Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 714

ตอนที่ 714 เชื้อพระวงศ์ลำบาก เปิดโรงงิ้ว

เชื้อพระวงศ์ในสายตาราษฎรก็คือชนชั้นสูงศักดิ์ร่ำรวย ไม่ต้องอยู่ใต้กฎหมายแผ่นดินหมิง มีสิทธิพิเศษมากมาย

แต่ที่จริงแล้ว เชื้อพระวงศ์ตระกูลจูแห่งราชวงศ์หมิงนี้ไม่ได้มีเกียรติเช่นนั้น โอรสฮ่องเต้นอกจากรัชทายาท ที่เหลือก็เป็นแค่ ‘อ๋อง’ ย่อมมีเกียรติยศวาสนาสูง แต่ลูกหลานชั้นต่อมานั้น นอกจากบุตรชายคนโตที่จะได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ ‘อ๋อง’ แล้ว ที่เหลือก็ล้วนได้แค่คำว่า ‘จวิ้นอ๋อง’ นอกจากบุตรชายคนโตของ ‘จวิ้นอ๋อง’ ที่จะได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อแล้ว ที่เหลือก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นขุนพลทหารระดับเจิ้นกั๋วแทน การจัดการเช่นนี้ไล่ลำดับไป จากนั้นก็จะเป็นขุนพลทหารระดับฝู่กั๋ว ระดับเฟิงกั๋ว ระดับรองเจิ้นกั๋ว ระดับรองฝู่กั๋ว และระดับรองเฟิงกั๋ว

นอกจากระดับอ๋องที่ได้รับพระราชทานที่ดินปกครอง ได้รับภาษีที่นาเป็นรายได้แล้ว ที่เหลือก็ล้วนเป็นเช่นขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วไป ได้รับเบี้ยเสบียงแทน

ตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจาง หมิงไท่จู่พระราชทานตำแหน่งอ๋องมาถึงตอนนี้ แผ่นดินหมิงก็มีประวัติศาสตร์มา 200 กว่าปีแล้ว พี่น้องฮ่องเต้ล้วนได้เป็นอ๋อง บรรดาอ๋องเหล่านั้นยังต้องมีลูกหลานสืบต่อ แต่คนเป็นฮ่องเต้กลับมีลูกหลานไม่มาก มักจะมีเพียงโอรสหนึ่งหรือสองคน แต่บรรดาจวิ้นอ๋อง ขุนพลทหารระดับต่างๆ กลับยิ่งมากขึ้น

สองร้อยปีมานี้ มีลูกหลานมาก ก็มีรายจ่ายมาก ถึงตอนนี้ ก็กลายเป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่ามหาศาล

ตั้งแต่ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินตี้ถูกล้มบังลังก์ไป ฮ่องเต้จูตี้แย่งบังลังก์มาครองได้ ก็ป้องกันบรรดาเชื้อพระวงศ์กันเข้มงวดมากขึ้น หากได้รับแต่งตั้งไปดำรงบรรดาศักดิ์พื้นที่ใด ก็ห้ามออกจากพื้นที่ หากต้องการออกไปที่ใดก็ต้องได้รับอนุญาตจากขุนนางท้องที่ก่อน วันๆ ได้แต่อยู่ในเมืองๆ นั้น นอกจากเกเรหาเรื่องไปวันๆ ก็ไม่มีเรื่องอันใดให้ทำ

อ๋องเชื้อพระวงศ์ระดับใดก็ตามนับว่ามีบารมีอยู่ ทางการไม่กล้าแตะต้อง ส่วนตำแหน่งอ๋องที่ได้รับพระราชทานจากความชอบทางทหาร เรียกได้ว่าไม่เท่าไร ไม่ต้องสนใจมาก

ใต้หล้านี้ เบี้ยหวัดของขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊ ล้วนไม่ค่อยได้รับตรงเวลา นับประสาอันใดกับเบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์ ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้จูตี้มา แต่ละแห่งก็ล้วนขัดสน

ไม่มีเงินเพราะไม่อาจออกไปจากเมืองที่ครองได้ และด้วยสถานะ คิดจะหาอาชีพทำก็ไม่ได้ ไม่รู้ทำเช่นไร จึงได้แต่ใช้วิธีการต่างๆ ในการเอาชีวิตรอด

คนซื่อก็ได้แต่ทนหิว คนที่มีหัวหน่อย ก็รวบรวมกำลังไปร้องเอากับขุนนางท้องถิ่นว่ายังไม่ได้เบี้ยพระราชทาน ทำเอาขุนนางท้องที่ทำหน้าไม่ถูก ได้แต่แบ่งเสบียงออกไปให้บ้าง

