ตอนที่ 498 พบสหายเก่า ก่อตั้งโรงเงิน
“ใต้เท้าสวีกว่างกั๋ว อดีตผู้ว่าเมืองชางโจวหรือ?”
แม้ว่ากำลังยุ่งกับงาน แต่พอได้ยินชื่อนี้หวังทงก็นิ่งอึ้งไป สวีกว่างกั๋ว อดีตผู้ว่าเมืองชางโจวไม่ใช่ว่าก่อนหน้าเตรียมจะเปิดด่านแย่งภาษีกับตนผู้นั้นหรือ?
ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอดีตผู้ว่าเมืองชางโจวอีก ตอนนั้นที่ถูกหวังทงขวางไว้ สวีกว่างกั๋วถูกถอดถอนจากตำแหน่งไป หากไม่ใช่เพราะสายสัมพันธ์กับสวีชิงซานแห่งกรมอากรแล้ว เกรงว่าตอนนี้คงได้อยู่ในคุกไปแล้ว
ภาพในห้วงความคิดหวังทง คนผู้นี้ก็แค่พวกอ่อนแอ คิดจะหาช่องว่างแทรกตัวเข้ามาเท่านั้น ไม่เคยเอามาใส่ใจ สายที่วางไว้เมืองชางโจวก็มีรายงานมาว่า สวีกว่างกั๋วถูกปลดแล้วก็รีบออกจากเมืองชางโจวไป ไม่รู้ว่าไปที่ใด
ไม่ว่าผู้ใดก็คงคิดไม่ถึงว่าสวีกว่างกั๋วจะมาขอพบถึงที่ด้วยตนเองในวันนี้ วันนั้นคิดตั้งด่าน หวังทงส่งทหารกล้าไปก่อกวน สุดท้ายยังส่งพลม้าออกไปด้วย ฉีกหน้าทุกคนในเมืองชางโจวอย่างมาก สวีกว่างกั๋วสมองพิการไปแล้วหรืออย่างไร หรือว่ากินดีหมีมากัน ถึงกับมาขอพบถึงที่นี่ได้
“ติดภารกิจยุ่งอยู่ จะพบเขาทำไม ไม่พบ!”
หวังทงตอบได้ฉาดฉานสั้นกระชับ ทหารคำนับออกไป งานในกองกำลังมากมาย คนบางคนอาจไม่ต้องให้พบได้ แต่บางคนก็ต้องพบ
เช่นหากเป็นพวกหยางซือเป่าที่มาจากเมืองหลวง ลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงเหล่านี้สำหรับหวังทงแล้วยังเป็นพวกที่ฝึกมาด้วยกันจากลานฝึกหู่เวย ประเด็นสำคัญคือพวกเขามีเงินหลายแสนตำลึงจะลงทุนที่เทียนจิน หากทำได้ดี วันหน้าย่อมยิ่งดี เงินทองในมือชนชั้นสูงในเมืองหลวงมีไม่น้อย หากนำเงินก้อนนี้มาเทียนจินได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องดีสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“ไปตามหม่าซานเปียวไปที่โรงม้า ข้าจะออกเดินทางไปตอนนี้”
หวังทงสั่งการ ลุกออกจากห้องไป เซียงเฉิงป๋อแห่งตระกูลเฉินกับบรรดาพวกชนชั้นสูงและพ่อค้าระดับสูงหลายตระกูลร่วมกันลงทุนที่เทียนจินสามแสนกว่าตำลึง ร้านประกันภัยกับร้านสามธาราก็ยังร่วมทุนไว้ด้วย รวมแล้วเกือบล้านตำลึง ใช้เพื่อให้กู้หมุนเวียนและรับรอง
เงินก้อนนี้ในตอนนี้ย่อมกำไรก้อนโตตามที่คาดไว้ กองคาราวานเรือจากเทียนจินไปเหลียวโจว ยังมีพวกไปเซวียนฝู่และทุ่งหญ้าทำการค้าอีก การค้าสองแหล่งนี้ก็กำไรมั่นคงไม่ขาดทุนแล้ว แต่พ่อค้าหลายคนต้องการใช้เงินทองมากเกินไป ตนเองหาไว้ไม่พอ จึงต้องมาขอกู้ไปก่อน รอให้สภาพคล่องคืนมาจึงค่อยจ่ายคืน
