ตอนที่ 661 ใครข่มใครกัน
ที่เรียกว่าเงินก้อนจินฮวาก็คือเงินที่ได้จากภาษีจากการทำนาส่วนหนึ่งตัดเข้าวังหลวง แต่เงินก้อนจินฮวาที่เพิ่มขึ้นจากเทียนจินนี้เป็นรายได้จากการเก็บภาษีการค้าที่เทียนจินรวบรวมส่งเข้าวังผ่านสำนักอาชาหลวงตรวจนับ นี่กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องภายใน หน่วยงานในวังรับผิดชอบดูแล ในวังและกรมอากรที่รู้ก็เพราะบอกกล่าว ไม่รู้ก็ไม่แปลกอันใด
เงินก้อนจินฮวาจากเทียนจินทุกปีส่งเข้าวันล้านสองแสนตำลึง ทุกเดือนส่งมาหนึ่งครั้งก็เพราะเป็นความเคยชิน ส่งมาอย่างไร ส่งมาเท่าไร ไม่มีเอกสารระบุ
เฉินเกอตะโกนส่งเสียงดัง บรรดาขันทีได้ยินแล้ว ก็เหมือนกับว่ากำลังร้อนใจหาเหตุผลเท่านั้น ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้จูหยวนจาง(หมิงไท่จู่)และฮ่องเต้จูตี้(หมิงเฉิงจู่) ที่ค่อนข้างเข้มงวดมา บรรดาขุนนางไม่กล้ากล่าวอันใดมากความ แต่ต่อมา หากในวังต้องการเงินมากขึ้น บรรดาขุนนางต่างก็ไม่ยอม
กล่าวกันว่าภาษีใต้หล้าแต่ละแห่งล้วนเป็นการขูดรีดก็คงเช่นนั้น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการเก็บรายได้ปกติ ยังคงมีวาจาเสียดสีอยู่บ่อยๆ เงินก้อนจินฮวาที่หวังทงนำมาในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 ถูกขุนนางขวางทางอยู่นอกประตูเมือง คิดว่าคงเหมือนในอดีตที่ทนเห็นในวังมีเงินเข้าไม่ได้
ขันทีที่ออกมารับเงินล้วนคิดเช่นนี้ สีหน้าโมโหมาก สวีจวิ้นที่สำนักอาชาหลวงส่งออกมารับเงินมีหลักการอยู่บ้าง พอด่าเสร็จก็กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ดึกมากแล้ว นักโทษลบหลู่เบื้องสูงจับได้แล้ว ให้ข้าน้อยนำรถไปจดให้ดีก่อน พรุ่งนี้ค่อยตรวจรับ ใต้เท้าเดินทางมาลำบาก ไปพักผ่อนก่อน”
หวังทงพยักหน้า สวีจวิ้นรีบส่งเสียงส่ง คนติดตามรีบขึ้นมาตามออกไป เดินไปได้สองก้าว สวีจวิ้นก็หันกลับมา ดึงม้ามาหน้าหวังทง กระซิบว่า
“ขุนนางบุ๋นพวกนี้เกรงว่าไม่ได้ตั้งใจเอาเรื่องฝ่าบาท แต่เป็นใต้เท้า หากให้ลูกน้องใต้เท้าเป็นพยานบุคคล เกรงว่าคงฟังไม่ขึ้นเท่าไร ให้ราษฎรข้างทางและทหารจากศาลอาญาใหญ่เฝ้าประตูเมืองพวกนี้เป็นดีกว่า น่ากลัวจะต้องจับสักสองสามคนกลับไปเป็นพยาน”
ใต้หล้าคนฉลาดมีมาก สวีจวิ้นเองก็รู้งาน หวังทงยิ้มพยักหน้า หันกลับไปตะโกนสั่งเฉินต้าเหอให้รับรู้
เฉินต้าเหอตั้งแต่เข้ามาก็อึดอัดเหลือจะทน เมื่อครู่ได้ระบำยอารมณ์ออกไปก็รู้สึกสะใจไม่น้อย ได้ยินคำสั่งก็รีบรับคำทันที ขบวนรถเดินต่อไปไม่ให้เสียเวลา
ทหารและ ‘คนงาน’ หวังทงบนหลังม้ากระจายออกรอบทิศ จับได้อีกหลายสิบคน คนที่เหลือจะมีใครกล้ามุงดูต่อ พากันร้องเสียงดังวิ่งหนีหายไปหมด
ทหารศาลอาญาใหญ่เมื่อครู่ได้ชมละครสนุกฉากใหญ่ เห็นเรื่องมาถึงขั้นนี้ จึงได้รู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เห็นคนของหวังทงท่าทางเอาเรื่องแล้ว จึงได้เริ่มลนลาน ในมือพวกเขาก็มีอาวุธ หากพวกหวังทงบนหลังม้าอยู่ที่สูง การจะรุกถอยก็มีระเบียบวินัย พวกเขาเทียบไม่ติด ทหารที่แต่งกายแบบนายกองธงใหญ่ผู้หนึ่งจึงตะโกนดังว่า
“ใต้เท้าหวัง เราทุกคนล้วนเป็นทหารราชสำนัก ท่านทำเช่นนี้ หรือว่าคิดจะทำให้เกิดเรื่อง?”
