ตอนที่ 687 ต่อหน้าพระพักตร์ รู้สึกบอกไม่ถูก
หยางจั้นออกมาจากจวนอู่ชิงโหว ก็ย่อมไปจัดการธุระของตน ฮูหยินอู่ชิงป๋อเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮาฉือเซิ่ง น้องสะใภ้ไปพบพี่สามีก็เป็นเรื่องสร้างสัมพันธ์ทางครอบครัวที่ดี
ตอนนี้ในวังมีข่าวอันใดก็ยากจะปิดบังฮ่องเต้ว่านลี่ ได้ยินจางเฉิงรายงานเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงหัวเราะออกมาตรัสว่า
“ไม่ไว้ใจหวังทง หรือว่าเรากันแน่ เหตุใดจึงให้ท่านน้าไปจับตาดูอีก จริงๆ เลย……”
แต่ก็มิได้ตรัสวาจาไม่น่าฟังอันใด อย่างไรไทเฮาฉือเซิ่งก็หวังดีต่อฮ่องเต้ว่านลี่ แม่ใส่ใจลูกเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องของอำนาจแต่อย่างใด
**************
ราชโองการในวัง ท่าทีต่างๆ รอบด้าน ตอนนี้หวังทงสถานะใดในเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้กันอยู่กระจ่างใจ
รองผู้บัญชาการหวังสถานะเช่นนี้ ผู้ใดกล้าไร้มารยาท การเข้ารับการฝึกเพิ่งลงมือก็ยืมโรงบ้านของเซี่ยงเฉิงป๋อตระกูลเฉินมาใช้งานได้
ในเมื่อจัดตั้งหน่วยฝึกทหาร เช่นนั้นทุกอย่างก็ล้วนเป็นเรื่องเปิดเผย ให้องครักษ์เสื้อแพรออกเงินซื้อโรงบ้านไว้ เพื่อไว้เป็นสนามฝึกทหาร เซี่ยงเฉิงป๋อเองก็ไม่ขาดทุน ซื้อโรงบ้านตอนนั้นได้มาถูก ตอนนี้ขายได้เงินเพิ่มสามเท่า หวังทงยังให้โรงบ้านสองแห่งทางตอนเหนือของเมืองเทียนจินมาทดแทนอีกด้วย
ตอนแรกไม่พอใจ คิดเลี่ยง แต่ตอนนี้พร้อมใจยกให้ ไม่กล้าเล่นลูกไม้ใดในเรื่องการฝึกทหารนี้ เจ้าดูเจ้าพวกนั้นสิ นั่น นั่น นั่น ไม่ใช่ว่าไม่ได้มาวันแรกหรือ ถูกถลกกางเกงโบยไปแล้ว ขายหน้าหมดสิ้น ตอนนี้ยังไม่มาถึงเรา อย่างไรก็ควรยอมทำไปแต่โดยดีดีกว่า
ยังมีอีกเรื่อง เจ้าดูเจ้าตัวใหญ่นั่นสิ ผู้ใหญ่หนุนหลังเป็นถึงผู้ใหญ่ในสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ยังถูกจัดการไปแล้ว ทุกวันต้องมาฝึกที่นี่
ด้านนอกฝึกทหารกันขยันขันแข็ง หากเขตทักษิณกลับมีสภาพไม่รู้จะร้องไห้หรือจะยิ้มดี พอหวังทงมาถึงเมืองหลวง รายงานของสำนักรักษาความสงบก็ล้วนส่งมาที่หวังทงโดยปริยาย หัวถนนท้ายซอยในเขตทักษิณเงียบไปมาก พวกเอาเปรียบคนอื่น พวกหัวขโมยและพวกรังแกสาวชาวบ้านก็น้อยลง ราษฎรล้วนชื่นชม
“เจ้าพวกนี้ออกไปฝึกนอกเมืองไปเลยก็ดี ไม่ต้องกลับมาแล้ว”
รายงานมีคำกล่าวเช่นนี้ เมื่อได้เห็นทหารองครักษ์เสื้อแพรไปเข้ารับการฝึก พวกนี้เป็นทหารในพระองค์ที่ไหน เห็นชัด ๆ ว่าเป็นนักเลงหากินเมืองหลวง ผู้ใดก็รู้สึกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
เริ่มแรกที่เก่อลี่กับโจวหลินปิ่งว่านอนสอนง่าย องครักษ์เสื้อแพรหลายคนไม่น้อยหัวเราะเยาะเขาสองคน หรือไม่ก็เสียดสีเยาะเย้ยลับหลัง เป็นนายกองพันมานานหลายปี ต่อหน้าหวังทงทำตัวราวกับหลานตัวน้อย ไม่มีท่าทางอันทรงเกียรติเลย ตอนนี้คนหัวเราะเยาะหายไปสิ้น เหลือแต่คนชื่นชมอิจฉา อิจฉาที่สองคนไว ประจบได้ทันท่วงทีก่อนผู้ใด!
