Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 560

ตอนที่ 560 รักษาความสงบเข้มข้น เจิ้นไห่ลงทะเล

“โจวกงกง หัวหน้าขันทีห้องเครื่องชิวซูจือขอพบ!?”

ขันทีควบคุมห้องเครื่อง มีหัวหน้าสองคน ตำแหน่งเท่ากับระดับมหาขันที เอ่ยชื่อมา ทุกคนก็รู้ว่าปฏิบัติงานใด

ต่อหน้าขันทีใหญ่ โจวอี้ย่อมนอบน้อม แต่ลับหลังขันทีใหญ่ โจวอี้ย่อมไม่ต้องเกรงใจผู้ใด ได้ยินชิวซูจือขอพบ ก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านเอกสารต่อ ไม่เงยหน้าขึ้นถามว่า

“ข้ากับชิวซูจือมีเรื่องใดต้องติดต่อกัน เขามาทำไมกัน?”

ขันทีอาลักษณ์ข้างๆ ที่คอยรับใช้เขยิบเข้ามาใกล้กล่าวสองสามคำ โจวอี้หยุดพู่กัน หันมาพยักหน้ากล่าวว่า

“เชิญเขาเข้ามาได้!!”

เสียงเชิญด้านในและด้านนอกดัง ย่อมใช้เวลาไม่นาน ชิวซูจือเดินเข้ามาให้ห้องทำงาน โจวอี้นั่งไม่ขยับ สองฝ่ายระดับเท่ากัน โจวอี้กลับไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้ชิวซูจือไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ระดับเท่ากัน อำนาจกลับแตกต่างกัน จึงได้อดกลั้นเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กำลังจะกล่าวอันใด หากโจวอี้เอ่ยขึ้นก่อน

“หลานท่านแสร้งเมาสุราอาละวาดฉุดคร่าหญิงของเจ้าของร้านกลับบ้าน ลูกน้องยังทำร้ายคนงานสองคนบาดเจ็บ สำนักรักษาความสงบนำคนศาลซุ่นเทียนเข้าจับกุม ขังไว้สามวัน โบยแส้ 20 ท่านมาด้วยเรื่องนี้หรือ?”

วาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ชิวซูจืออึ้งไปเช่นกัน โจวอี้กล่าวต่อว่า

“หากท่านรู้สึกไม่อาจยอมรับ ก็ไม่โบยแส้ก็ได้”

ชิวซูจือกำลังจะยิ้มพยักหน้า โจวอี้กล่าวต่อว่า

“เนรเทศไปเมืองเหลียงโจว โบยไม้ห้าสิบ!”

เนรเทศไปเมืองเหลียงโจว ทั้งวันต้องคอยสู้รบกับแต่ละเผ่าทางตะวันตก ส่วนเรื่องโบยไม้ 50 อาจจะโดนโบยตายในตอนนั้นเลยก็เป็นได้

อุตส่าห์มาขอร้องถึงที่ คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้ โจวอี้ช่างไม่ไว้หน้า สีหน้าชิวซูจือแดงก่ำ เงยหน้าชี้ด่าโจวอี้ด้วยความโมโห โจวอี้จ้องมองนิ่ง กล่าวเพียงว่า

“ปีนี้ซ่อมแซมอุทยาปัจจิม เจ้ารายงานราคากระเบื้องและวัสดุก่อสร้างเป็นเท็จมา เข้ากระเป๋าตนเองแปดหมื่นตำลึง เจ้าคิดว่าในวังไม่มีผู้ใดรู้หรือ ข้ายุ่งมาก ไม่ส่งแล้ว!”