คนผู้นี้ช่างใส่ความได้ดี พอเขาตะโกนดัง พวกเฉินเกอที่ถูกจับอย่างน่าทุลักทุเลก็มีคนตะโกนบ้างว่า
“พวกข้าแม้ว่ามีความผิด แต่ก็ต้องให้หน่วยงานลงโทษ ใต้เท้าหวังไม่มีอำนาจจัดการ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร……”
“องครักษ์เสื้อแพรเป็นทหารในพระองค์ ลบหลู่ฝ่าบาท โทษล่วงเกินเบื้องสูง เกิดเหตุต่อหน้าข้า ข้าย่อมมีอำนาจจัดการ ทหารศาลอาญาใหญ่ประสบเหตุด้วยตนเอง ให้ก้าวออกมาสองสามคนตามข้าไปเป็นพยาน ข้าไม่อยากมีเรื่อง แต่หากลงมือกันขึ้นมา ย่อมให้พวกเจ้าได้เห็นดีกัน!”
วาจาแข็งกร้าว ทหารศาลอาญาใหญ่กลับไม่รู้จะตอบเช่นไร คนของหวังทงก็อารมณ์ไม่เบา เข้าไปลากตัวออกมา ทหารศาลอาญาใหญ่ที่แม้จะอ่อนแอ แต่ก็มีอารมณ์ไม่พอใจเช่นกัน มีคนด่าทอพลางชักดาบออกมา
หวังทงบนหลังม้าหรี่ตามองคนที่ชักดาบออกมา โมโหขึ้นทันที ไม่ทันกล่าวอันใด เฉินต้าเหอข้าง ๆ ก็น้าวธนูยิงออกไป แหวกอากาศออกไปปักดังฉึก ปักเข้าที่หว่างขาสองข้างของคนผู้นั้นอย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นยังตะโกนโหวกเหวกอยู่ อยู่ๆ ถูกธนูปักลงตรงหน้า ตัวค้างแข็งไปทั้งตัว เพื่อนทหารข้างๆ รีบถอยกันไม่เป็นขบวน คนผู้นั้นได้สติ ส่งเสียงแหกปากลั่น ดาบในมือร่วงหล่น ล้มนั่งแปะกับพื้นทันที
“อ่อนแอราวกระสอบหญ้าเช่นนี้ คิดจะสู้กับข้า ไม่ต้องพูดมากไร้สาระ รีบส่งคนมา!”