หน่วยวินัยทหาร 5 กองร้อย มี 520 คน หวังทงยกตำแหน่งนี้ให้หลี่เหวินหย่วน หลี่เหวินหย่วนตอนนี้เป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร มาดำรงตำแหน่งนี้ก็ย่อมได้
‘คนงาน’ 500 คนที่หวังทงนำมาจากเทียนจิน ยามนี้ได้รับการปรับจากกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินแล้ว กลายเป็นพลทหารองครักษ์เสื้อแพร คนสามร้อยคนเสริมกำลัง แต่ละแห่งรู้ถึงความสำคัญหน่วยวินัยทหารหน่วยงานนี้ดี สำนักบูรพาส่งคนมากองร้อยหนึ่ง สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ย่อมส่งมาอีกหนึ่ง ไม่เช่นนั้นหากให้คนนอกครองไปหมด อย่างไรก็คงไม่เหมาะ สำนักรักษาความสงบก็มีทหารองครักษ์เสื้อแพรเหมือนกัน จึงนำคนมาเสริมอีก 100 นาย
หลี่เหวินหย่วนฝึกองครักษ์เสื้อแพร แม้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ฝึกแบบฝึกทหาร หลายปีนี้ฝึกขึ้นมาได้ ก็นับว่าเป็นพวกมีฝีมือ
ทหารองครักษ์เสื้อแพรสังกัดสำนักรักษาความสงบ กล่าวให้ถูกก็คือคนเก่าของหวังทงในตอนนั้น จะฟังคำสั่งผู้ใดก็ย่อมเป็นที่รู้กัน
เพื่อจะแยกองครักษ์เสื้อแพรสารวัตรทหารหน่วยวินัยทหารกับองครักษ์เสื้อแพรหน่วยอื่น ที่แขนขวาให้ผูกผ้าแดงไว้ แต่ทหาร 500 นายนี้มิใช่ว่าจะแต่งตัวเช่นนี้ตลอดเวลา ปกติ 2 คนเป็นหนึ่งกลุ่ม บ้างขี่ม้า บ้างเดินเท้า คอยลาดตระเวน บ้างก็แต่งตัวเป็นชาวบ้าน แอบสอดส่องทางลับ
ตอนเดือนสาม ถนนหนทางปรากฏเงาคนเดินมาจำนวนหนึ่ง วินัยองครักษ์เสื้อแพรเริ่มดีขึ้น การทำงานเห็นผลอย่างรวดเร็ว
หน่วยฝึกทหารจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่อารักขาฮ่องเต้และสืบราชการลับ ปกติส่วนใหญ่ก็จะพกดาบออกไปเดินส่ายไปมาตามท้องถนน ไม่รู้จักทำงานทำการอันใด
หัวหน้าฝึกในหน่วยฝึกทหารมาจากสำนักอาชาหลวงไม่ต้องพูดถึง เพราะทหารกองกำลังหู่เวยย่อมเป็นหลัก จากนั้นที่เหลือค่อยให้ที่มาจากสำนักอาชาหลวงคอยช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังมีมือปราบอายุมากมีประสบการณ์สูงจากศาลซุ่นเทียน คนมากประสบการณ์จากสำนักบูรพา สามารถรับหัวหน้าฝึกได้ตลอดเวลาและก็สามารถไปฝึกทหารได้ตลอดเวลาเช่นกัน
อีกหนึ่งที่อยู่ในขั้นตอนการเตรียมก็คือกองลาดตระเวน ทหารองครักษ์เสื้อแพรฝึกไม่เสร็จ นำไปใช้การย่อมไม่ได้ผลดี กลับเป็นภัยได้
คนเมืองหลวงต้องตกใจอีกครา หน่วยวินัยทหาร หน่วยฝึกทหาร กองลาดตระเวน สามหน่วยนี้ พูดว่าจะทำไม่ยาก แต่หากลงมือทำกลับมีเรื่องให้ต้องเตรียมมากมาย ต้องมีความสามารถ ต้องมีวิธีการ ต้องมีกำลังทรัพย์คอยหนุน คิดไม่ถึงว่าหวังทงทำได้สำเร็จราวกับเป็นเรื่องง่าย หน่วยวินัยทหารกับหน่วยฝึกทหารเริ่มดำเนินการแล้ว เริ่มปฏิบัติหน้าที่แล้ว
ความสามารถในการจัดการงานเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและกำลังที่แท้จริงอันใดกันนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง ทุกคนเริ่มมีความรู้สึกต่อหวังทงไม่เหมือนเดิม
ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จำนวนครั้งที่หวังทงเข้าวังก็มากกว่าคนอื่น เป็นขุนนางนอกวัง มักได้เข้าวัง นี่เหมือนว่าไม่ถูกตามธรรมเนียมเท่าไร
เมืองหลวงมีคนต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะขุนนางบัณฑิตชิงหลิวอายุน้อยที่อยากสร้างชื่อ เห็นหวังทงกำลังโด่งดังยิ่งใหญ่ หากยื่นฎีกาเขาว่าไม่รักษาธรรมเนียม แม้ไม่สำเร็จแต่ก็คนทำให้มีคนหันมาสนใจตนเองบ้าง
ยังมีคนคิดแต่ก็ยังลังเล ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรหากสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์น่าจะได้ผลดีกว่า มีคนคิดหาแนวร่วม คิดไม่ถึงว่าไปเสนอแต่ละแห่งที่มีผู้ชุมนุมกันมาก กลับได้เสียงตอบรับไม่มาก ยังมีคนออกปากเตือน ตอนหวังทงเข้าวังมาเรื่องพวกนั้นเจ้าลืมไปแล้วหรือไร?
