ตอนที่ 736 ล้อมสังหาร
หม่าซานเปียวตอนนี้ไม่ต่างอันใดกับชายบนทุ่งหญ้านอกด่าน สวมเสื้อหนังตัวนอกที่สกปรกมันแผลบ ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราก็รุงรัง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็น
ชีวิตบนทุ่งหญ้านอกด่านยากลำบาก นอกจากชนชั้นสูงกับพวกในเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ที่เหลือก็ล้วนมีสภาพเช่นนี้ ชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนทั่วไปไหนเลยจะมีเวลามาจัดการผมเผ้าตัวเองให้ดี
หม่าซานเปียวที่จริงแล้วเป็นคนออกมาส่งสุรานมม้า พวกที่มาจากเมืองกุยฮว่าเฉิงตั้งแต่ระดับหัวหน้ายันลูกน้องล้วนไม่มีผู้ใดสังเกตว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น
รอจนพวกทหารม้านอกด่านกินดื่มกันเต็มที่แล้ว ม้าพวกเขาออกไปหาหญ้ากินแล้ว พวกหม่าซานเปียวจึงได้ขึ้นม้า
พวกเขากวัดแกว่งอาวุธ แต่ไม่ได้บุกเข้าไป เป็นเพียงการออกคำสั่งให้พร้อมเท่านั้น ทหารบนหลังม้าส่วนใหญ่เริ่มน้าวคันธนู บ้างก็เล็งมุมสูงยกขึ้น บ้างก็เล็งไปตรงๆ ยังทหารม้านอกด่านที่ยังไม่ได้สติ
พอดาบใหญ่ตวัดลง ธนูราวห่าฝนก็ระดมยิง ลูกธนูแหวกอากาศเข้าไปห่าใหญ่ จากนั้นก็มีแต่เสียงร้องโหยหวน กระดูกแพะในมือยังกินไม่เสร็จ บ้างก็ถือชามไม้กับถุงหนังสุราดื่มอยู่ บ้างก็ยืนขึ้นท่าทางงงๆ ล้วนถูกธนูที่ยิงมาราวห่าฝนบาดเจ็บล้มตาย
กองพันทหารม้าเผ่าอันต๋าที่ส่งออกมาสวมเกราะครึ่งหนึ่ง แน่นอน เกราะหนังเป็นส่วนใหญ่ เกราะเหล็กน้อยมาก แต่ระยะห่างเท่านั้น ป้องกันธนูไม่ได้
หรือว่าพวกชาวเลี้ยงสัตว์คิดจะปล้น นี่เป็นความคิดแรกของพวกทหารม้านอกด่าน ธนูพวกล่าสัตว์ระยะ 30 ก้าวยิงเข้า แต่นอกระยะ 30 ก้าวแล้ว ธนูที่ไม่ดีนัก ก็ยากจะสังหารได้ หากเพื่อนทหารรอบนอกล้มลง ก็ยังพอมีโอกาสฝ่าออกไป
แต่พอธนูยิงมาดังห่าฝน ที่คิดก็พังทลาย ถึงกับมีธนูยาวแบบทหารหมิง ธนูนี้กำลังยิงไกลและแรงพอทะลุเกราะหนังได้ ธนูทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่เลว แต่ต้องยิงในระยะ 50 ก้าวจึงจะได้ประสิทธิภาพที่สุด
‘ฉึก’ ดังติดๆ กัน มีคนล้มลงกลิ้งไปมากับพื้น มีคนถูกยิงตายในดอกเดียว พอเห็นพวกทหารม้านอกด่านล้มลง หม่าซานเปียวสองขาหนีบสีข้างม้า ทะยานเข้าไปยังที่ว่าง
เขาไม่ได้ทะยานม้าเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง หากไปหยุดที่ไม่ไกลนัก ม้าวิ่งเหยาะอีกสองสามก้าว ดาบใหญ่ในมือหม่าซานเปียวยกขึ้น
