Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 555

ตอนที่ 555 ในวังไร้ความสงบ จัดการได้ถูกต้องหรือไม่

ปีรัชสมัยเจิ้งเต๋อ หลิวจิ่นกุมอำนาจ เป็นที่รู้กันทั่วหล้า พอถึงรัชสมัยเจียจิ้งจึงต้องการจำกัดอิทธิพลขันที หลังรัชสมัยเจียจิ้งไม่เคยเรียกตัวขันทีเข้าวังเพิ่ม ให้เหล่าขันทีในวังค่อยๆ ชราภาพกันไปเอง

ชราไปก็ส่วนชราไป แต่งานในวังอย่างไรก็ต้องมีคนทำ รัชสมัยหลงชิ่ง งานการต่างๆ ในวังล้วนติดขัด ดังนั้นตลอดสมัยจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนเข้ามา แต่ขุนนางบุ๋นก็ยังคงระแวดระวังดังเดิม ช่วงรัชสมัยหลงชิ่งนี้ ขุนนางในวังเกือบทั้งหมดเป็นขุนนางมาแต่รัชสมัยเจียจิ้ง ท่าทางมั่นใจในตนเองมาก ฮ่องเต้หลงชิ่งก็มิได้เอาพระทัยใส่ในเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ พอใช้ก็เพียงพอแล้ว

หลายปีมานี้ ในวังมีขันทีชราภาพมาก แรงงานก็เริ่มขาดแคลนรุนแรง และขันทีอันดับหนึ่งในวังอย่างเฝิงเป่าก็เป็นผู้มีอิทธิพลพอควร

เพิ่อที่จะให้การงานคล่องตัวเป็นปกติ อำนาจขันทีจึงค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง เริ่มเสริมกำลังขันทีจำนวนมากจากนอกวัง

การเสริมกำลังขันทีในวังในรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 เป็นครั้งใหญ่สุดในรอบ 30 ปี ในวังมีขันทีเข้ามาไม่น้อย แต่พวกที่หวังร่ำรวย หรือไร้หนทางจนต้องตอนตนเองเป็นพวกนิรนามนั้นจำนวนก็ไม่เคยลดลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

การเสริมจำนวนขันทีมาเป็นขันทีระดับล่างในวังนี้ นอกจากคัดเลือกเด็กชายที่ตอนตนเองเข้าศึกษาในสำนักแล้ว ที่เหลือก็เลือกจากพวกนิรนามเข้ามา เลือกพวกที่แข็งแรง เข้าวังมาก็ทำงานได้

ในสมัยหมิงนี้ วังหลวงหูตาว่องไว ในนอกข่าวสารฉับไว หลายหน่วยงานในเมืองหลวงได้ข่าวการกวาดล้างพวกนิรนามในเมืองหลวง พวกเขาเองก็ย่อมรู้

ตอนนี้หากเข้าวังก็มีกินอิ่มนอนอุ่น ตอนที่เป็นพวกนิรนามนอกวังนั้น มือไม้ย่อมมีไม่สะอาดอยู่บ้าง ได้ยินว่ากวาดล้างสอบสวนใหญ่ ทุกคนก็ย่อมหวาดกลัวกันไปตามๆ กัน

อาหารเช้าจบลง เสิ่นเต๋อไฉมายังห้องเครื่อง กล่าวกันสองสามประโยค กุ้ยเหล่ยก็รีบร้อนไปยังสำนักส่วนพระองค์

แม้ว่าสำนักส่วนพระองค์จะคุมอำนาจในวัง แต่นอกจากขันทีในสำนักส่วนพระองค์ที่ต้องทำงานแล้ว ขันทีสำนักอื่นก็ต้องยุ่งกับงานของตนเช่นกัน

แต่พอกุ้ยเหล่ยมาถึงกลับพบว่าคนจากหลายสำนักก็มาออกันที่นี่ เหมือนดังที่คนของตนรายงานมา แต่ละแห่งล้วนมีคนคุกเข่าร่ำไห้

“เช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ใช่หนทาง พวกข้าน้อยหวาดวิตกกัน พวกเรารับใช้เจ้านายในวัง หากมีอันใดเป็นไปจะทำเช่นไร!?”