ตัวอย่างขุนนางลบหลู่เบื้องสูงกว่า 30 ชีวิตเห็นๆ อยู่ มีคนพอได้ยินเช่นนี้ก็ถอย แต่ก็ยังไม่รู้สึกยินยอมจากใจ กล่าวว่าต้องการทำเพื่อแผ่นดินด้วยใจภักดิ์ จะมามัวคิดมากเรื่องผลได้ผลเสียส่วนตัวได้อย่างไร
ทว่าคนที่คิดทำเรื่องเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องไปหาหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิง หากไม่มีพวกเขาหาแนวร่วมก่อการ เรื่องใดก็ดูเหมือนส่งแรงกระเพื่อมได้ไม่เท่าไร
สำหรับหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงสองคนแล้ว ตอนนี้เรื่องใดที่เกี่ยวกับหวังทง พวกเขาล้วนต้องหลีกให้ไกล ได้ยินคนคิดลงมือ หากสัมพันธ์ดีก็จะตักเตือนสักสองสามคำ หากไม่สนิทกัน ก็ไม่กล่าวอันใดแม้คำเดียว
พอเป็นเช่นนี้มา แม้ว่าคนไม่ฉลาดก็ยังต้องเข้าใจ ล้วนรับรู้ได้จากท่าทีของบรรดาขุนนางบัณฑิตชิงหลิว จึงต้องพากันเก็บธงเก็บกลองไม่หาเรื่องใส่ตัว
แต่แม้ว่าเป็นที่ต้องห้ามเช่นนี้ แต่ก็ยังมีพวกหัวทึบอยู่บ้าง หากพอพวกเขายื่นฎีกาไป ฎีกานั่นก็เหมือนก้อนหินหายต๋อมไปกลางทะเลเสียอย่างนั้น ไม่มีข่าวคราว จากนั้นพวกเขาก็ยิ่งถูกผลักไสจากคนหน่วยงานเดียวกัน
************
“ฝ่าบาท ปลากุ้งหอยพวกนี้พอจับมาได้ ก็ใช้ถังไม้ใส่น้ำทะเลม้าเร็วส่งมาเมืองหลวง ระหว่างทางใช้เวลานาน ยังต้องเตรียมน้ำเปลี่ยนระหว่างทาง”
บนโต๊ะเสวยมีอาหารแปลกๆ มากมาย พระกระยาหารในวังส่วนใหญ่เน้นหมูเนื้อไก่แพะ บางที่อาจมีสัตว์น้ำสัตว์ทะเลพวกปลากุ้งหอยบ้าง แต่ก็ก็ต้องรอหน้าหนาวที่แช่แข็งมา ปกติไม่ค่อยได้เห็น แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม บนโต๊ะเสวยเต็มไปด้วยอาหารทะเล
เป็นของที่หวังทงทูลเกล้าถวาย จัดการมาจากเทียนจินเรียบร้อย ส่งคนส่งมาเมืองหลวง อย่าว่าแต่วัตถุดิบเลย แม้แต่พ่อครัวก็มาจากเทียนจิน
ฮ่องเต้ว่านลี่วันๆ จะไม่มีอะไรให้ทำมากนัก พอมีสหายเข้าวังมาร่วมเสวยและสนทนาคุยเล่นด้วย และยังมีของแปลกใหม่ที่พระองค์ไม่ค่อยได้ทรงพบเห็นบ่อย ก็ดีอารมณ์ดียิ่ง งานเลี้ยงครึกครื้นอย่างมาก
“หวังทง ยุ่งยากเช่นนี้ เกรงว่าพวกนอกวังคงจะว่าสิ้นเปลือง……”
จางเฉิงกระซิบขึ้น สถานการณ์ตอนนี้เขาย่อมรอรับใช้อยู่ข้างพระวรกาย ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“จางกงกง จากเทียนจินมาเมืองหลวงไม่ไกล จะสิ้นเปลืองก็จะสักเท่าไรกัน หากฝ่าบาทเสวยพอพระทัย หน้าร้อนก็ส่งมาทางคลองส่งน้ำได้เร็ว ค่าใช้จ่ายขนส่งน้อยกว่า สะดวกกว่าด้วย”
