Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 695

ตอนที่ 695 เห็นผลทันที พบกันนอกเมือง

‘โบยหนัก’ สำหรับราษฎรเมืองหลวงที่เห็นโลกมามากยังเห็นเป็นเรื่องใหม่ รู้จุดประสงค์ของประกาศเช่นนี้ คิดให้ดีก็รู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องสมควร

หัวขโมยในเขตทักษิณถูกจับกุม ถนนตะวันตกจับกุมนักต้มตุ๋น ข่าวนี้พวกเริ่มมากขึ้น พอจับได้ก็เพิ่มบทลงโทษจากบทบัญญัติเดิม โบยไม้ 30 ก็เพิ่มเป็น 60 และคนลงทัณฑ์ก็มิใช่พวกเจ้าหน้าที่ชำนาญการพวกเดิม แต่เป็นทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ผ่านการฝึกเสร็จ

หลังการฝึกที่ยากลำบาก ครูฝึกทั้งตีทั้งด่า แต่ละคนล้วนอัดอั้น ตอนลงมือโบยก็ย่อมไม่เบามือ บางคนโดนโบยจนตาย บางคนโบยจนพิการไปก็มี

คนพวกนี้ตีตายไปก็ไม่มีผู้ใดคิดสงสาร แต่ไม่เป็นไปตามเจตนารมย์เดิมของหวังทง จึงมีคำสั่ง วันหน้าให้เปลี่ยนเป็นโบยแส้แทน

แส้แม้ทำให้เนื้อแตกเละ แต่ลงยาก็รักษาให้หายได้ คนก็ไม่ถึงขั้นพิการ แต่หลังจากรักษาเสร็จ ก็ไม่ใช่ปล่อยตัวกลับไป แต่ให้เอาไปขังไว้นอกเมืองก่อน โรงบ้านนอกเมืองมีมาก งานให้ทำก็มาก คนพวกนี้เข้าออกล้วนมีทหารที่เข้ารับการฝึกคุมตัว คิดจะหนีก็ยาก

ตอนประกาศระบุชัด หลังจากลงโทษแล้ว ยังต้องใช้แรงงาน ให้ฝึกระเบียบคนพวกนี้ จึงจะปล่อยเป็นอิสระ

บางคนทำงานในโรงบ้านได้หนึ่งเดือนก็ได้รับการปล่อยตัว บางคนกลับถูกส่งไปโรงบ้านตอนเหนือของเทียนจินไปทรมานทำงานต่อ

หัวขโมยโชคร้ายคนแรกถูกส่งไปที่ทำการ โบยไปหลายสิบไม้ทนไม่ไหวตายไป บรรยากาศการรักษาความสงบในเมืองหลวงก็ดีขึ้น จับได้ถึงชีวิต ไม่มีผู้ใดไม่กลัว

พวกทำงานผิดกฎหมายหรือพวกนักเลงหัวไม้รังแกชาวบ้านเห็นเช่นนี้ ออกจากเมืองได้ก็ออกไป ไปถึงพาญาติได้ก็ไป หลบได้ก็หลบ อยู่บ้านก็หวาดหวั่นใจ ไม่กล้าทำอันใดเลย มีบางคนแอบวิพากษ์วิจารณ์ว่าลงโทษโหดเหี้ยมใช่ว่าจะปฏิบัติได้นาน รอให้คลื่นลมสงบค่อยโผล่หัวออกมาก็ได้

คิดไม่ถึงว่าการโบยหนักผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวมาว่า องครักษ์เสื้อแพรกำลังไปค้นคดีจากศาลซุ่นเทียน คดีเก่าๆ ก็ล้วนรื้อออกมาจัดการ ต้องสืบให้กระจ่าง

โลกนี้ไม่มีการสมคบคิดที่สมบูรณ์ ตอนโดนคดีจ่ายเงินไปแล้ว จึงดึงให้เรื่องผ่านเลยไปได้ องครักษ์เสื้อแพรต้องการสืบต่อจริง มีหรือจะสืบไม่ได้ความ

ข่าวนี้แพร่ออกไป แม้พวกที่เก็บอาการได้ดีก็ยังต้องเร่งออกจากเมืองหลวงไป เกรงว่าจะถูกกวาดล้างมาถึง โบยตายไม่ว่า ไปใช้แรงงานนี้ทนไม่ไหว!

