ตอนที่ 50 ความน่าเชื่อถือต้องมาก่อน
พูดไปมากมาย
หวังทงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า
“เพียงแค่เดือนเดียว บ้านเรือนส่วนใหญ่ก็มีคนอาศัยอยู่ ช่วงปีใหม่เช่นนี้จะสามารถเร่งให้เสร็จทันได้หรือ?”
เขาคิดว่าการย้ายบ้านเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ไม่คิดว่าโจวอี้จะโบกมือพร้อมกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า
“ทำไมจะไม่ทัน พรุ่งนี้ออกหนังสือ ส่งเจ้าหน้าที่กับทหารมา พอคนย้ายไปก็รื้อเลย ผู้ใดกล้าที่จะปฏิเสธ”
พูดจบ ก็หันไปโบกมือให้ช่างสามคน ให้พวกเขากลับไปเตรียมตัวให้ดี หวังทงก็เริ่มผ่อนคลายลง รู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถแก้ไขได้อย่างราบรื่น แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนัก รอจนช่างสามคนออกไป อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ไม่เหมาะสมนักว่าอยู่ที่เหตุใด
ที่โจวอี้กล่าวมาไม่ใช่แค่การรื้อบ้าน แต่ดูแล้วนี่น่าเป็นการใช้อำนาจบีบให้ย้ายออก อากาศที่หนาวเหน็บในช่วงใกล้ปีใหม่ การให้ผู้คนย้ายออกจากบ้านเกิดเป็นการสร้างความลำบากให้กับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นการบีบให้ย้ายนี้หากทำขึ้นมาแล้ว ที่ได้รับผลกระทบดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ผู้พักอาศัยเหล่านี้เท่านั้น
นาทีนี้หวังทงอยู่ๆ ก็คิดอะไรได้มากมาย การสร้างสนามฝึกด้วยการรื้อถอนบ้านพักอาศัย และใช้เงินหลวง นี่มันเหมือนกับโครงการที่เคยผ่านมือบางโครงการในโลกปัจจุบันของเขามากเลยทีเดียว
โครงการพวกนี้ กำไรดี แต่ก็อันตรายไม่น้อยเช่นกัน ตอนนั้นแค่วงการค้าธุรกิจ แต่ยุคสมัยนี้กระทบต่อราชวงศ์ ไม่เพียงแค่การค้า แต่ยังถึงปัจจัยการเมืองด้วย
ปัจจัยที่จะกระทบต่อการเมือง ต้องระมัดระวังให้รอบคอบ ไม่อาจเดินผิดแม้เพียงก้าวเดียว เพราะเดินผิดเพียงก้าวเดียวก็อาจมีภัยถึงแก่ชีวิต…
โจวอี้เดิมก็ยังมีคำจะกล่าวกับหวังทง แต่หวังทงอยู่ๆ ก็พลันเงียบลงทำให้เขารู้สึกงุนงง นิสัยโจวอี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉากหน้าดูไม่ออก ได้แต่ยืนขึ้นประสานมือกล่าวอำลา
“พี่โจวโปรดหยุดก่อน!”
หวังทงเอ่ยปากรั้งไว้ แล้วก็นิ่งไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า
“พี่โจว มีคำพูดไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่?”