หากกล่าวว่าทหารม้าเมืองกุยฮว่าเฉิงฝึกฝนมาดีก็คงได้ เพราะแม้ยังไม่ทันขึ้นหลังม้า ถูกโจมตีกระหน่ำเช่นนี้ ก็ยังสามารถจัดคนออกเป็นสองกอง กองหนึ่งกวัดแกว่งดาบปรี่เข้าใส่ อีกกองกำลังเตรียมขึ้นม้าทะยานออกมา แต่สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีโอกาสให้พวกเขาแล้ว พวกหม่าซานเปียวเป็นทหารเก่งกล้าไม่แพ้กัน
ผู้ใดดูก็รู้ว่าหม่าซานเปียวเป็นหัวหน้าของทุกคน มีคนคิดจะถือดาบปรี่เข้ามา ด้านหลังก็มีคนน้าวธนู หม่าซานเปียวไม่สนใจคนน้าวธนูด้านหลัง หากเอาแต่เร่งความเร็ว ม้าทะยานไปก่อนดาบในมือจะตวัดลง
แรงคนแรงม้าประสาน คนตรงหน้าที่สวมเกราะหนัง ถูกดาบฟันฉีกออก ก่อนอีกมือจะเข้ามากุมด้ามดาบผสานแรงเพิ่ม สะบัดอีกทีครึ่งท่อนบนอีกคนก็แยกจากร่าง คนผู้นั้นไม่มีเวลาแม้แต่ยกดาบกัน
พอตัดร่างขาดสองท่อน ดาบใหญ่ไม่ได้สะบัดกลับ หากวางแนวราบให้ม้าทะยานเข้าไปต่อ ตวัดเข้าใส่คนด้านหน้าอีกดาบหนึ่ง
แค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ด้านหน้าก็ล้มไปถึงสามคน ที่เหลือที่กรูกันเข้ามาก็ตกใจแตกตื่น แม้มีความกล้าสู้ตาย แต่ตอนต้องตาย ผู้คนส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะยืดอกเข้ามาตายเสียหน่อย
แต่ในสนามรบนี้ไหนเลยจะปล่อยให้พวกเขาหนีได้ พื้นที่แคบเช่นนี้ ทหารม้าพวกนอกด่านกำลังหันหลังคิดหนี ด้านหลังก็มีธนูยิงมา ทะลุปักกลางหลังพอดี
“ใต้เท้าหม่า ฝีมือดี เหมือนท่านเตียวหุยในสามก๊กสมัยนั้นเลย!!”
ชายอีกคนในชุดหนังเหมือนกันน้าวคันธนูไป ก็ยิ้มสัพยอกหม่าซานเปียวไป หม่าซานเปียวยกดาบกล่าวว่า
“มิบังอาจ วันนี้เราสังหารให้สะใจ ก็จะได้กลับไปพักกันแล้ว”
“ฮาๆ ทุ่งหญ้านอกด่านแม้ได้ยืดเส้นดีแต่ก็เหนื่อยมาก รอกลับไปนะ ข้าจะเลี้ยงท่านท่องเที่ยวสำราญให้ทั่วเมืองต้าถง เราพี่น้องเที่ยวกันให้สะใจไปเลย!”
ขณะที่พูด มือก็ยังยิงธนูไป ศัตรูด้านหน้าโดนเข้าไปเต็มๆ หม่าซานเปียวก็ตวัดดาบปรี่เข้าใส่ เมื่อครู่พวกนอกด่านที่เตรียมยิงธนูนั้นถูกยิงล้มลงแล้ว
สถานการณ์อลหม่านยิ่ง ทหารม้าพวกนอกด่านที่ไม่ทันระวังย่อมไม่มีม้า และไม่มีการเตรียมรับศึก จึงวุ่นวายชุลมุนไปทั่วบริเวณ พวกหม่าซานเปียวเข้าสังหารในมุมสูงบนหลังม้า ก็ย่อมได้เปรียบ ฟันไปได้สองสามคน หม่าซานเปียวก็พบว่าด้านหน้าล้วนเป็นคนของตนกำลังไล่สังหารอยู่หมดแล้ว
สถานการณ์แน่นอนแล้ว ที่เหลือก็ดูว่าสังหารได้เท่าไรเท่านั้น หม่าซานเปียวค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าม้าลง มีคนหนึ่งถือทวนไม้เข้ามากล่าวขึ้นน้ำเสียงดุดันว่า
“พี่หม่า ทหารเมืองต้าถงพวกนี้ฝีมือดีอยู่ แต่ไม่ค่อยรักษาระเบียบเท่าไร!”