ขี้ขลาดเช่นนี้ หวังทงแค่นยิ้มเยียบเย็น กล่าวกับนายกองธงใหญ่ผู้นั้นด้วยสายตาดูถูก
***********
เข้าเมืองมาจัดการทุกอย่างเข้าที่ ฟ้าก็มืดแล้ว หวังทงแม้ว่าอยู่เทียนจินมาหลายปี แต่เขามาเมืองหลวงก็ไม่ต้องอยู่โรงเตี๊ยม บ้านบนถนนทักษิณยังอยู่
ตอนเข้าถึงบ้าน หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนก็มารอนานแล้ว งานเลี้ยงง่ายๆ แต่ก็เป็นอาหารปรุงชั้นเลิศจากพ่อครัวหอรุ่งเรือง
หม่าซานเปียวกับถานเจียงก็มา หม่าซานเปียวขอตัวลากับหวังทงกลับบ้านไปเก็บกวาดก่อน ถานเจียงอยู่รับใช้ต่อ พอเลิกม่านที่หนักออก ในห้องอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เห็นเขาเข้ามา หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนก็ยืนขึ้นพร้อมกันประสานมือทักทาย อยู่กับพวกเขาแล้ว หวังทงรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก ยิ้มกล่าวว่า
“ล้วนคนกันเอง ไม่ต้องมากพิธี อยู่เทียนจินมานาน พอมาเมืองหลวงรู้สึกอากาศแห้งไปหน่อย ไม่ชินเลย”
หลี่ว์วั่นไฉไม่ว่าเวลาใดมือมักถือพัดจีบ พอได้ยินวาจาวังทงก็แซวว่า
“ใต้เท้าหวังวันหน้ากลับไปเทียนจินอีก เกรงว่าก็คงไม่ชินกับอากาศชื้นที่นั่นแล้ว”
ทุกคนพากันฮาดัง หลี่เหวินหย่วนแต่ไรไม่ค่อยพูด ตอนนี้แม้ว่าเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร แต่หวังทงเป็นถึงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร อย่างไรก็เป็นนาย พูดจาจึงต้องให้ความเคารพดังเดิม
พอนั่งลงกันครบ หวังทงก็สั่งให้ถานเจียงกลับไปพักก่อน สามคนล้อมวงคุยกัน เริ่มจัดจานชาม พอถานเจียงออกไป หลี่เหวินหย่วนก็กล่าวว่า
“ใต้เท้า นักโทษที่จับได้จากนอกเมือง ตอนนี้ส่งไปที่สำนักรักษาความสงบบันทึกคำให้การพร้อมลงลายนิ้วมือไว้แล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับขุนนางหลายฝ่ายไม่น้อย หกกรมและกรมสอบสวน……ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวอีกสามสิบ เกรงว่าจะยุ่งยาก”
“ไม่มีอันใดยุ่งยาก พวกเขาถึงกับด่าว่าเงินก้อนจินฮวาเป็นเลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา เป็นการลบหลู่ฝ่าบาท ถึงตอนนั้นจะตัดสินโทษอย่างไร ก็ต้องให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย”
หวังทงกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย หลี่เหวินหย่วนพยักหน้าไม่กล่าวอันใดต่อ หลี่ว์วั่นไฉพัดเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า
“น้องหวังครั้งนี้ได้แสดงบารมีข่มพวกบัณฑิตชิงหลิวได้แล้ว จากครั้งนี้ไป น้องหวังไม่ว่าทำอันใด พวกนั้นคิดทำอะไรก็ย่อมต้องคิดให้มาก ไม่กล้าทำการบุ่มบ่ามอีกแล้ว”
“เดิมทีเงินก้อนนี้ก็เตรียมนำเข้าวังอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ในนามของเงินก้อนจินฮวา ระหว่างทางมาผ่านทงโจวเห็นคนมาสอดแนมมาก พอถามที่มาที่ไป จึงได้ส่งพวกซานเปียวเข้าเมืองมาแจ้งก่อน ตอนนี้ในสำนักอาชาหลวงมีโจวอี้ ฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงคิดมากในชื่อพวกนี้ จึงย่อมเปลี่ยนชื่อส่งมอบได้”
ได้ยินหวังทงตอบ หลี่ว์วั่นไฉก็หัวเราะลั่น พัดจีบเคาะฝ่ามือไม่หยุดกล่าวว่า
“พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวพวกนั้นเดิมคิดจะข่มบารมีใส่เจ้า คิดไม่ถึงว่าถูกเจ้าข่มกลับแทน คิดแล้วก็สะใจจริง”
สามคนชนจอกสุรา ในจอกมีสุราหวงจิ่ว ทุกคนดื่มกันพอเป็นพิธี หลังจากพูดคุยเฮฮาสักพัก หลี่ว์วั่นไฉก็วางพัดจีบลงบนโต๊ะ กล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า
“น้องหวัง นอกเมืองที่เสียหน้าก็คือพวกขุนนางบัณฑิต แต่ที่ถูกด่าคือฝ่าบาท ฝ่าบาทคงไม่พอพระทัยเรื่องนี้นัก”
หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“เรื่องวันนี้ เกรงว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัยนั้นไม่ใช่เพราะทรงถูกด่า เรื่องนี้ข้าคิดก่อนแล้ว ไม่ต้องกังวลไป!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หลี่ว์วั่นไฉก็ไม่คิดเอาเรื่องนี้มากล่าวต่ออีก กลับเป็นหลี่เหวินหย่วนก็เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ใต้เท้า เงินก้อนนี้นับว่าเป็นเงินก้อนจินฮวา เช่นนั้นเงินที่จะส่งเข้าวังก้อนนั้นยังให้อีกหรือไม่?”