ท่าทีของแต่ละแห่งในเมืองหลวงต่อองครักษ์เสื้อแพรแต่ไรมาก็ไม่ใส่ใจ ถึงกับเอนไปทางรังเกียจ แต่พบกันทุกวันก็ชินชา หากหลังจากเริ่มโบยหนักไป แต่ละแห่งก็ให้มององครักษ์เสื้อแพรสูงค่ากว่าเดิมมาก ทหารองครักษ์เสื้อแพรลาดตระเวนบนถนน ก็มีคนเดินผ่านไปมายกนิ้วให้ ชมเชยสองสามคำ

ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวส่วนใหญ่เป็นลูกหลานคนมีฐานะ ปกติไม่เคยรู้สึกถึงการรักษาความสงบในเมืองหลวงว่าเป็นเช่นไร แต่ไม่อาจทนรับเสียงชมเชยจากพวกยากจนพวกนั้นได้ แม้คนงานรับใช้ตนเองก็ยังว่าดี ใจประชาเป็นเช่นนี้ ยังเป็นหวังทงดำเนินการ พวกเขาไม่กล้าไปกล่าววาจาเหลวไหล กล่าวว่าโหดเหี้ยมอันใด หรือกล่าวว่าไม่ถูกต้องอันใด ได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น

ตั้งแต่เดือนห้าเริ่มโบยหนักมา ราษฎรเมืองหลวงเริ่มชมเชยใหญ่ ขุนนางกลับทำเป็นไม่รับรู้ ราวกับไม่มีเรื่องเช่นนี้

*********

เหตุที่ขุนนางกับบัณฑิตไม่สนใจต่อการรักษาความสงบขององครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวง หนึ่งเพราะไม่อยากให้หวังทงได้หน้า สอง มีเรื่องใหญ่อีกเรื่องดึงดูดทุกคนให้หันไปสนใจ

เดือนสี่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 พระสนมกงประสูติพระโอรส ในวังพระราชทานนามว่า ฉางลั่ว พระโอรสองค์นี้มีความหมายต่อฮ่องเต้ว่านลี่อย่างมาก เพราะเป็นพระโอรสองค์แรกของฮ่องเต้ว่านลี่ ราชวงศ์สืบต่อมาได้ก็ด้วยสายพระโลหิต เมื่อเป็นองค์ชาย ก็หมายความว่าแผ่นดินหมิงมีผู้สืบทอดแล้ว ย่อมเป็นเรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน

แต่ละแห่งล้วนมีสารถวายพระพร ตามธรรมเนียม ควรจะจัดเลี้ยงใหญ่พร้อมเชิญบรรดาขุนนางมาพร้อมหน้า พระราชทานอภัยโทษทั่วหล้า แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทรงทำ มีเพียงพระราชทานพระนาม จากนั้นก็ไม่ถามไม่ไถ่

ทุกคนเดิมกำลังดีใจกันอยู่ แต่การกระทำในวังเช่นนี้เหมือนว่าสาดน้ำเย็นใส่หน้าทุกคน ทำเอาขุนนางไปไม่เป็น เรื่องพระโอรสองค์โตก็เงียบไปเช่นนี้เอง

ข่าวในวังแพร่ออกมาอย่างรวดเร็วว่า ฝ่าบาทยังทรงโปรดพระสนมเอกเจิ้งเป็นพิเศษ มีบ้างที่เรียกพระสนมอื่นมารับใช้ แต่ฮองเฮากับพระสนมกง ไม่เคยทรงสนพระทัยเลย

ฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไร วิเคราะห์จากจุดนี้ก็คงกระจ่างแล้ว บรรดาขุนนางก็ไม่เร่งร้อนใจ ทารกน้อยก็ยังไม่ได้เติบใหญ่ อาจสิ้นพระชนม์แต่เยาว์วัยก็เป็นได้ รออีกสักสองสามปีกค่อยพูดถึงก็ไม่สาย