“มีขันทีหลายคนไปแจกโจ๊กที่นั่น เจ้าหน้าที่จากศาลซุ่นเทียนยังขัดขวางไว้ พวกเขาไม่เห็นคนในวังอยู่ในสายตาเลย……”

มีบางแห่งเป็นหัวหน้าสำนักขันทีมาเอง บางเห็นเป็นหัวหน้าขันทีหรือไม่ก็รองหัวหน้ามาเอง ทุกคนสถานะเช่นนี้ แม้จะมีวาจาไม่พอใจ แต่ก็ล้วนกล่าวอย่างไว้ท่าทีสามส่วน

ขันทีในสำนักส่วนพระองค์ติดตามฮ่องเต้ว่านลี่ออกประชุมขุนนาง เหลือเพียงคนหนึ่งไว้ยามฉุกเฉินเท่านั้น วันนี้คนที่อยู่เฝ้าสำนักส่วนพระองค์ก็คือจางหง ในห้องทำงานมีคนอยู่กว่า 20 คน ต่างพากันเสียงดังโวยวาย คิดจะทำงานก็ไม่อาจทำได้ อดไม่ได้ขมวดคิ้วกล่าวว่า

“กงกงทุกท่าน เฝิงกงกง จางกงกยังประชุมอยู่ พวกเราไม่อาจตัดสินใจได้ ไม่สู้กลับไปกันก่อน รอตอนบ่ายค่อยมาหารือดีไหม ทุกคนมีงานที่ต้องรับผิดชอบ มากันที่นี่ตอนนี้ไม่น่าจะดีนัก อย่าได้เสียการงานกันเลย”

ตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในสำนักส่วนพระองค์ รวมทั้งขันทีประจำในสำนัก ล้วนเป็นตำแหน่งใหญ่ สถานะเทียบเท่ากับขุนนางในสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ มีอำนาจมาก สถานะสูงกว่าขันทีในสำนักอื่น

จางหงแต่ไรมาทำงานดี ไทเฮาฉือเซิ่งให้ความเมตตาอย่างมาก จางหงจึงมีสถานะเป็นลำดับสามในสำนักส่วนพระองค์ไปโดยปริยาย เขากล่าวเช่นนี้ คนที่มาร้องทุกข์ก็ย่อมไม่อาจกล่าวเป็นอื่น มองหน้ากันเตรียมจะสลายตัวกลับ

“จางกงกงไม่อาจกล่าวเช่นนี้นะ สำนักอาชาหลวงของเรา ครั้งนี้คัดเลือกขันทีร่างกายแข็งแรงเข้าวัง คนพวกนี้เป็นทหารในวัง หากคนเหล่านี้จิตใจหวาดระแวง จะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ สำนักอาชาหลวงเดิมก็มีแต่พวกชราภาพอ่อนแอ อาศัยอันใดไม่ได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป กองกำลังวังหลวงใช่ว่าจะพังทลายลงหรืออย่างไร!”

ตอนทุกคนกำลังสลายตัว ขันทีแห่งสำนักอาชาหลวงหลินซูลู่ก็ยืนขึ้น กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล หากกล่าวได้หนักแน่น

ทุกคนในที่นั้น ยามนี้ก็มีแต่หลินซูลู่ที่พอจะมีสถานะกล่าวอันใดได้ พอเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็รีบขานรับ

“ห้องเครื่องก็ต้องปรุงอาหาร แรงงานก็สำคัญ ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดมากที่สุด ครั้งล่าสุดที่คัดเข้ามา มาอยู่กันที่นี่ถึงสามส่วน หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่มีกระจิตกระใจทำงาน หากเกิดข้อผิดพลาดใด จะรายงานเบื้องบนเช่นไร จางกงกง นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดไม่อาจรอช้าได้แล้ว!”

ขันทีประจำห้องเครื่องกุ้ยเหล่ยตะโกนเสียงดัง เขาเครียดกับเรื่องนี้ที่สุด ตอนเช้ามีพวกมาร้องไห้กันมาก ขนาดเร่งงานกันแล้ว ยังมีพระสนมสามท่านเลยเวลาเสวยไปพักหนึ่ง เกิดเสียงไม่พอใจอย่างมาก

ดีที่พระสนมเอกเจิ้งได้รับพระกระยาหารไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้เป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว กุ้ยเหล่ยและหัวหน้าห้องเครื่องเสิ่นเต๋อไฉร่วมกันคิดว่า เรื่องนี้จะต้องได้คำตอบมา ไม่เช่นนั้นย่อมยุ่งยากใหญ่ เรื่องนี้ต้องได้คำตอบกระจ่าง