“ล้วนนับถือกันเป็นพี่น้องแล้ว น้องหวังกล่าวตรงๆ ได้เลย ไยต้องอ้ำๆ อึ้งๆ”
“พี่โจว ตั้งแต่ฮ่องเต้เสด็จมาหอเลิศรส เฝิงกงกง ใต้เท้าจางก็ต่างมาเยือนที่นี่ คนทั่วไปไม่ทราบ แต่คนที่อยู่ในเมืองหลวงและคอยจับตามมองที่นี่ย่อมมีมากมาย”
โจวอี้พยักหน้า เรื่องเหล่านี้คนที่หูตาไวก็ย่อมทราบกัน ที่หวังทงว่ามาก็ไม่เห็นมีอันใด หวังทงทงกล่าวต่อว่า
“คนที่จับตามองที่นี่ บ้างก็อยากให้เราดี บ้างก็อยากให้เราล้ม หากฤดูกาลเช่นนี้ให้ชาวบ้านต้องโยกย้าย เสียงก่นด่าตามท้องถนนก็คงไม่ต้องกล่าวถึง หากมีใครจับผิดได้ กล่าวว่าท่านและข้าเราสองพี่น้องฉกฉวยโอกาสหาเงินหาทอง บรรดาขุนนางในราชสำนักจะต้องยื่นฎีกา ก็จะยุ่งยากเดือดร้อนเป็นแน่ แม้ว่าจะไม่เป็นอะไร แต่บรรดาขันทีที่มาที่นี่ไม่รู้ว่ามากมายเท่าไร ข่าวอาจแพร่เข้าไปในวัง อาจไปถึงไทเฮา ความชื่นชมในตัวข้าน้อยเกรงว่าอาจจะ…”
คำพูดตรงประเด็นจริงแท้ โจวอี้สูดหายใจลึกก่อนจะนั่งลง หวังทงยังมีคำกล่าวที่ยังกล่าวไม่จบ หากถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่โชควาสนาที่สั่งสมมาจะหายไป เกรงว่าอาจมีภัยใหญ่ถึงตัวอีกด้วย
“ก่อนหน้านี้ที่พี่โจวกล่าวว่าทั้งหมดเป็นเงินในท้องพระคลัง น้ำร้อนน้ำชางานก่อสร้างนี้คงสมบูรณ์อย่างมากที่สุด คิดว่าโอกาสของเจ้าหน้าที่ทั้งบนและล่างครั้งนี้ก็ไม่น้อยกระมัง!”
พอกล่าวถึงตรงนี้ แม้โจวอี้ที่สงบนิ่งก็เบิ่งตาจ้องมอง อยากจะบันดาลโทสะ หากคำพูดหวังทงกลับไม่หยุด
“โชคพวกเราดีเกินไป ราบรื่นเกินไปด้วย ยังไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรรอพวกเราพลาด ข้าน้อยขอบังอาจกล่าวสักประโยค เงินก้อนนี้แตะไม่ได้”
“หากไม่รื้อถอน หรือจะให้ฮ่องเต้มาอยู่ที่บ้านเล็กๆ ของเจ้านี่ ไม่เป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ?”
“พี่โจว อากาศหนาวและยังฉลองปีใหม่กัน เงินต้องจ่ายให้เพียงพอ ยังมีอำนาจขุนนางให้ท้าย บ้านเรือนหลายสิบหลังคานั้นก็คงไม่ยอมย้าย ท่านไม่ได้กล่าวหรือว่า? อย่างไรก็ในวังออกเงินให้ จึงไม่ต้องประหยัด อย่างนั้นก็ให้ประชาชนมากหน่อย พวกเขาได้ประโยชน์ก็ย่อมไม่มีวาจาโกรธแค้น ก็จะสร้างสนามฝึกขึ้นมาได้อยากสะดวก เช่นนี้มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?”
หวังทงนำความสามารถในช่วงที่กล่อมหัวหน้าที่สนับสนุนเขามาใช้ แสดงให้เห็นข้อดีข้อเสียให้กระจ่าง กล่าวออกมาให้ชัดเจน โจวอี้รู้สึกหวั่นไหว แต่สุดท้ายก็ยังจ้องหน้าหวังทง
รอเขาพูดจบ โจวอี้ก็ตบมือขึ้นเบาๆ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า
“พี่ชายอย่างข้ากลับไปคงต้องสืบฐานะน้องชายอย่างเจ้าซะแล้ว อายุ 14 กลับมีความรู้และความคิดเช่นนี้ และคิดได้รอบด้าน หากไม่ใช่คนมาสวมชื่อแทน เกรงว่าก็คงเป็นพรสวรรค์ฟ้าประทานให้เป็นแน่”
คำพูดนี้เป็นคำชม สองฝ่ายหัวเราะขึ้นพร้อมกัน โจวอี้พยักหน้าเอ่ยปากว่า
“น้องหวังพูดมาก็เป็นความจริง เช่นนั้นค่ำนี้ข้ากลับวังไปรายงานจางกงกง พ่อบุญธรรมยังรอข้ากลับไปรายงาน!”
