Skip to content
Home » Blog » องครักษ์เสื้อแพร 710

องครักษ์เสื้อแพร 710

ตอนที่ 710 เปรียบเทียบ ความคิดหมื่นพัน

ป้ายประกาศเกียรติคุณที่ส่งมอบมานี้ย่อมส่งมอบให้ทหารองครักษ์เสื้อแพรรับไป เห็นคนตระกูลหลัวจากไปแล้ว หลังหน้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มีคนชะโงกหน้าออกมาดู

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่หวังทงก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นที่เพิ่งมาถึง กระแอมไอถามขึ้น

“ผู้บัญชาการลั่ว ใต้เท้าหวัง ป้ายประกาศเกียรติคุณตรงนั้น จัดการอย่างไร!?”

พอถาม ลั่วซือกงก็ได้สติก่อน ยิ้มกล่าวว่า

“ย่อมต้องแขวนไว้ในห้องทำงานใต้เท้าหวัง……”

กล่าวไม่ทันจบ ลั่วซือกงก็ส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า

“ตระกูลข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรมาหลายรุ่น ได้ยินมาว่าตกดึกมีคนมาโยนสุนัขตาย สาดเลือดไก่หน้าประตูที่ทำการ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนมามอบป้ายประกาศเกียรติคุณ วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้วๆ !”

หวังทงโบกมือให้ทหารที่กำลังเคลื่อนป้ายประกาศเกียรติคุณ ตะโกนบอกว่า

“รีบยกเข้ามา อย่าได้ขวางทางผู้ปฏิบัติหน้าที่ สั่งสอนอบรมบุตรชายให้ ส่งไปใช้แรงงานที่เทียนจินเดือนหนึ่ง เดิมคิดว่าคงมาเอาเรื่อง คิดไม่ถึงว่าจะเอาป้ายประกาศเกียรติคุณมาให้ ข้าคิดไม่ถึงเลย น่าสนใจจริง”

หยางจั้นหันไปไล่พวกคนมุงให้กลับไป หันหลังเดินตามหวังทงกับลั่วซือกงเข้าไป ยิ้มกล่าวว่า

“คนเช่นนี้ในเมืองหลวงไม่น้อย ตระกูลขันที คนที่เป็นขุนนางไม่อยู่แล้ว ลูกหลานรู้ความก็ดีไป ไม่รู้ความหรือไปก่อเรื่องข้างนอก ไปเล่นพนัน หรือใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่กี่ปี หากไม่ใช่ตระกูลล้มละลาย ก็ย่อมก่อคดีตามมา ฮูหยินเฒ่าตระกูลหลัวตอนนี้ยังดูแลตระกูลอยู่ บุตรชายก่อเรื่องเช่นนี้ คงคิดทั้งวันว่าวันหน้าจะทำอย่างไร พอใต้เท้าสั่งสอนไป จัดการจนรู้ความมากขึ้น อยู่แต่บ้านไม่ไปไหน ฮูหยินเฒ่าคงไม่ต้องกังวลว่าตระกูลจะล่มสลายหรือบุตรชายจะต้องตายไร้ที่ฝัง จะไม่ขอบคุณใต้เท้าได้อย่างไร?”

หวังทงยิ้มส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนจริง แต่จวนเขายังมีคนรอหารือธุระอยู่ ไม่อาจอยู่ที่ทำงานต่อได้นาน รับคำตามมารยาทสองสามคำก็กลับออกไป ลั่วซือกงกับหยางจั้นรู้ว่าเขางานยุ่ง กล่าววาจาตามมารยาทแล้วก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อ ตั้งสามหน่วยงานใหม่ รับคนใหม่มาไม่น้อย องครักษ์เสื้อแพรงานเดิมก็ไม่ได้น้อยลง แต่กลับยิ่งมากขึ้น ทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างงานเหมือนเมื่อก่อน

คนอื่นยุ่ง แต่นายกองร้อยโหวเจินกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรกับหลานของเขาโหววั่นไฉกลับรีบออกมาส่งหวังทงที่ประตู คนรอบๆ มองอย่างอิจฉา โอกาสเอาใจนายเช่นนี้ คิดจะโผไปเสนอหน้าก็คงไม่มีคุณสมบัติพอ