สำนักอื่นก็วุ่นวายกันไม่ใช่น้อย ก็มีสถานการณ์เช่นนี้เช่นกัน

จางหงเห็นสถานการณ์ไม่อาจจัดการได้ ก็ตบหน้าผาก ประสานมือคำนับ กล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้กงกงทุกท่านนั่งก่อน ข้ายังมีหนังสือฎีกาที่ต้องตรวจอีก ไม่อาจอยู่ต่อได้แล้ว”

ในใจเขาร้อนเป็นไฟ กล่าวจบก็เดินออกไปห้องทำงานต่อ ไปนั่งประจำตำแหน่งตนตรวจฎีกาต่อ หากก็มีเรื่องไม่สบายใจอยู่ หันไปมองขันทีอาลักษณ์ข้างๆ กล่าวว่า

“ศาลซุ่นเทียนสืบคดีนี้ พวกด้านนอกโหวกเหวกกันเช่นนี้ ทำยังไงก็ไม่ยอมสงบ ยังมารวมตัวกันที่นี่อีก?”

ขันทีอาลักษณ์ลังเลครู่หนึ่ง หากเป็นจางหงที่คิดได้ เปิดฎีกาออกกาชาดไปสักพักก็กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“คิดว่าคงเป็นคนของจางกงกงในสำนักรักษาความสงบ มิน่าจึงได้รวมตัวกันมาร้องขอที่นี่ ยุ่งไม่ได้ ยุ่งไม่ได้จริงๆ !”

ในวังแต่ละแห่ง หลายหน่วยงานไม่ค่อยอันใดกับชื่อสำนักรักษาความสงบ หนึ่งเพราะว่าไม่มีหน้าที่ สองเพราะจางเฉิงกุมอำนาจไว้แน่นหนา ผู้ใดก็สอดมือเข้าข้องเกี่ยวไม่ได้ เบื้องหลังคือโอรสสวรรค์ ในวังนอกวังล้วนเป็นไทเฮากุมอำนาจ ทุกคนรักษาระยะห่างไว้ดีกว่า

ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ เดิมก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว การประชุมขุนนางก็ดำเนินไปได้พอสมควรแล้ว จางหงออกไปได้ไม่นาน ขันทีใหญ่จากสำนักส่วนพระองค์ก็ทยอยกลับมา

ต่อหน้าจางหง ทุกคนช่วยกันพูด แต่พอต่อหน้าเฝิงเป่าและจางเฉิง ทุกคนไม่กล้าล่วงเกิน ล้วนคำนับนอบน้อม

แต่ยามนี้ทุกคนเริ่มลังเล ผู้ใดก็ล้วนเห็นว่าสีหน้าของหลายท่านในสำนักส่วนพระองค์ไม่สู้ดีนัก หรือว่าเสียงร่ำไห้เมื่อครู่ทำให้เฝิงกงกงและจางกงกงไม่พอใจ

ทุกคนลังเล หลินซูลู่ค่อยๆ ก้าวออกมาด้านหน้า คำนับนอบน้อมก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า

“เฝิงกงกง ในวังไร้ความสงบ หากไม่จัดการเร็ววัน พวกเราทุกคนคงมีภัยมาถึงตัว”

เฝิงเป่าเดินเข้ามาเห็นทุกคนก็ตกตะลึง ทุกคนลังเลไม่ก้าวเข้ามา เขากลับคิดถึงเรื่องอยู่ เหมือนเหม่อลอย พอหลินซูลู่ถาม จึงได้สติ ได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว หันไปกล่าวว่า

“จางเฉิง ไปบอกคนของเจ้าหน่อย ทำจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ทั้งในและนอกวังล้วนเสื่อมเกียรติ พอได้แล้ว!”