การจัดการเช่นนี้ กำไรก็ย่อมส่งไปเมืองหลวง ก็คุ้มกันไปแบบก้อนเงินจินฮวา ปลอดภัยอยู่ แต่หลังจากบัญชีส่งไปเมืองหลวง ไม่นานก็มีจดหมายมา บอกว่าไม่ต้องให้หวังทงส่งไปแล้ว พวกเขาส่งคนมารับเอง ยังไว้จัดการอย่างอื่นอีก พวกเขาจะดำเนินการเอง
หวังทงเองก็พอเดาออก พวกอยู่เมืองหลวงมานานเริ่มเบื่อหน่าย อยากมาเทียนจินเที่ยวเล่น เดิมเมืองหลวงเคยเป็นแห่งเดียวที่เจริญที่สุดในตอนเหนือ หากตอนนี้เทียนจินเริ่มสร้างเมืองขึ้น เป็นที่เจริญอันดับต้นๆ เช่นกัน ความแปลกใหม่เจริญรุ่งเรืองไม่มีที่ใดเทียมทัน พวกลูกหลานคนมีเงินในเมืองหลวงย่อมอยากมาเยี่ยมชม
วันก่อนพวกเฉินซือเป่ามากัน หวังทงเพิ่งได้รับราชโองการ การงานติดพัน ไม่อาจทิ้งไป จึงให้คนมาบอกว่าขออภัย บอกว่าสองวันนี้กำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับ
พวกเฉินซือเป่ารู้สึกสนุกสนาน หลายวันนี้ไปมาหลายแห่ง สนุกสนานกันอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าอย่างไรจึงได้ไปเห็นโรงม้าที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกองกำลังหู่เวย
คนพวกนี้ต่างจากพวกคุณชายที่หลงใหลในสุรานารีพวกนั้น เฉินซือเป่าและถังซื่อไห่ค่อนข้างชอบฝึกยุทธ์ ย่อมชื่นชอบอาชาและอาวุธเกราะ
ตอนออกซ้อมรบที่เซวียนฝู่ หวังทงกลับมาก็นำม้ากลับมาหลายพัน สุดท้ายเหลือไว้ที่เทียนจินห้าร้อย ล้วนเป็นม้าชั้นดี พอกลับมาถึงเทียนจิน ก็จัดโรงม้าเลี้ยงเฉพาะ หนึ่งปีมานี้เลี้ยงดูอย่างดี ก็ยิ่งดูดีมากขึ้น แต่ละตัวเรียกได้ว่าม้าชั้นเลิศ
พวกเฉินซือเป่าเห็นแล้วก็ชอบ ส่งคนมาขอ ให้พวกเขาย่อมได้ หวังทงรับปากแล้ว คนพวกนี้ไม่รู้ว่าอย่างไร อยากให้หวังทงไปด้วยตนเอง ไปจัดงานหารือการค้ากันที่นั่น
คงเป็นเพราะทุกคนชอบสนุกสนานเฮฮาและแปลกใหม่ จึงมักจะมีงานเลี้ยงกัน จัดที่นั่นก็ไม่ว่ากัน หวังทงหลายวันนี้จัดการการงานในกองกำลังก็รู้สึกตึงเครียดอยู่ จึงได้รับปากไป
***********
จวนหวังทงเปิดประตูกว้าง กองกำลังม้าอารักขาหลายนายวิ่งนำหน้าหวังทงออกมา หวังทงออกมาก็มองไปสองข้าง หันไปบอกกับคนหนึ่งทางขวาของประตู คนผู้นั้นสวมชุดเทา ดูเคราหนวดแล้วก็รู้ว่าหลายวันไม่ได้จัดการเล็มให้ดี เห็นชัดว่ากำลังขวัญหนีดีฝ่อ พอเห็นหวังทงมองมา คนผู้นั้นก็ตะโกนดังว่า
“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยสวีกว่างกั๋วขอพบ!”
ขณะที่พูดก็คุกเข่า ทหารมองมา หวังทงสะบัดแส้ กล่าวว่า
“ไม่ต้องสนใจ พวกเราไป!”