“องครักษ์เสื้อแพรตั้งมาเกือบสองร้อยปี จากเมืองหนานจิงย้ายมาเมืองหลวง แต่ไรมาไม่เคยได้ยินผู้ใดได้รับป้ายประกาศเกียรติคุณมาก่อน ใต้เท้าได้รับเกียรตินี้ ชาวองครักษ์เสื้อแพรก็พลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย ข้าน้อยกับวั่นไฉขอประกาศเกียรตินี้ของใต้เท้า ให้ความยุติธรรมและลงโทษไม่ไว้หน้าผู้ใดดังเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง”

โหววั่นไฉข้างๆ ก็พลอยยิ้มตามกล่าวว่า

“ลูกหลานกลับตัวได้ ชาวบ้านชอบกระจ่ายข่าวพวกนี้ ข้าน้อยจะไปกระจายข่าวทุกที่ ทุกคนย่อมอยากฟัง ไม่แน่อาจทำให้มีคนเอาไปแต่งนิทานเล่ากันก็ได้นะ!”

หวังทงอึ้งไป ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“ท่านอาหลานทำงานได้ไม่เลว ช่วยข้าได้มาก พรุ่งนี้เช้า นายกองร้อยโหวมาห้องทำงานข้า มีเรื่องสอบถาม ที่จวนข้ายังมีงาน ขอตัวก่อน!”

ตั้งแต่หวังทงปฏิบัติหน้าที่มาถึงวันนี้ ลูกน้องไปรายงานที่จวนนับเป็นเรื่องปกติ กลับไม่เห็นหวังทงเอ่ยปากเรียกผู้ใดไปซักถาม นายกองร้อยโหวได้รับคำสั่งนี้ ก็ย่อมรู้สึกสนิทสนมกว่าคนอื่นไปอีกขั้น หวังทงไปพร้อมกับขบวนทหารอารักขา สองคนก้มหน้าคำนับ ยามอาหลานเงยหน้าขึ้น สีหน้าดีใจอย่างยิ่ง โหววั่นไฉหัวเราะดังออกมา โหวเจินหันไปตบหน้าอกโหววั่นไฉทีหนึ่ง ตำหนิว่า

“ทำตัวให้ดีหน่อย ให้คนอื่นเห็นเข้าคิดอย่างไร?”

กล่าวจบ ตนเองก็อดยิ้มไม่ได้

************

ไปกลับจวนรอบหนึ่ง คนที่มาจากเทียนจินก็ยังกินอาหารกลางวันกัน ได้ยินหวังทงกลับมา ก็คิดวางของกินในมือไปหารืองานต่อ หวังทงย่อมไม่แล้งน้ำใจ ให้ห้องครัวยกอาหารออกมา ตนเองกินร่วมกันกับทุกคนต่อ

หวังทงปกติกินข้าวเร็วมาก แต่ตอนกลับมาจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร เหมือนว่ามีเรื่องในใจ ค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กลืน คนรอบข้างไม่กล้ารบกวน

ธรรมเนียมของหวังทง ใครกินเสร็จก่อนไปทำงานก่อน ไม่ต้องรอหวังทง ทหารที่ฝึกลานด้านหลังกินกันเสร็จแล้วอย่างรวดเร็ว หวังทงนั่งอยู่ในห้องหนังสือมองออกไปด้านนอก

หวังทงยังถือแผ่นเปี๊ยะในมือ ได้สติหลังจากตกในภวังค์ความคิดมาระยะหนึ่ง เสียงการฝึกทหารด้านนอกทำให้ได้สติ คนอื่นกำลังฝึกตามปกติ แต่ถานเจียงกลับเรียกซาตงหนิงมาฝึกเดี่ยว สองคนถืออาวุธจริง กำลังฝึกสอนกันอยู่ ซาตงหนิงถือดาบทรงยาวและแคบคมกริบในมือ ส่องกระทบแสงตะวันวาววับ ในมือถานเจียงถือดาบยาวที่ขนาดไม่ต่างจากดาบในมือซาตงหนิงนัก แต่ไม่มีแสงวาววับ เห็นได้ชัดกว่าหนาและหนักไม่น้อย

สองคนถือดาบยาวในมือ ถานเจียงค่อยๆ เคลื่อนไหว ซาตงหนิงทำตาม ตั้งใจนิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวของถานเจียงจะหยุดอธิบายเป็นระยะ

หวังทงถูกคมดาบกระทบแสงวิบวับดึงความสนใจไป แสงสะท้อนแยงตา หวังทงส่ายหน้า ยิ้มเดินออกไปยังลานฝึก

“ถานเจียง ท่านกำลังถ่ายทอดวิชาดาบต้นกล้าให้ซาตงหนิงหรือ?”

