่อบ้านของหวังทงไปแล้ว ในใจคิดว่าตระกูลหม่าเอาเปรียบเช่นนี้ราวกับได้คืบเอาศอก ร้อยคันรถเป็นเท่าไร ทุกเดือนหลายหมื่นตำลึง ร้านสามธาราควรต้องรอบคอบบ้าง พวกเขาช่างไม่รอบคอบเอาเสียเลย
สีหน้าหวังทงยังคงนิ่ง แต่ลองคำนวณแล้ว ตนเองทางนี้แค่เสียเวลาไม่มาก หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับเมืองเซวียนฝู่ได้ น้ำใจนี้ก็นับว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย อีกฝ่ายไม่รู้งาน ก็แล้วแต่พวกเขาแล้วกัน กำลังจะกล่าว หม่าฮุ่ยซานก็กล่าวต่อว่า
“นายท่านและนายน้อยเราสั่งมาว่า หากมีเรื่องใดก็อย่าได้ปิดบังใต้เท้า ผงฟูเมืองเซวียนฝู่หนึ่งคันรถ คันละ 650 ชั่ง หนึ่งชั่ง 10 อีแปะ แพงมากสุดไม่เกิน 20 อีแปะ”
กล่าวถึงตรงนี้ จางฉุนเต๋อข้างๆ ก็อดแค่นเสียงฮึไม่ได้ เทียนจินขายชั่งละ 430 อีแปะ กำไรหนึ่งชั่งมากมายถึงเพียงนี้ หวังทงเองก็ตกใจ กำไรมหาศาลเพียงนี้ หม่าฮุ่ยซานเห็นสีหน้าทุกคนแล้วก็รู้สึกได้ใจอย่างมาก กล่าวว่า
“ต้นทุนผงฟูจริงๆ อยู่ที่รถขนและคนงาน หนึ่งชั่งก็แค่ 10 อีแปะกว่า กำไรไม่น้อยจริงๆ นายท่านเรากล่าวว่า ทางเทียนจินหากไม่มีใต้เท้าคอยดูแล อันใดก็ทำไม่ได้ ทุกคนร่ำรวย คิดจะขอให้ใต้เท้าหวังเปิดร้านขายผงฟูให้โดยเฉพาะ ร่วมทุนกันทำการค้านี้”
ได้ยินเช่นนี้ จางฉุนเต๋อสีหน้าไม่พอใจก็มลายหายไป คิดดูคร่าวๆ สีหน้าก็ลิงโลดดีใจ นี่มันกำไรก้อนโต หวังทงพยักหน้ายิ้ม เมืองเซวียนฝู่เปิดร้านสามธารา ที่เทียนจินก็เปิดร้านค้า แม้ว่าตนเองก็ได้ประโยชน์ แต่ตระกูลหม่าก็มิได้กำไรน้อยลงแม้แต่น้อย
เมืองเหลียวโจว เมืองเซวียนฝู่ ขุนพลสองเมืองนี้เชี่ยวชาญหลักการค้ามากกว่าตนอีก ไม้ใหญ่นอกด่าน ผงฟูเมืองเซวียนฝู่ แต่ละอย่างล้วนเป็นแหล่งเงินทองที่คิดไม่ถึง ความรู้และประสบการณ์ที่มาแต่โลกก่อนนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใด ช่างน่าขันเสียจริง
หวังทงคิดอยู่นาน ก็คิดไม่ออกว่าที่จางเจียโข่วมีที่ไหนที่จะผลิตผงฟูได้ ในใจก็รู้สึกอยากรู้ จึงเอ่ยถามว่า
“ผงฟูพวกนี้เมืองเซวียนฝู่ผลิตเองหรือ?”
ได้ยินหวังทงถาม หม่าฮุ่ยซานเกือบหลุดหัวเราะออกมา หากเกรงว่าจะเสียมารยาท จึงได้แต่รีบก้มหน้าลงกระแอมไอแคกๆ ยั้งเอาไว้ เงยหน้าขึ้นตอบว่า
“เรียนใต้เท้า เมืองเซวียนฝู่ดินดีน้ำดี จะผลิตผงฟูได้อย่างไร ผงฟูพวกนี้มาจากพวกมองโกลนอกด่าน”
ได้ยินสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หวังทงก็งงส่ายหน้า หม่าฮุ่ยซานสังเกตสีหน้าแล้วก็เล่าต่อ ไม่รอให้หวังทงถามอีก เขาเอ่ยเล่าต่อว่า
“บนทุ่งหญ้ามีแอ่งน้ำมาก พวกเขาทางนั้นเรียกว่าแอ่งทะเล แอ่งทะเลมาก น้ำมาก แต่ที่คนและม้ากินได้มีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นน้ำที่มีแร่ผงฟู ทะเลสาบแร่ผงฟู แอ่งทะเลผงฟูพวกนี้รวมกันแล้วก็มีผงฟูหนาหลายชั้น ตักขึ้นมาก็แค่นั้น ของเล่นพวกนี้บนทุ่งหญ้าไม่มีราคาแม้แต่แดงเดียว พวกเขาไม่ใช้กัน พ่อค้าจากซานซีเห็นแล้ว ก็ใช้ของไม่มีราคาแลกมา ใช้รถม้ารถเทียมวัวขนมาที่แผ่นดินหมิง ขายได้เมื่อใดก็ร่ำรวยใหญ่”
หวังทงฟังอย่างตั้งใจ ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ หม่าฮุ่ยซานยิ้มกล่าวว่า
“นายท่านเราประจำที่เมืองเซวียนฝู่มานานปี เผ่าเล็กเผ่าน้อยบนทุ่งหญ้าล้วนยำเกรงบารมีนายท่าน พวกที่ซานซีก็ช่างค้ากำไรเกินควร ดังนั้นจึงคิดจะหาเส้นทางที่เมืองเซวียนฝู่ แต่เมืองเซวียนฝู่ขายไปยังเมืองในเขตปกครองเหนือ ขายปลีกยากลำบาก และก็ไม่ได้กำไรเท่าไร เทียนจินมีพ่อค้ามารวมตัวกันมาก ขายได้ทีละมากๆ ……”
“หม่าฮุ่ยซาน เจ้าอยู่จวนแม่ทัพหม่าเป็นแค่พ่อบ้านงั้นหรือ?”
รู้ธรรมเนียมเช่นนี้ กล่าวได้มีหลักการเช่นนี้ ไม่เหมือนพ่อบ้านธรรมดา หม่าฮุ่ยซานก้มตัวลงยิ้มกล่าวว่า
“เงินทองเข้าออกในจวนเราล้วนเป็นข้าน้อยดูแล”
เป็นเช่นนี้จริง……
****************
ในจวนหย่งเซิ่งป๋อ บนโต๊ะยาวปูผ้าขาว บนนั้นเทผงฟูไว้ หลายคนรุมล้อมรอบโต๊ะ ล้วนมีสายตาเคร่งเครียด มีคนกำขึ้นมาดูและดมตลอดเวลา
“สีแบบนี้ กลิ่นบริสุทธิ์สะอาดแบบนี้ ไม่มีกลิ่นคาวดินแม้แต่น้อย นอกจากตอนเหนือแล้ว ที่อื่นไม่มีผงฟูเช่นนี้”