ทหารรับคำพร้อมเพรียง สะบัดแส้ม้า โจนทะยานออกไปพร้อมกัน ทหารเฝ้าประตูมองเหยียดมายังสวีกว่างกั๋วที่คุกเข่าอยู่ ใต้เท้าตนไม่ได้บอกว่าให้ไล่ไป ก็ทำได้แค่ปิดประตูใส่หน้า สวีกว่างกั๋วลังเลครู่หนึ่งก็คุกเข่าต่อ ไม่ขยับไปที่ใด
ออกนอกเมืองเทียนจินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะว่าค่อนข้างใกล้ทะเล พื้นที่บ่อเกลือมาก กอปรกับในสมัยเจียจิ้งที่ห้ามออกทะเล ดังนั้นส่วนใหญ่จึงรกร้าง ตอนนี้เทียนจินรุ่งเรืองขึ้น แต่คนที่มาส่วนใหญ่ก็อาศัยกันอยู่ริมคลองส่งน้ำกับในเมืองเทียนจินทางและทางตะวันตก ทางเหนือไม่มีคนอาศัย
นี่เป็นการเปิดทางสะดวกให้กองกำลังหู่เวย สนามฝึกทหารกับโรงม้าสร้างใหม่ล้วนสร้างกันที่นี่
มาได้ครึ่งทาง หม่าซานเปียวก็นำคนรวมกับขบวนหวังทง ตั้งแต่หวังทงมีคำสั่งมา ทหารแต่ละค่ายก็เตรียมพร้อม พลม้าก็เช่นกัน โรงช่างที่บริเวณสบแม่น้ำก็เตรียมพร้อม กองกำลังม้าหลายวันนี้เตรียมตัวประกอบเครื่องมือให้พร้อมกันอยู่ที่นี่ หวังทงก็รู้เรื่องนี้ หม่าซานเปียวรายงานความคืบหน้า ทั้งสองเดินหน้าต่อไป
ทุกคนในเทียนจิน หากจะบอกว่าผู้ใดชื่นชอบโรงม้าทางนี้ ผู้นั้นก็คือหม่าซานเปียว เขากับพลม้าในสังกัดพักอยู่ที่โรงม้า ทุกวันดูแลม้า ฝึกทหารกันที่นี่
พ่อตาหม่าซานเปียว จางฉุนเต๋อก็พอใจในลูกเขยมาก แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่มักแอบบ่นกับหวังทง ก็คือเรื่องที่หลานสาวถูกหม่าซานเปียวเอาใจมากไป อายุน้อยๆ ก็ขี่ม้าได้แล้ว เหมือนเด็กผู้ชายเสียอย่างนั้น นี่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าชวนหัวในเทียนจินเช่นกัน
พอถึงโรงม้า หวังทงลงจากหลังม้าประโยคแรกก็ยิ้มกล่าวว่า
“พวกเจ้านี่คิดจะเผาโรงม้าข้าทิ้งหรือไง!”
“พี่หวังกล่าวอันใดกัน พี่น้องเราเก็บกวาดหญ้ารอบๆ สะอาดแล้ว ย่อมไม่มีเกิดเรื่องใดแน่!”
เห็นหวังทงลงจากหลังม้า เฉินซือเป่ากับถังซื่อไห่และคนอื่นๆ ก็รีบยิ้มประสานมือเข้ามาคำนับ หากเป็นเมื่อก่อน เฉินซือเป่าตำแหน่งสูงกว่าหวังทงอยู่หนึ่งขั้น ตอนนี้หวังทงเป็นถึงขุนนางระดับที่ปรึกษากองกำลังหู่เวย ยังเป็นผู้ช่วยสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีก หากว่ากันตามระดับแล้ว นับว่ามากกว่าเฉินซือเป่าอยู่หลายขั้น
ทางด้านขวาของโรงม้า พวกเฉินซือเป่ากำลังเก็บกวาดพื้นที่ ก่อสร้างโครงไม้ไว้ พร้อมจุดไฟย่างแพะอยู่ตัวหนึ่ง ผู้ติดตามข้างๆ ก็กำลังสาละวนกันไม่หยุด หยิบเครื่องปรุงทาบนแพะย่าง
ข้างๆ ยังปูพรมไว้ผืนหนึ่ง ด้านบนมีสุราและถ้วยชามจัดเรียงไว้ สภาพเหมือนพวกปิกนิก หลายคนทำความเคารพเสร็จ ก็หัวเราะเฮฮาแล้วก็นั่งลง
“ที่นี่ทุกแห่งล้วนหญ้าขึ้นสูง ทางนั้นก็มีม้าดีทั้งฝูง เห็นแล้วเหมือนกับทุ่งหญ้านอกด่าน พวกเราก็เลยเรียนแบบวิธีการกินของพวกมองโกลกันบ้าง!”
หม่าซานเปียวทักทายเสร็จก็ไปที่โรงม้า เฉินซือเป่านั่งลงแล้วก็ยิ้มพูดขึ้น ถังซื่อไห่ข้างๆ ก็สำทับตามมาว่า
“พวกบนทุ่งหญ้าหากจะก่อไฟก็ต้องเก็บกวาดหญ้ารอบๆ นี่เรียนมาจากครูฝึกอวี๋ที่ลานฝึกหู่เวยเลยนะ”
กล่าวถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็เงียบกริบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถึงอวี๋ต้าโหยวที่จากไป บรรยากาศก็เริ่มหนักหน่วง ถังซื่อไห่มองไปรอบๆ ยิ้มแหะๆ กล่าวว่า
“พูดเรื่องเช่นนี้ เป็นความผิดข้าเอง พวกเจ้า เอาอาหารขึ้นโต๊ะ!!”