ได้ยินหวังทงถาม ถานเจียงกับซาตงหนิงรีบเก็บดาบเข้าฝัก ตอบว่า

“นายท่านดูไม่ผิด ข้าน้อยกำลังถ่ายทอดวิชาดาบต้นกล้าให้แก่ซาตงหนิง”

ถานเจียงได้ชื่อว่าเป็นพ่อบ้านของหวังทง แต่ที่จริงแล้วเป็นหัวหน้าทหารอารักขาหวังทง เป็นหัวหน้าฝึกเด็กหนุ่มในหลายปีที่ผ่านมานี้ของหวังทง เขาเป็นต้นแบบทหารที่ถานกวนหล่อหลอมมาจากการรบกับพวกโจรสลัดทางตะวันออกเฉียงใต้ในตอนนั้น เชี่ยวชาญการรบและยุทธวิธีต่างๆ และยังสั่งสอนคนของหวังทงตามความสามารถของแต่ละคน

แต่คนส่วนใหญ่เรียนกันก็แค่ทวนยาวกับธนูและขี่ม้า การถ่ายทอดเพลงดาบนี้ หวังทงเห็นครั้งแรก เห็นสีหน้าสงสัยของหวังทง ถานเจียงก็ยิ้มอธิบายว่า

“ซาตงหนิงตอนเด็กได้ร่ำเรียนฝึกฝนเพลงดาบประเทศวัวมา ดาบต้นกล้าเดิมเป็นใต้เท้าชีกับใต้เท้าอิ๋วพัฒนามาจากเพลงดาบประเทศวัว ซาตงหนิงมีพื้นฐาน ย่อมเหมาะแก่การเรียน!”

หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“ไปตามหม่าซานเปียวมาหารือหน่อย ถานเจียง เรื่องศิลปะการต่อสู้พวกนี้ก็ควรเรียน แต่อย่างไรก็อย่าได้ทิ้งปืนไฟ หรือปืนใหญ่ก็ด้วย ต้องเรียนให้หมด พวกฮั่นซืออยู่นอกเมืองไม่ใช่หรือ พาเด็กหนุ่มพวกนี้ออกไปฝึกสักหน่อย ทหารติดตามข้า อย่างไรต้องชำนาญทุกอย่าง ไม่ต้องเก็บงำความรู้ ต้องเป็นทุกอย่าง”

ถานเจียงรีบรับคำ หวังทงหันหลังเดินกลับไป

*************

ตอนหวังทงกลับมายังห้องหารืองานที่ค้างไว้ จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ ก็กินอาหารกลางวันกันแล้ว กำลังรออยู่ หวังทงเข้ามา ทุกคนยืนขึ้น กำลังจะต่อ แต่หวังทงกลับถามขึ้น

“ตอนนี้หากต้องการทำคณะงิ้ว ต้องใช้เงินเท่าไร”

ได้ยินหวังทงถาม ทุกคนในห้องก็อึ้งไป เป็นกู่จื้อปินแห่งร้านสามธาราถามขึ้นอย่างสงสัยว่า

“ใต้เท้าต้องการซื้อคณะงิ้วเหนือหรือใต้ งิ้วเหนือ หญิงร้องสองสามนางกับอาจารย์เพลงพิณมาพร้อมกัน ก็ราว 2,000 ตำลึงได้ หากงิ้วใต้ คณะเว่ยเหลียงสอนมา หญิงร้องสิบคนกับคนอื่นๆ 8,000 เอาไม่อยู่ หากให้ผู้ใดไปหาซื้อจากซูโจว 15,000 ตำลึงคงได้มาแค่หญิงร้องห้านาง และยังเป็นมือใหม่ด้วย……”