แต่การเงินแผ่นดินหมิงเพิ่งมาเต็มคลังก็เมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์เพราะจางจวีเจิ้งบริหารงาน 10 ปี ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นบริหารเงินแข็งขัน ก่อนหน้านี้ขุนนางร่ำรวยกันเอง แต่เงินบริหารแผ่นดินขัดสนอย่างมาก แม้ว่าเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนจะแกล้งเอ่ยถึงภาระค่าใช้จ่ายสำหรับเชื้อพระวงศ์ แต่จริงๆ ราชสำนักไม่ได้จ่ายเงินก้อนนี้ทั้งหมด หากส่วนใหญ่เป็นท้องถิ่นที่ต้องรับผิดชอบจ่าย

ราชสำนักไม่อยากจ่ายเช่นนี้ ท้องที่ก็ทำงานแบบไม่ตั้งใจ มักจะติดค้างกันหน้าด้านๆ ก็แค่เชื้อพระวงศ์ปลายแถว ผู้ใดจะไปสนใจกัน

ไปร้องทุกข์ที่ทำการก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด พฤติกรรมของเชื้อพระวงศ์เริ่มรุนแรงขึ้น บางคนไม่สนใจข้อห้ามแผ่นดินหมิง แอบหนีออกนอกเมืองไปฟ้องร้องที่เมืองหลวง ท้องถิ่นค้างเสบียงก็ย่อมมีหลายสาเหตุ ทว่าการฝ่าฝืนกฎออกนอกเมืองที่ประจำ เป็นความผิดใหญ่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกจำคุกก่อน เช่นนั้นก็ไม่สู้ตายดีกว่า

ดังนั้นที่เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายจะทำได้ก็มีแต่ไปแย่งชิงเสบียงกับทางการ……

เดิมคิดว่าเชื้อพระวงศ์โจมตีทางการเป็นเรื่องใหญ่ คิดไม่ถึงว่ามีเหตุจากเรื่องแค่นี้ หวังทงปกติไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่พอได้ฟังหยางซือเฉินเล่ามา ก็ตาโตอ้าปากค้าง

“พวกราชวงศ์ที่ครองบรรดาศักดิ์ที่เมืองต้าถงสายนั้นร้ายกาจที่สุด พวกเขาเคยรวมตัวกัน ให้คนที่แข็งแกร่งสุดเป็นผู้นำ รวบรวมกำลังออกปล้นเสบียงทางการ พอฮ่องเต้อู่จงส่งขันทีออกไปตรวจสอบ ก็ทำอันใดไม่ได้ บอกว่าก่อนหน้านี้ถึงกับมีเรื่องอดตายไปแล้ว นายอำเภอต้าถงเป็นตำแหน่งดีผสมร้าย นั่งในตำแหน่งนี้มีการค้าที่มีผลประโยชน์มาก ไม่ลำบากการเงิน แต่เมืองต้าถงเป็นเมืองชายแดน หลายเรื่องใช้ระเบียบทหารจัดการ ยากจะได้ดังใจ ยังมีเรื่องยุ่งยากอีกเรื่องคือเชื้อพระวงศ์มักปล้นทางการ หรืออาจรุมเจ้าหน้าที่ได้ เป็นขุนนางก็เพื่อหน้าตาวาสนา ไหนเลยจะทนรับได้!”

หวังทงส่ายหน้า ถามขึ้น

“เชื้อพระวงศ์แย่งชิงเสบียงทางการเป็นเรื่องที่เกิดบ่อยหรือ?”

หยางซือเฉินยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“ล้อมแย่งชิงก็ไม่กระไรนัก ขุนนางท้องที่มักจะทนจนทนไม่ได้จึงมาฟ้อง ปีรัชสมัยฮ่องเต้ซื่อจงปีที่ 25 เมืองต้าถงมีเชื้อพระวงศ์สมคบคิดกับพวกมองโกลนอกด่าน ต้องการเปิดประตูเมืองรับพวกมองโกล จึงเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นตกใจให้คนที่ได้รู้ ครั้งนี้ข่าวจากมณฑลซานซี อาจจะเป็นเพราะขุนนางที่นั่นทนไม่ไหวแล้ว”