ได้ยินโจวอี้รายงานตัวเลข ชิวซูจืออึ้งไปก่อนจะสีหน้าซีดเผือด วิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปทันที ขันทีในน้องทำงานก้มหน้ากัน บางคนกลั้นหัวเราะ บางคนหวาดกลัว

คนสนิทข้างกายโจวอี้อดไม่ได้กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“โจวกงกง ขันทีหลี่ห้องเครื่องผู้นี้แต่ไรมามีผู้ปกป้อง……”

โจวอี้หยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า

“ใหญ่เพียงใด ไหนเลยใหญ่กว่าจางกงกง ช่างเขา”

หลี่ว์วั่นไฉถูกปรับเบี้ยหวัด ทหารที่ติดตามคดีนิรนามที่ถูกส่งไปหาข่าวนอกเมืองก็ถูกเรียกกลับ เมืองหลวงแต่ละที่ที่รู้ทิศทางลมก็คิดว่าสำนักรักษาความสงบจบสิ้นแล้ว เรื่องราวเป็นไปต่อมากลับตาลปัตรกับที่พวกเขาคิดไว้หมด สำนักรักษาความสงบถูกเรียกตัวกลับจากนอกเมือง ท่าทีกลับยิ่งแข็งกร้าวกว่าเมื่อก่อน

การแข็งกร้าวเช่นนี้ไม่ใช่แสร้งทำ หากว่าเป็นความแข็งกร้าวแท้จริง เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับทหารสำนักองครักษ์เสื้อแพรภายใต้การควบคุมของสำนักรักษาความสงบยิ่งจับตาดูแน่นหนา หากทำผิดระเบียบก็จะลงโทษหนัก ค่าป้ายสงบสุขไม่อาจแกล้งเลอะเลือนหรือล่าช้าแม้แต่น้อย ไม่มีช่องโหว่อันใดให้ฉวยโอกาส

และทุกคนก็เหมือนจะรู้สึกได้โดยไม่ต้องกล่าววาจากันว่า หูตาของพวกสำนักรักษาความสงบในเมืองมากยิ่งขึ้น

โจวอี้ที่เก็บตัวเงียบมานานก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหลี่ว์วั่นไฉที่ทำงานอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด หรือแม้แต่หลี่เหวินหย่วนที่เอาจริงเอาจังไร้รอยยิ้ม

************

สำนักรักษาความสงบสืบคดีนอกเมือง สถานที่ชุมนุมพวกนิรนามแต่ละแห่งมีคนไม่น้อยหนีออกมา รอเจ้าหน้าที่กลับเข้าเมือง พวกนิรนามที่ไร้ที่ไปก็ย่อมกลับมาอีกครั้ง

แต่ทว่า หลังจากเกิดคดีต่างๆ ราษฎรในเมืองหลวงก็ล้วนหวาดกลัวสถานที่ที่พวกนิรนามอยู่ราวกับสัตว์มีพิษร้าย ไม่ย่ำกรายเข้าใกล้ ถึงกับบอกเตือนคนนอกพื้นที่ว่าอย่าเข้าใกล้ จะได้ไม่เกิดภัยมาถึงตัว

พวกนิรนามที่ถูกกีดกันแม้แต่ขอทานก็ไม่อาจทำได้ มีชีวิตยากลำบากมาก แต่ในวังตอนนี้ก็จะส่งคนมาบริจาคอาหารเป็นระยะๆ ก็ยังพอดำรงชีพต่อไปได้

ดังนั้นสถานที่ราษฎรทั่วไปในเมืองหลวงหากพบเห็นพวกแบกหาบ หรือว่าขับรถม้าเข้ามา ก็รู้ว่าเป็นพวกส่งอาหารบริจาค

เหล่าขันทีที่ออกมานอกวังก็จะมากันประจำ ในเมืองหลวงก็มีคหบดีมาร่วมวงด้วย ส่งคนไปบริจาคอาหารและเสื้อผ้าประจำ ก็เพื่อซื้อน้ำใจคนในวัง

“อาหารมีแป้งเปี๊ยะและผักดอง ทุกคนอย่าได้แย่งกัน ทุกคนมีครบ!”

บ่อน้ำดำนอกเมืองไปทางตะวันตก บ้านเก่าๆ สองหลัง พวกนิรนามกลุ่มหนึ่งล้อมรอบรถม้าคันหนึ่ง แต่ละคนยื่นมือออกมาตะโกนโหวกเหวก คนงานหลายคนบนรถม้าส่งแทบไม่ทัน พลางตะโกนให้ทุกคนอยู่ในระเบียบ

ตอนยังไม่เกิดคดีความ นอกจากขันทีที่ไม่ลืมที่มาของตนส่งคนมาบริจาคแล้ว ก็มีแต่พวกคหบดีในเมืองหลวงส่งคนมา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด และก็น่าแปลกยิ่งนัก แจกให้เพียงแค่พวกที่ร่างกายแข็งแรง พวกร่างกายอ่อนแออย่าได้คิดมารับ