ที่ว่ามาเป็นชุดทำเอาหวังทงถึงกับอึ้งไป ซุนต้าไห่ข้างๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ไม่กระจ่างนัก สัพยอกกล่าวว่า

“คิดไม่ถึงว่าเหล่ากู่ก็เป็นพวกเสเพลไม่เบา ภรรยาที่บ้านเข้มงวดไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าจะเข้าใจกระจ่างเช่นนี้”

ทุกคนวางตัวกันตามสบายจนชิน กู่จื้อปินรีบโบกมือกล่าวว่า

“ข้าไหนเลยจะกล้าไปซื้อคณะงิ้ว ไม่ใช่พวกใต้เท้าที่ร่ำรวยเงินทองทางเมืองเซวียนฝู่กับเมืองเหลียวโจวพวกนั้นหรอกหรือที่ไหว้วานให้ข้าไปติดต่อให้ จึงได้รู้ตลาดพวกนี้”

จางซื่อเฉียงที่เงียบไปพักก็แทรกขึ้นว่า

“ใต้เท้าทำงานเหน็ดเหนื่อย แต่งภรรยาหลวงภรรยาน้อย ซื้อหญิงสาวมาปรนนิบัติบ้างก็ดี เหล่ากู่ ไปซื้อที่ดีที่สุดมา พวกเราไม่ขัดสนเงินทอง”

ตอนนี้คนที่ส่ายหน้าก็คือหวังทงแทน เขายิ้มไม่ออก อยากจะร้องไห้แทนมากกว่า กล่าวว่า

“คณะงิ้วที่พวกเจ้าว่ามาเป็นพวกที่ร้องในจวนกระมัง? อย่าคิดมากขนาดนั้น ที่ข้าถามก็คือ คณะงิ้วเล่นทั่วไป!?”

ทุกคนหัวเราะดัง กู่จื้อปินกล่าวว่า

“นายท่าน ข้าน้อยแม้ไม่รู้ แต่เรื่องคณะงิ้วพวกนี้ไม่มีราคาเท่าไร สองพันตำลึงไม่มาก ขอเพียงมีที่อยู่ที่กินก็พอแล้ว”

“ซื้อมาแล้ว ให้พวกเขาร้องงิ้วเรื่องอะไร ก็ร้องงิ้วนั้นไป!”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น ซื้อมา พวกเขาก็เป็นดังบ่าวในบ้าน ย่อมฟังคำสั่ง!”

หวังทงพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“หลังหารือเรื่องวันนี้เสร็จ เหล่ากู่เจ้าก็ไปถามเรื่องคณะงิ้วมา แล้วก็นักเล่านิทานด้วย ดูว่าใช้เงินซื้อมาด้วยเลยได้ไหม อย่าเอ่ยชื่อข้า จำไว้เรื่องหนึ่ง พวกนักแต่งเรื่องเล่านิทานให้จ่ายเงินมากได้ ไปจัดการก่อน เสร็จแล้วมารายงานข้า”

ได้ยินหวังทงกล่าวเป็นการเป็นการ กู่จื้อปินรีบลุกขึ้นรับคำ หวังทงผ่อนคลายความคิด ยกมือเคาะเบาๆ ก่อนจะพูดหยอกกับตนเองว่า

“เมืองหลวงมีคณะงิ้วหรือ? ไปหาซื้อที่กว้างๆ สักที่ ด้านหน้ามีเวที ด้านล่างมีโต๊ะ ให้งิ้วแสดงบนเวที คนด้านล่างให้ซื้อของกินเล่นและน้ำชา ทำเป็นเหมือนกิจการร้านน้ำชา……”

คนในห้องคิดสงสัย แต่ยังจำได้ ที่แท้เมื่อครู่ที่เปิดบทสนทนามา ทุกคนยังคิดจะเตือนหวังทงเรื่องแต่งภรรยา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เอ่ยปาก ได้แต่กลืนวาจาลงท้องกันต่อไป หวังทงกำลังพูดอยู่นั้น หม่าซานเปียวก็ผลักประตูเข้ามา หวังทงหยุดพูด หันไปถามขึ้น

“ซานเปียว ทัพม้าเจ้ามีคนมาจากทุ่งหญ้านอกด่านเท่าไร หรือว่าเกิดที่นั่นเท่าไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version