***********

หลังเริ่มปฏิบัติการรักษาความสงบเมืองหลวง ก็เริ่มเห็นผล ไม่ว่ายุคสมัยใด พวกนักเลงท้องถิ่นหรือพวกโจรชั่วลักเล็กขโมยน้อยก็ล้วนเป็นแค่หมูหมากาไก่ยามเผชิญหน้ากับทางการ ไม่อาจเทียบสถานะได้ ขอเพียงทางการจริงจัง ลงมือกวาดล้าง ก็คงไม่พบผู้ใดต่อต้าน นับประสาอันใดกับองครักษ์เสื้อแพรกำลังเข้มแข็งเช่นนี้ ดูแลโดยหวังทงขุนนางทรงอำนาจที่เก่งกล้า

ปฏิบัติงานสบายๆ ทุกวันทางการมีรายงานมาถึงหวังทง ว่าจัดการคดีอันใดไปบ้าง มีผลอย่างไร ล้วนมีรายงาน สำนักรักษาความสงบก็เขียนรายงานปฏิกิริยาในหมู่ราษฎร เดิมความคิดราษฎรที่มีต่อหวังทงได้รับมาจากพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวไม่น้อย คิดว่าหวังทงเป็นขุนนางชั่ว เหมือนเจียงปิน เฉียนหนิง พอการ ‘โบยหนัก’ จัดการไประยะหนึ่ง ได้ผลสำเร็จ กลับมีคนไม่น้อยกล่าวว่า ‘มือสะอาดและยุติธรรม’

“ใต้เท้า คลังเก็บเงินนอกเมืองสร้างเสร็จแล้ว เงินที่มาจากเทียนจินพรุ่งนี้ก็เอาเข้าไปเก็บได้แล้ว ท่านซุนต้าไห่ดูแลเรื่องนี้อยู่คงไม่เกิดข้อผิดพลาด”

“ก็แค่ขุดดินสร้างห้อง เรียกว่าคลังเก็บเงินอันใดกัน ฟังแล้วขำ แต่มาคิดดูตอนข้าเข้าเมืองหลวงมา พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาขวางทาง พวกเขาสิน่าขำกว่า ระยะห่างจากเมืองหลวงไปเทียนจินแค่นี้ หรือว่าข้าต้องขนมาทีเดียวหมด ช่างเลอะเลือนแท้!”

ฟังหยางซือเฉินรายงาน หวังทงยิ้มสัพยอกออกไป ตอนมาเมืองหลวง หวังทงนำเงินส่วนตัวมาเพียงไม่กี่หมื่นตำลึง ที่เหลือส่งเข้าวังเป็นเงินก้อนจินฮวา

หากเงินก้อนใหญ่ที่จะนำมาจริงๆ ก็ล้วนต้องแบ่งนำมา อาจมาทางเรือ อาจมาทางรถ นำเข้าเมืองหลวงอย่างไม่เตะตาผู้ใด ยามนี้ไม่มีคนสนใจแล้ว หยางซือเฉินยิ้มตามกล่าวว่า

“ปีนี้รายได้ร้านสามธาราแต่ละแห่งล้วนมากขึ้นอีกหลายส่วน มีเรือซาต้าเฉิงมาร่วมด้วย การค้าเทียนจินเรากับเมืองเหลียวโจวก็ยิ่งเร็วขึ้นมาก หลายร้านค้าไปเปิดสาขาที่เหลียวหยาง เสิ่นหยาง และอีกหลายแห่ง แต่ร้านสามธาราเราเปิดการค้าก่อน ครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าภูเขาทองทะเลเงินโดยแท้”

หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“ซุนโส่วเหลียนเองมองตาเป็นมัน อย่างไรเราก็ได้กำไร แม่ทัพหลี่เฉิงเหลียงเมืองเหลียวโจวกับเกากงกงก็ด้วย ให้แบ่งไปด้วย จดหมายนี้รีบส่งไปให้จางซื่อเฉียง จางซื่อเฉียงผู้นี้ทำงานอันใดก็ต้องล้วนไม่ผ่อนปรน บางครั้งเสียดายเงิน เงินพวกนี้ควรจ่ายก็จ่ายไป”

หยางซือเฉินยิ้มรับคำ รีบเขียนทันที ทุกอย่างในเทียนจินเข้ารูปเข้ารอยแล้ว พอหวังทงมาถึงเมืองหลวง อำนาจก็ยิ่งมากขึ้น และตำแหน่งงานเดิมที่เทียนจินก็ยังอยู่ ทุกคนเห็นกันอยู่ ก็รู้ว่านี่เป็นสัญญาณที่ส่งออกมาจากในวังให้ทุกคนได้รับรู้