หวังทงอธิบาย จางเฉิงยิ้มไม่กล่าวอันใด ตะเกียบฮ่องเต้ว่านลี่คีบไม่หยุด พระองค์ชอบอาหารสองอย่างนี้มาก เสวยไปก็ตรัสไปว่า
“ปลากุ้งอย่างไรก็มีกลิ่นคาว กินแล้วไม่ชิน แต่หอยนี่ไม่เลว กุ้งแห้งตุ๋นเนื้อนี่ก็ดี รสชาติดีกว่าหอเลิศรสทำในตอนนั้นมาก”
กล่าวถึงเรื่องเมื่อก่อน ทุกคนก็หัวเราะดัง อาหารทะเลเต็มโต๊ะ อย่างไรก็ต้องกินกับสุราหวงจิ่วอุ่นกระเพาะ ฮ่องเต้ว่านลี่แม้คอแข็งอยู่ แต่หลายชามลงไป ก็เริ่มมึนเหมือนกัน
ในตอนนั้นเอง อาหารก็เก็บกลับไป เปลี่ยนเป็นชาสร่างเมา ฮ่องเต้ว่านลี่เมาเต็มที่ ตรัสอย่างตื่นเต้นยินดีพระทัยว่า
“หวังทงเจ้าทำได้ไม่เลว สองเดือนมานี้ รายงานแต่ละแห่งเราได้อ่านหมดแล้ว บรรดาราษฎรต่างชมเชย ที่อื่นๆ แม้ว่าไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้ากล่าวอันใด พวกที่เมื่อก่อนเคยชอบมีความคิดเห็น ตอนนี้ก็คล้อยตามมาก”
วาจาสุดท้ายจึงจะเป็นประเด็นสำคัญ หวังทงจัดการสำนักองครักษ์เสื้อแพรชื่อเสียงโด่งดัง เป็นการส่งสัญญาณบอกขุนนางใหญ่ที่ชอบคิดเองเออเองบางอย่าง ว่าฝ่าบาทต้องการกุมอำนาจมาก และทรงมีหวังทงคอยรับใช้ หวังทงที่แสนร้ายกาจ หากต้องการแข็งกร้าวใส่ ก็ย่อมต้องคิดผลที่ตามมาให้ดี
“ล้วนเป็นเพราะฝ่าบาททรงปกป้อง กระหม่อมจึงได้ราบรื่นเช่นนี้ได้!!”
หวังทงย่อมไม่โง่รับความชอบตรงๆ อย่างไรก็ต้องส่งความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่จิบชาไปคำหนึ่ง ก็พิงที่ประทับหลับพระเนตรลง พอลืมพระเนตรก็ถอนหายใจ สีพระพักตร์นิ่งลงไปมากตรัสว่า
“ต้องจัดการเปลี่ยนคนพวกนี้ทิ้ง เราจึงจะวางใจจัดการราชกิจไปได้ เมืองจี้โจวทางนั้นก็ต้องเปลี่ยนคน ให้รองแม่ทัพลี่อวิ๋นไหลแห่งเมืองเซวียนฝู่เข้ารับหน้าที่แทน”
ได้ยินเช่นนี้ทำเอาหวังทงอึ้งไป ชาวเมืองจี้โจว ไม่ใช่ว่าชีจี้กวงหรือ เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่จางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าส่งเสริมมา กุมอำนาจทหารในเมืองหลวงส่วนหนึ่ง และยังมีความดีความชอบมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาได้เป็นแม่ทัพเมืองจี้โจวต่อไปเป็นแน่
แม้คิดเช่นนี้ แต่ในใจหวังทงก็รู้สึกบอกไม่ถูก อวี๋ต้าโหยวจากไป หม่าฟางก็ชรา หลี่เฉิงเหลียงค่อยๆ จมกับความร่ำรวยวาสนาเงินทอง ชีจี้กวงก็ต้องจากเมืองจี้โจวไป ขุนพลใหญ่ยุคนี้ ล้วนไม่หลงเหลือแม้สักคน?