ได้ยินหยางซือเฉินอธิบายแต่ต้นจนจบ หวังทงก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย เชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นเลือดเนื้อตระกูลจูแห่งแผ่นดินหมิง ถึงกับมีชีวิตแร้นแค้นเช่นนี้ สมคบพวกนอกด่านโจมตีแผ่นดินตนเอง หวังทงครุ่นคิดไปครุ่นคิดมา เคาะเอกสารกับโต๊ะไปมาก่อนจะยิ้มกล่าวว่า

“ตอนแรกคิดว่าสามารถใช้การสืบนี้ไปทางนั้นได้ ดูท่าแล้วหาทางอื่นดีกว่า”

*************

ตามระเบียบ ข่าวมาถึงสำนักองครักษ์เสื้อแพรได้สองสามวัน นายอำเภอเมืองไท่หยวนกับเมืองต้าถงและมณฑลซานซีก็ย่อมยื่นฎีกา ว่าเชื้อพระวงศ์โจมตีที่ทำการ ทำลายกฎหมาย ปล้นชิงเสบียง ขอให้ราชสำนักลงโทษ

ตนเองดูแลเชื้อพระวงศ์ไม่ดี ราชสำนักไม่อยากจะให้เป็นข่าวแพร่ออกไป เป็นเรื่องขายหน้า ล้วนต้องการจัดการเงียบๆ เมื่อก่อนฮ่องเต้น้อยไม่อาจตัดสินพระทัยได้ ตอนนี้ทรงจัดการเองได้ ก็ย่อมตามคนมาหารือ หวังทงย่อมเป็นตัวเลือก

“ฝ่าบาท กระหม่อมเองได้ยินเรื่องเช่นนี้ครั้งแรก องครักษ์เสื้อแพรมีรายงานมา ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรแล้ว เชื้อพระวงศ์ที่มณฑลซานซียื่นฎีกาว่า ขุนนางท้องที่หักเบี้ยเสบียง ทำให้ชีวิตลำบากยากแค้น ขุนนางท้องที่ก็ยื่นฎีกาว่าราชวงศ์ใช้อำนาจฝ่าฝืนกฎระเบียบ สองฝ่ายขัดแย้ง ผู้ใดถูกผู้ใดผิด กระหม่อมอยากจะไปดูแล้วค่อยวิเคราะห์ ถึงตอนนั้นค่อยรายงานทูลฝ่าบาท”

วาจาส่วนตัวกล่าวกันเช่นนี้ ในท้องพระโรง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสกับบรรดาขุนนาง เปลี่ยนเป็นอีกมุมหนึ่งว่า

“ท้องที่และราชวงศ์ต่างฟ้องกัน เรื่องนี้มีมานานแล้ว ไม่อาจรับฟังข้างเดียว ควรส่งคนไปสืบความกระจ่าง จะได้จัดการต่อไปได้ จึงให้หวังทงไปมณฑลซานซีสืบความมากราบทูลให้กระจ่าง”

ให้หวังทงจากเมืองหลวงไปไกลสักหน่อย ทุกคนรู้ว่าเรื่องเชื้อพระวงศ์นี้ก่อเรื่องมานานหลายปีแล้ว หวังทงไปจะจัดการอันใดได้ อาจทำให้เรื่องยิ่งยุ่ง เขาเป็นขุนนางบู๊อายุน้อยจะไปทำอันใดได้ ให้ไปโดนลูบคมเสียบ้างก็ดี

ราชโองการก็เสร็จกระบวนการอย่างรวดเร็ว เมิ่งตั๋วนำราชโองการไปประกาศยังสำนักองครักษ์เสื้อแพร และกำหนดวันเดินทางไปมณฑลซานซีปฏิบัติหน้าที่ของหวังทง

ก่อนราชโองการไปถึง บรรดาลูกน้องหวังทงก็เริ่มเตรียมการแล้ว นอกจากทหารอารักขาข้างกายหลายสิบนาย ส่วนใหญ่ก็จะอยู่โรงบ้านนอกเมือง เริ่มจัดการเตรียมการสัมภาระตน เริ่มเลี้ยงม้ายามค่ำเพื่อเตรียมเดินทางไกล

หวังทงต่างจากคนอื่น ใช้เงินใช้คนล้วนสะดวกรวดเร็ว สินค้าเมืองหลวงพร้อมกว่าเมืองอื่นๆ ต้องการใช้อะไรก็ล้วนมี นับประสาอันใดกับโรงเสบียงล้วนอยู่ในการควบคุมของขันที ก็ยิ่งอำนวยความสะดวก ลั่วซือกงเข้าไปบอกกับหวังทงด้วยตนเองว่า องครักษ์เสื้อแพรออกปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีหน้ามีตา คิดจะนำคนไปเท่าไรก็ขอให้บอก