และพวกที่เอาอาหารมาเลี้ยงดูให้อิ่มหมีพีมัน ยังมีสุราและเนื้อสัตว์ ทำให้ปากคันอยากจะพูดไม่ว่า หากยังทำให้คนรู้สึกงงอีกด้วย

หากระยะนี้ทุกวันจะมีรถม้ามา เหมือนคนใจบุญส่งมา ทุกวันเป็นอาหารแผ่นแป้งเปี๊ยะและพวกข้าวต้มที่ใช่ว่ามีแต่น้ำ ให้กินอิ่มกันถ้วนหน้า พวกร่างกายอ่อนแอก็ได้รับ คนรถที่ขับรถมาก็นุ่มนวล ทุกครั้งเห็นทุกคนได้กินก็ดูทุกคนกินไปพลางลงมาคุยด้วยไปพลาง

พวกนิรนามเป็นพวกที่ชาวบ้านไม่ต้อนรับ เข้าวังเป็นขันทีได้เมื่อไรก็ราวกับก้าวขึ้นฟ้า เข้าวังไม่ได้ก็ต้องถูกดูถูกไปจนวันตาย ไม่ค่อยมีผู้ใจบุญมาคุยกับพวกเขา ทุกคนรู้สึกสนิทสนมกับเขามาก

แต่ตอนแจกอาหาร ทุกคนก็ไม่สนใจสนิทหรือไม่ กินก่อนค่อยว่ากัน แย่งไม่ทันก็อด หลายคนถึงกับกลืนเอากลืนเอาที่ข้างรถม้า

พวกอายุมากและอายุน้อยล้วนเบียดเข้ามาไม่ได้ คนขับรถก็หยิบชุดหนึ่งไปให้พวกเขาแบ่งกันโดยเฉพาะ แจกจนไปถึงเด็กที่เหมือนยังไม่โตคนหนึ่งสุดท้าย เด็กคนนั้นรับไป ก่อนจะคำนับอย่างซึ้งใจและเริ่มกิน

คนรถถอนหายใจ คู้ลงนั่งข้างเด็กผู้นั้น สายตามองไปด้านหน้าเหมือนกับตกในภวังค์ ปากกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“เจ้าว่าพวกที่ถืออาวุธพวกนั้นกลับมาแล้วหรือ?”

“เมื่อคืนมา เห็นอยู่ มาที่นี่เดินวนรอบหนึ่ง เก็บเสื้อผ้าที่พวกเขาเคยทิ้งไว้ที่นี่ไปหมด ก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหนกัน”

ปากเด็กน้อยกลืนอาหารลงไป กล่าวกระซิบเบาๆ เช่นกัน คนรถไม่ตอบอันใดเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า

“ผู้แจกสุราและเนื้อสัตว์นั่นมาอีกไหม?”

เด็กน้อยส่ายหน้า คนรถตบหัวเขา กำลังจะลุกขึ้น จู่ๆ เด็กน้อยก็กล่าวว่า

“เมื่อวานมีพระหลายรูปมาบริจาคทาน ข้าคิดจะเข้าไปขออาหาร กลับไม่ให้ข้า พระพวกนั้นดุร้ายมาก แจกให้แต่พวกแข็งแรงเท่านั้น”

คนรถพยักหน้า ควักของที่ห่ออยู่ในกระดาษอาบน้ำมันออกมาห่อหนึ่งส่งให้ ยิ้มกล่าวว่า

“อย่าให้คนอื่นเห็นเข้า ช่วยข้าจับตาดูต่อไป”

เด็กนั่นเลิกคิ้วยิ้มมองห่อกระดาษในมือ เลียไปคำหนึ่ง ยิ้มร่ากล่าว่า

“หวานจริง……”

*************

ต้นเดือนแปด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 จักรพรรดิเกาหลีมีฎีกามาเมืองหลวง กล่าวว่าที่เหรินชวนมีโจรสลัดอาละวาด ขอให้ส่งทหารไปปราบปราม รักษาสันติสุข