แพะย่างทางนั้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงร้องเรียก มีคนหยิบมีดตัดเนื้อแพะเป็นชิ้นยาวๆ วางในจานทำด้วยเงินยกมา ถังซื่อไห่อธิบายก่อนว่า
“ตอนนั้นได้ยินครูฝึกอวี๋จากไป พวกเราพี่น้องก็คิดจะไปคารวะอำลา แต่พี่หวังก็รู้ พี่น้องเราอยู่เมืองหลวงกัน ทำการใดก็ไม่สะดวกนัก”
พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงวางอำนาจ เย่อหยิ่งไร้ขอบเขตนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ต้องรักษาภาพลักษณ์ในวงการขุนนางให้ดี ระวังอย่างที่สุด เรื่องมาเคารพศพก็เช่นกัน แน่นอน พวกชนชั้นสูงที่เข้ามาร่วมฝึกในลานฝึกหู่เวยนั้นมาทีหลัง จริงใจหรือไม่ ก็ไม่อาจบอกได้
สามารถคิดได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว หวังทงไม่คิดจะอยู่กับปัญหานี้นานไปนัก จึงโบกมือ หยิบมีดสั้นตัดเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก พยักหน้ากล่าวว่า
“รสชาติเข้าเนื้อแล้ว ไม่เลว!”
เขากล่าวเรื่องนี้ขึ้นทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงไม่น้อย ถังซื่อไห่ยิ้มตาหยีเปิดกล่องอาหาร ข้างใจมีพวกผลไม้สดหลากหลายและอาหารคาวมากมาย เฉินซือเป่ายิ้มกล่าวว่า
“คิดไม่ถึงว่าพี่หวังทางนี้จะมีม้าดีมากมายเช่นนี้ เมืองหลวงกับเขตปกครองเหนือ ม้าดีเช่นนี้หากมิใช่พวกระดับมียศถาบรรดาศักดิ์ ก็ต้องเป็นพวกขุนพลใหญ่ คิดจะมีสักตัวไม่ง่ายเลย ส่านซีทางนั้นมีอยู่ แต่นำมาก็ยุ่งยากนัก พี่น้องเราหลังจากเข้ารับตำแหน่งเป็นทหารกัน ก็หาม้าดีไม่ได้สักตัว คิดไม่ถึงว่าจะได้มาโดยไม่ต้องเปลืองเวลาเช่นนี้ พี่หวัง ขายให้พี่น้องเราสักสองสามตัวเถอะนะ!”
“ไยต้องกล่าวว่าจะซื้อด้วย อีกสักครู่เข้าไปเลือกกัน เลือกตัวไหนก็ให้พวกเจ้าไปเลยแล้วกัน!”
กล่าวถึงตรงนี้ บรรยากาศก็ยิ่งผ่อนคลาย เฉินซือเป่าหัวเราะดังลั่นปรี่เข้ามาขอบคุณ กล่าวว่า
“เงินที่ลงทุนไปปีเดียวก็ได้กำไรงามมากมายเช่นนี้ ยังนำมาด้วยอีกมาก เช่นนั้นก็ทิ้งไว้ให้งอกเงยต่อที่เทียนจินก็แล้วกัน!!”
“นำมาทั้งหมดเท่าไร!?”
“จาก 15 ตระกูล นับกำไรกับเงินลงทุนปีที่แล้ว ทั้งหมดก็แปดแสนสองหมื่นตำลึงราวนี้”
ได้ยินตัวเลข หวังทงก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเองก็พอคิดไว้ก่อนแล้ว จึงรีบกล่าวว่า
“ทางข้าเองก็จะออกเงินอีกหนึ่งล้าน เงินหนึ่งล้านแปดแสนสองหมื่นนี้เป็นทุน ร้านชื่อว่าโรงเงินสามธาราเป็นไง?”
“เรื่องชื่อนี้พี่หวังจัดการไปได้เลย ทุกคนทิ้งเงินไว้ที่นี่ ให้พี่หวังช่วยเป็นธุระจัดการหากำไรให้ หากไม่อาจช่วยงานอันใดได้ หากพี่หวังมีอันใดในเมืองหลวงให้ช่วยเหลือ ก็เอ่ยมามาได้……”
“ด้วยสายสัมพันธ์พี่หวัง ในเมืองหลวงมีเรื่องอันใด ยังต้องมาเอ่ยกับพวกเราหรือ น่าขันเสียจริง!”
…………-
ปีที่ 5 ในรัชสมัยว่านลี่ก็เริ่มมีร้านแลกเงินแล้ว ก่อนหน้านี้ในหมู่ชาวบ้านเองก็เริ่มมีแนวคิดเรื่องโรงเงินแล้ว แต่ในนิยายนี้เป็นแนวคิดเรื่องธนาคารครั้งแรก