ไม่มีผู้ใดหน้ามืดคิดไปแตะต้องเทียนจินเด็ดขาด แม้ตอนนี้จะเป็นแหล่งรวมเงินทองอันหนึ่งอันดับสองในใต้หล้านี้ก็ตาม คิดจะแตะต้องก็เหมือนแย่งเนื้อจากในวัง ยังต้องระวังวิธีการเอาคืนของหวังทงอีก

“ข้าอ่านข่าวแจ้งจากเทียนจิน ตอนนี้ของที่ผลิตได้จากโรงช่างกับโรงต่อเรือล้วนเป็นของส่วนตัวเราหรือ?”

“ไม่ใช่ แต่ก็มีคนถาม โรงช่างว่ายินยอมขายปืนไฟให้พวกเขาไหม ให้ราคาสองเท่า หากสามารถช่วยติดตั้งบนเรือได้ ก็คุยราคากันได้?”

ได้ยินหยางซือเฉินตอบ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า

“ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งลงมา ขายได้ ห้าเท่าจากราคาเดิม และต้องมีคนรับประกันด้วย”

กล่าวไปแล้ว หวังทงก็เงียบไปครู่หนึ่ง สร้างอาวุธอานุภาพร้ายแรงขึ้นมา ยังมีเรือทะเลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของพวกนี้ควรให้ทหารหมิงได้ใช้งาน และยิ่งควรติดตั้งให้กับทัพเรือหมิงออกทะเล อาวุธและเรือที่ผลิตจากเทียนจินนี้แม้มีชื่อเสียงทั่วหล้า กลับไม่มีทหารทางการมาถามสักคำ

แต่คิดแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ ทหารไปรับอาวุธจากคลังอาวุธ อาวุธเช่นไรก็ไม่อาจกล่าวอันใด ไม่ต้องใช้เงินสักแดง แม้ว่าไม่ดี แต่เงินติดสินบนส่งอิทธิพลมากกว่า อีกอย่าง ทหารก็ทหารแผ่นดินหมิง เกี่ยวอันใดกับตน อาวุธยุทโธปกรณ์ดีไม่ดี อานุภาพดีหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับตนด้วย ไยต้องเสียเงินของกรมทหารที่เดิมก็มีไม่มากไปซื้อหาของดีๆ มาด้วย เก็บไว้กินใช้เองไม่ดีกว่าหรือ?

หวังทงไม่คิดเรื่องนี้นานนัก เขาอยู่ในตำแหน่งมานานพอที่จะเดาเรื่องราวพวกนี้ได้เอง ไม่จำเป็นต้องร้อนใจไป

“ใต้เท้า โจวกงกงแห่งสำนักอาชาหลวงมา”

กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงทหารรายงานดังมาจากด้านนอก ตอนนี้โจวอี้ยุ่งกับการงานในสำนักอาชาหลวง เวลาได้ออกนอกวังก็น้อยลง ได้ยินว่าเขามา หวังทงก็ไม่รอช้า รีบเชิญเข้ามาพร้อมยกน้ำชามาต้อนรับ

“โจวกงกง ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม?”

“ไม่เจอกันแค่เดือนเดียวเอง ไม่เรียกว่านาน ข้ามีงานสำคัญ น้องหวังให้คนไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนเถอะ!!”

รอในห้องเหลือเพียงสองคน สีหน้าโจวอี้ก็เคร่งเครียด กล่าวว่า

“มาครานี้ ข้ามีพระดำรัสฝ่าบาทมาด้วย”

หวังทงรีบลุกขึ้น ก่อนจะคุกเข่ารับราชโองการ โจวอี้โบกมือยิ้มกล่าวว่า

“แค่เจ้ากับข้าสองคน ไม่กี่คำ ฝ่าบาทส่งให้ข้ากับเจ้าออกไปนอกเมืองพบคนคนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าออกเดินทาง เป็นความลับ ไม่ให้คนอื่นรู้”

แม้โจวอี้กล่าวเช่นนี้ แต่หวังทงก็ยังทำตามธรรมเนียม พอได้ยินโจวอี้พูดเช่นนี้ เขาก็งงไป ไปพบใครกัน?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version