ทั้งสองได้คุยรายละเอียดอีกสองสามประโยค โจวอี้ก็ลุกขึ้นประสานมือกล่าวอำลา จากนั้นก็จากไป ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป โจวอี้แรกเริ่มมองหวังว่าเป็นแค่เด็กฉลาดคนหนึ่ง ต่อมาก็มองเป็นสหายที่มีความนิ่งควรค่าแก่การคบหา ตอนนี้กลับมองว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และความคิดใกล้เคียงกับตน หรืออาจจะเป็นอัจฉริยะที่เกินระดับไปแล้ว ต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ
ยังไม่กล่าวถึงความยุ่งวุ่นวายและการเตรียมพร้อมของหวังทง กล่าวแค่วันนี้ตอนค่ำ พระมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ว่านลี่ ฮองไทเฮาฉือเซิ่งจากสกุลหลี่อยู่ในเรือนเล็กของตนกำลังฟังรายงานจากจางเฉิงอย่างละเอียด คำพูดที่หวังทงคุยกับโจวอี้ทั้งหมดล้วนรายงานต่อไทเฮาทุกเรื่องอย่างไม่ขาดตกสักคำพูดเดียว
“ออกกำลังกายให้มาก ร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่ก็เป็นเรื่องดี อดีตฮ่องเต้พระวรกายอ่อนแอ…”
วาจาของพระองค์กลับสะเทือนใจพระองค์เอง อดไม่ได้ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหัวตา จางเฉิงไม่คิดว่าจะมีบรรยากาศเช่นนี้ได้ ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจจึงยืนเก็บมือนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้ ยังมีท่านพี่และลูกคอยเป็นเพื่อนท่าน”
ไม่ไกลจากฮองไทเฮานักมีเด็กผู้หนึ่งปลอบใจด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา ช่วงคิ้วของเด็กผู้นี้มีความคล้ายกับฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ร่างกายผอมบางกว่า หน้าตาหล่อเหลาอยู่มาก สวมชุดคลุมยาวตัวเล็กแบบอ๋องน้อย กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อ่านหนังสือ
ได้ยินคำปลอบใจไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้นี้ ฮองไทเฮาหลี่ก็อดไม่ได้หยุดร้องส่งรอยยิ้มมาแทน มองอย่างเอ็นดู และยิ้มกล่าวชมว่า
“หลิวเอ๋อร์เด็กดี แม่ไม่ร้องแล้ว”
ฮองไทเฮาฉือเซิ่งปรับอารมณ์ได้แล้ว หันกลับไปกล่าวเรียบๆ กับจางเฉิงที่ยืนก้มหน้าอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้นว่า
“รู้จักใส่ใจชื่อเสียงราชวงศ์ ใส่ใจประโยชน์ราษฎร รู้จักระวังไม่ก่อเรื่องราวให้เป็นที่วิจารณ์ คิดไตร่ตรองได้รอบด้านเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ข้าให้ความสำคัญ…โจวอี้ขันทีสำนักส่วนในผู้นั้น รู้จักรายงานทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องดี ก็ให้เขาร่วมทำงานกับหวังทง ทำไปสองสามปี ก็ให้ย้ายมาที่สำนักส่วนพระองค์มาคอยประจำในห้องทรง”
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเมตตา”
หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์หนึ่งคน ผู้บัญชาการหนึ่งคน รองหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์หนึ่งคน ขันทีประจำในห้องทรงงานอีก 4-5 คน ขันทีคนอื่นๆ ที่สามารถเข้าไปในสำนักส่วนพระองค์คอยรับใช้ในห้องทรงงานก็เท่ากับขุนนางนอกวังเข้ามาดำรงตำแหน่งบัณฑิตในวัง เป็นการเลื่อนขั้นที่ยอดเยี่ยม
จางเฉิงขอบพระทัยเสร็จก็กล่าวว่า
“หวังทงผู้นั้นกล่าวว่า ต้องการเด็กผู้ชายตระกูลดีอายุ 13-14 ปี จำนวน 100 คนมาเป็นเพื่อนฮ่องเต้ออกกำลัง เรื่องนี้…ไทเฮาทรงเห็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
“ได้ทำกิจกรรมกับเด็กในวัยใกล้กันให้มากหน่อยก็ดี เล่าเรื่องในวันนี้ให้เฝิงเป่าและท่านจางทราบ ถามพวกเขา”