“ย่อมต้องให้ ข้าสั่งการให้คนกลับไปเทียนจินนำมาเพิ่มแล้ว”
หลี่เหวินหย่วนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“เงินที่มอบให้ในวังเป็นบรรณาการ ข้าน้อยไม่ควรกล่าวมากความ แต่ไปๆ มาๆ สองล้านตำลึงส่งเข้าไปหมด เทียนจินเราเสียหายหรือไม่?”
หวังทงอึ้งไป ตามมาด้วยยกสุราขึ้นจิบ กล่าวว่า
“ผู้ใดไม่รู้ว่าเทียนจินนั้นเป็นดังภูเขาทองทะเลเงิน จำนวนที่เราส่งเข้าวังทุกปี อย่างไรไม่ช้าก็ย่อมมีผู้เห็นว่าน้อยไป การปล่อยให้ในวังเอ่ยเพิ่ม ไม่สู้เราเพิ่มให้ก่อน จำนวนนี้นำไปใช้เพื่อการหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะมีเป็นปกติ”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่เหวินหย่วนก็วางใจ หวังทงยิ้มออกมา ดื่มสุราในจอกหมดกล่าวว่า
“แม้จะกำหนดว่าปีละสองล้านก็ไม่เท่าไร ทุกคนรู้แต่ว่าเทียนจินเป็นดังภูเขาทองทะเลเงิน ภูเขาสูงเท่าไร ทะเลลึกเท่าไร พวกเขาไม่รู้ ไม่ต้องกังวล!”
สีหน้าหวังทงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
***********
ประตูตงจื๋อเหมินของเมืองหลวงมีบัณฑิตมารวมตัวกัน ยังมีราษฎรมุงดู เห็นว่าเกิดเหตุกระทบกระทั่ง เรื่องนี้สำนักรักษาความสงบย่อมมีรายงาน เช่นกัน สำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพร รวมทั้งศาลซุ่นเทียนก็ย่อมต้องส่งรายงานเข้าวัง
ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่กุมอำนาจเพียงผู้เดียว เอกสารพวกนี้ก็ย่อมมารวมกันอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร
ในห้องมีตะเกียงแขวนหลายดวง สว่างยิ่ง นี่ก็เป็นเรื่องที่หวังทงเอ่ยถึงในจดหมาย บอกว่ากลางคืนทำลายดวงตาหากสว่างไม่พอ ในห้องทรงอักษรจึงได้ปรับเป็นเช่นนี้
เจ้าจินเลี่ยงยืนอยู่พลางคิดว่าหรือว่าควรหาโอกาสออกจากวังไปพบหวังทง ในใจเขาตื่นเต้นมาก
ฮ่องเต้ว่านลี่ที่กำลังทอดพระเนตรรายงานกำลังหน้าบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ จางเฉิงด้านหลังมีท่าทีระแวดระวัง พอทอดพระเนตรจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โยนรายงานทั้งบนลงโต๊ะ ตรัสสุรเสียงเยียบเย็น
“นี่มันไม่ใช่หาเรื่องหวังทง แต่เป็นเรา ไม่มีท่านจาง ไม่มีจางซื่อเหวย เราคิดว่าประชาราษฎร์จะรู้ว่าใต้หล้านี่เป็นของผู้ใด แต่พวกเขายังพยายามสร้างระบบตัวเองขึ้นมา เราให้คนของเราเข้าวังมา พวกเขารับไม่ได้ จางปั้นปั้น จะต้องเอาให้หนัก ดูซิว่าเบื้องหลังคนพวกนี้มีผู้ใดบงการ ดูซิว่าผู้ใดกล้าเหิมเกริมบังอาจเพียงนี้!!”