ปรากฏว่าหวังทงก็ไม่เกรงใจจริงๆ นำทหารจากหน่วยวินัยทหารไปถึง 300 นาย เช่นนี้ ขบวนที่ไปยังมณฑลซานซีก็เกือบ 700 นาย เพียงแค่รถม้าก็มีตั้งหลายสิบคันแล้ว

ขบวนยิ่งใหญ่สักหน่อย ใช้จ่ายมากสักหน่อย ล้วนเป็นเรื่องปกติของผู้แทนพระองค์ นับประสาอันใดกับขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ผู้นี้ ฉากนี้ย่อมเรียกได้ว่าปกติยิ่ง แต่ขันทีที่ดูแลคลังเสบียงก็ยังแอบวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใต้เท้าหวังนำของไปไม่ได้เยอะอันใด เอาแต่ของที่ควรเอาเอาไปครบ ของที่เหลือก็เป็นของที่ใช้งานได้จริง เพียงแต่ของพวกนี้ ไม่เหมือนว่าไปปฏิบัติหน้าที่นี้ แต่เหมือนว่าไปรบมากกว่า

การเดานี้ก็มีเหตุผล ไปประกาศราชโองการ เจ้าจะนำเกราะชั้นดีหลายร้อยไปทำไมกัน และทุกคนยังรู้ว่าที่เทียนจินมีเกราะชั้นดีมากกว่านี้อีก แล้วยังเอาเกราะที่สะสมในกองคลังอาวุธไปทำไมกัน

เชื้อพระวงศ์และขุนนางมณฑลซานซีมีเรื่องกันมานานแล้ว ไม่ใช่ปีสองปีนี้ ใต้หล้าก็เช่นกัน ราชโองการก็เหมือนไม่ได้ระบุว่าให้หวังทงไปถึงมณฑลซานซีเมื่อใด หวังทงจึงได้ค่อยๆ เตรียมการอย่างไม่รีบไม่เร่ง

************

วันที่ 15 เดือนแปด วันไหว้พระจันทร์ อย่าว่าแต่ตระกูลคหบดี แม้แต่ราษฎรทั่วไปก็ยุ่งกันทั้งวัน กลางวันเตรียมสุราอาหาร ไปซื้อหาขนมไหว้พระจันทร์ที่ร้านขนม ซื้อหาผลไม้ เตรียมจัดงานชมจันทร์ยามค่ำคืน พวกไม่ต้องการอะไรมาก แค่เดินไปมาบนท้องถนน ท้องถนนก็คึกคักกว่าปกติ

ตรอกม้าหินย่อมเป็นที่คึกคักอันดับหนึ่ง แต่วันนี้ร้านค้าต่างๆ ในตรอกม้าหินเพิ่งเปิดทำการ ก็มีคนเดินไปมาขวักไขว่ทันที มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมา คนนำหน้าถือธงสีแดงมา คนข้างๆ มาพร้อมกับฆ้องและกลอง ตีเคาะดังไปทั่วพร้อมคนตะโกนดังขึ้นว่า

“ดูงิ้วฟรี ไม่เสียสักแดง รอบละ 300 คน ไปก่อนได้ก่อน ถึงก่อนได้ก่อน”

ละแวกรอบๆ ล้วนมีแต่คนออกมาเดินเล่น พอได้ยินเสียงตะโกนดัง ก็คิดกันว่า มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ต้องไปดูไปชมสักหน่อย

ที่อื่นไม่ว่า แต่ความคึกคักตรอกม้าหินนี้ จะนำคน 300 คนไปก็เรียกได้ว่าง่ายมาก รอจนคนจากทางนี้ไปก็เห็นมีคนมากมายมาออกันอยู่หน้าอาคารสร้างใหม่กันเต็มแล้ว หน้าประตูกว้างขวาง ก่อนหน้านี้ที่กั้นไว้นั้น วันนี้เปิดโฉมแล้ว

หน้าประตูมีป้ายใหญ่แขวนอยู่ แต่ยังปิดผ้าแพรแดงเอาไว้ ไม่รู้ว่าเขียนว่าอันใด ทุกคนกำลังอยากรู้อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมา หันไปก็เห็นทหารม้าเข้ามาใกล้ พอมาถึงด้านหน้า ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังว่า

“รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ใต้เท้าหวังมา~~~”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version