ปฏิกิริยาของคนในเมืองหลวงก็ไม่ต่างจากเดิมนัก มีราชโองการไปยังเหลียวโจว ให้แม่ทัพหลี่เฉิงเหลียงปฏิบัติการนี้ แม้เหลียวโจวมีทัพทางน้ำ แต่ก็แค่เรือ 40 กว่าลำ และเรือตอนนี้ก็ยุ่งจนไม่ว่าง กำลังวิ่งไปกลับเหลียวโจวเทียนจินอยู่ ไปมาเพื่อการค้า กำลังร่ำรวยใหญ่ ผู้ใดจะมีเวลาไปปราบโจรสลัด เหลียวโจวรับราชโองการมาก็ไม่มีเวลาจะไปสนใจ แค่รับๆ ไปอย่างงั้น

ข่าวมาถึงหวังทง ก็แค่ยิ้มรับ วันที่ 15 เดือนแปดเทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นเทศกาลสำคัญ พ่อค้าทางแม่น้ำทะเลยุ่งกับการงานแล้ว ยังต้องแจกรางวัลให้ลูกน้องแล้วก็กินเลี้ยงเทศกาลสักมื้อ

หวังทงกับบรรดาลูกน้องไม่ได้ยุ่งกับการฉลองเทศกาล หากไปยังโรงต่อเรือ เรือลำแรกของโรงต่อเรือเทียนจินจะปล่อยลงน้ำในวันนี้

พอไปถึงโรงต่อเรือ ทุกคนก็ล้วนมากันพร้อมหน้า ยังมีพวกสวมชุดเครื่องแบบสั้นทหารเรือรออยู่ด้านนอก

พอเห็นหวังทงมาถึง ทุกคนก็คำนับพร้อมเพรียง หวังทงเอ่ยตอบ หากไม่ได้ลงจากม้าเข้าไปในโรงต่อเรือ วิ่งไปทางอู่จอดเรือ

เรือใบสามเสากระโดงลำใหม่เอี่ยม โครงสร้างภายนอกเหมือนกับเรือกวางบิน แต่ขนาดเล็กกว่า ขนาดเพียงสองในสามของเรือกวางบินเท่านั้น ตัวเรือประดับผ้าแพรงดงาม ช่างต่อเรือรอบๆ เรือยิ้มกว้าง เป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี บรรยากาศยามนี้ดีอย่างมาก

หวังทงมองเรือด้วยอาการตกในภวังค์ ควบม้าเดินไปยังรอบๆ เรือดู การต่อเรือในยุ่คนี้นับเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นการรวมเอาเทคนิคก้าวหน้าหลายแขนงมารวมกัน ต่อเรือออกมาได้เช่นนี้ ตามคำกล่าวรายงายของหูอัน สามารถออกทะเลลึกได้

“นายท่าน เรือนี้แม้เล็ก แต่ยิงปืนใหญ่ได้ 30 กระบอก ในนั้นมี 10 กระบอกเป็นปืนกระสุนขนาดหนึ่งชั่ง ที่เหลืออีก 20 เป็นขนาดหกชั่ง หากออกเดินทะเล ตัวต่อตัว ไม่มีเรือโจรสลัดใดต่อกรได้!”

หวังทงกำลังตกในภวังค์ความคิด เมิ่งซื่อเต๋อหัวหน้าโรงต่อเรือเข้ามาใกล้กล่าวขึ้น สีหน้าช่างมากประสบการณ์ผู้นี้ภาคภูมิใจอย่างมาก ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้า เรือนี้ยังไม่ตั้งชื่อ ขอใต้เท้าตั้งชื่อด้วย!!”

ทุกคนในที่นั้นต่างส่งเสียงเรียกร้องให้หวังทงตั้งชื่อ หวังทงรู้สึกตัวกล่าวออกมาว่า ‘เจิ้นหย่วน’ และ ‘ติ้งหย่วน’ [1]ในยุคนนี้ ชื่อเรือสองลำนี้เป็นที่จดจำอย่างมาก หวังทงหลุดหัวเราะกล่าวว่า

“ชื่อว่า เจิ้นไห่ ละกัน!!”

———————-

[1] ชื่อสองเรือรบทรงอานุภาพในสมัยราชวงศ์ชิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version