ทุกคนพากันออกหน้ากล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับหักหน้ากัน ทุกคนอึ้งไป ไม่สนใจมารยาทใดอีก หันไปมองจางเฉิงพร้อมกัน คิดไม่ถึงจางเฉิงก็เหมือนกำลังคิดอันใดอยู่ เพียงพยักหน้ารับคำสั้นๆ ทุกคนอึ้งไป เห็นขันทีอื่นๆ ของสำนักส่วนพระองค์ก็พากันเดินเข้ามา

ทุกคนล้วนมีสถานะไม่น้อยในวัง เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ย่อมตัดสินใจได้กระจ่าง มหาขันทีก้าวเข้ามา ครู่หนึ่งก็มีขันทีอาลักษณ์วิ่งออกมา

“งานฎีกาเยอะมาก ขอให้กงกงทุกท่านกลับไปก่อน มีเรื่องอันใดคืบหน้าจะไปรายงานให้ทราบ”

ขันทีอาลักษณ์กล่าวนอบน้อม แต่เจตนาไล่แขกนั้นชัดเจน สถานการณ์เช่นวันนี้ เรื่องที่ขอในวันนี้เหมือนได้ผลแล้ว จางเฉิงรับปากแล้ว ขันทีแต่ละสำนักก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้อีก หากไปสนใจว่าเรื่องที่ทำให้เฝิงเป่าและจางเฉิงต้องตกในภวังค์คือเรื่องใดกัน ราชสำนักเกิดอันใดขึ้น?

มหาขันทีและหัวหน้าขันทีต่างรู้งาน พากันสลายตัวไปเงียบๆ พอออกจากลานด้านหน้าของสำนักส่วนพระองค์แม้ว่าจะกลับไปยังสำนักตน แต่ลูกน้องคนสนิทก็ไปหาข่าวจากที่ต่างๆ กัน

ตามปกติ หากเหตุที่เกิดในการประชุมไม่ใช่ความรับ ก่อนเที่ยง ทุกหน่วยก็ย่อมรู้ข่าวกันหมด

“แต่งตั้งหลี่เหวินเฉวียนเป็นรองแม่ทัพสามกองกำลังถูกท่านจางปฏิเสธ”

กองกำลังประจำเมืองหลวงก่อนรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมี 12 กอง รัชสมัยเจียจิ้งรวบเป็นสามกองให้ขุนนางบุ๋นสั่งการ ตำแหน่งใหญ่ให้ชนชั้นสูงรับหน้าที่ สามกองกำลังมีรองแม่ทัพ 4 นาย ล้วนเป็นตำแหน่งมีบรรดาศักดิ์ระดับป๋อหรือโหว เป็นตำแหน่งมีเบี้ยหวัดและค่าน้ำร้อนน้ำชามาก เป็นตำแหน่งที่ดีอันดับหนึ่งของชนชั้นสูง

สำหรับพวกชนชั้นสูง หากมีการเลื่อนผู้ใดขึ้นไปรับตำแหน่ง ก็มีต้องผลงานดีเด่นจนได้บำเหน็จเป็นรางวัล ให้ไปดำรงตำแหน่งระยะหนึ่ง จากนั้นค่อยหาเหตุลาออก

หลี่เหวินเฉวียนเมื่อก่อนไม่เคยรับตำแหน่งจริงจัง ตอนนี้ไม่ได้มีบรรดาศักดิ์ติดตัว ท่านจางก็เสนอขึ้นไปก็ตามหลักเหตุผล ขุนนางบุ๋นก็แค่ทำตามขั้นตอนไป ไม่มีอันใดแปลก

แต่หลี่เหวินเฉวียนเป็นบุตรชายอู่ชิงโหว หลี่เหว่ย พระบิดาไทเฮา เป็นน้องชายแท้ๆ ของไทเอาฉือเซิ่ง ความสัมพันธ์อันดับหนึ่งในราชวงศ์ ท่านจางกลับปฏิเสธ……ลำดับถัดมาจะทำเช่นไร มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้

***********

“ทุ่งหญ้ายังคงไม่สงบดี สามกองกำลังต้องการขุนนางบู๊มาเพิ่ม ข้ารู้เจตนาท่านจาง ไม่ต้องกล่าวอันใดแล้ว!”

ไทเฮากล่าวเช่นนี้ หากสีพระพักตร์บึ้งตึง เฝิงเป่าและจางเฉิงสบตากัน ก่อนจะถวายบังคม ไทเฮาหันมาตรัสว่า

“วันนี้ในวังเป็นเรื่องเป็นราวกันเช่นนี้ จางเฉิง เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในวัง ต้องแยกแยะในและนอกให้ดี หากสืบสวนสอบสวนกันต่อไป เจ้าคิดการอันใดกัน”

ไทเฮาสุรเสียงเข้ม จางเฉิงลนลานรีบคุกเข่าลง……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version