หม่าซานเปียวหรี่ตามองชายข้างๆ ตำหนิเบาๆ ว่า
“ชื่อเฮย เบาหน่อย ใต้เท้าสั่งมาว่า พวกเขาแค่ฟังคำสั่งก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องไปสนใจ”
ชื่อเฮยลูบปัดเลือดบนใบหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่สนก็ไม่สน แต่คนพวกนี้รวยกันแล้ว ของพวกนั้นราคาดีมาก”
วิพากษ์วิจารณ์กันสองสามคำ พวกชื่อเฮยก็ยกทวนไม้พร้อมตะโกนปรี่เข้าไป ทัพม้าเทียนจินของหวังทงขอเพียงเคยใช้ชีวิตบนทุ่งหญ้านอกด่านก็รับไว้ พวกเขาไม่ถึง 400 เห็นชัดๆ ว่าใช้การใดไม่ได้มาก หากพวกหม่าต้งนั้นเป็นทหารเก่งกล้า 300 ที่ฝึกมาอย่างดี
แม้ว่าทหารเมืองเซวียนฝู่กับเมืองต้าถงไม่กล้าออกนอกด่าน แต่ทหารก็เรียกได้ว่าเก่งกล้า และทุกคนยังเคยออกมาซ้อมรบกับพวกนอกด่าน ในเวลาไม่นาน ก็ชินกับสภาพบนทุ่งหญ้านอกด่าน
พวกเทียนจินและต้าถงสองฝ่ายประสานกำลัง ยังมีสายสืบจากร้านสามธาราในมณฑลซานซีนำทาง ที่ผ่านมาเหมือนไม่ตั้งใจ แต่ก็เรียกได้ว่าตั้งใจ ให้ทหารเก่งกล้าสู้กับผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้า เช่นนั้นย่อมได้เปรียบกว่า
ของที่พวกเขาทุกคนปล้นได้มา เริ่มแรกก็ขนเลาะอ้อมไปตามข้างกำแพงเมือง ส่งไปยังโกดังที่ด่านไป๋หยาง ต่อมาหม่าต้งใช้สายสัมพันธ์ตน มีเผ่าเล็กสองเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านช่วยขนสินค้าที่ปล้นมาได้ เผ่าเล็กสองเผ่านี้ยังเป็นที่พักแรมสำหรับทัพม้า
เพราะตั้งอยู่ที่มิดชิด ทหารม้าเผ่าอันต๋าที่ส่งไปทุ่งหญ้านอกด่านคิดจะปูพรมค้นหาก็ไม่ง่าย มาถึงครั้งนี้ที่วางกับดักรอให้พวกทหารมาติดกับ
หม่าซานเปียวเดิมเป็นพวกนิสัยหยาบ ลูกน้องที่เป็นทหารม้าชาวฮั่นกับชาวมองโกลที่กลับจากทุ่งหญ้านอกด่านก็ล้วนผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชน นิสัยก็เรียกได้ว่าเอาแต่ใจไม่ยี่หระสิ่งใด กฎทหารบนทุ่งหญ้านอกด่านไม่เหมือนเทียนจินที่เข้มงวด ทุกคนจึงเหมือนกับปลาได้น้ำ มีชีวิตที่มีความสุขมาก
กอปรกับทหารที่หม่าต้งส่งมาก็ยิ่งไร้วินัย สองฝ่ายเข้ากันได้ดี ทหารหม่าต้งย่อมแซ่หม่า จึงอ้างตัวเกี่ยวดองเป็นญาติกับหม่าซานเปียว
หลังการสังหาร กระโจมเผ่าเล็กก็มีคนออกมาหลายคนเริ่มเก็บกระโจมพัก และจับสัตว์เทียมเข้ากับรถ ทัพม้าโจมตีทหารที่ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ต้องใช้เวลานาน สังหารได้ราวครึ่งชั่วยาม พวกนอกด่านก็ร่ำไห้แหกปากวิ่งหนีทิ้งอาวุธกันไปหมด
เริ่มแรกยังมีใจคิดหนี แต่พอเพื่อนทหารกันถูกสังหารทิ้ง พวกกองโจรม้าตามมาทันก็สังหารทิ้งหมด หนีก็หนีไม่ได้ สู้ก็สู้ไม่ได้ ได้แต่ลองยอมแพ้
แต่พวกที่คุกเข่ายอมแพ้นั้นไม่ได้รับความสงสารหรือเข้าจับกุม เพราะกองโจรม้าสะบัดอาวุธเข้าสังหารหมด เสียงร้องดังโหยหวนยังคงดังต่อเนื่อง……
**********
ทั่วสนามรบเงียบลงอีกครั้ง กระโจมอันใดก็เก็บกวาดเรียบร้อย ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยซากศพ กลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นหอมของซุปแพะผสมผสานปนเปกันส่งกลิ่นแปลกๆ
แต่ทุกคนยามนี้เห็นความตายกันจนชินแล้ว ภาพตรงหน้าไม่นับว่ากระไรนัก ยังมีคนเดินเข้าไปตักซุปมากิน พวกหม่าซานเปียวโดดลงจากหลังม้า หัวหน้าหม่าที่เข้าคุยกับเขาเมื่อครู่ตามมาด้วย เห็นซากศพแล้วก็อุทานตกใจว่า
“ศีรษะเยอะเพียงนี้ หากนำกลับไป อย่างไรก็ทำให้นายเราได้เป็นถึงระดับโหวเลยนะนี่!”
หม่าซานเปียวไม่ตอบ หันไปถามชื่อเฮยข้างๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ทางเจ้าตายไปกี่คน ทางข้า 7 บาดเจ็บหนัก 2 ยังมีบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 16”
“ตายไป 16 บาดเจ็บเล็กน้อย 21 นับว่าไม่เลวแล้ว คนน้อยสู้คนมาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะแอบซุ่มโจมตีเช่นนี้ได้ ชัยชนะใหญ่นี้ กลับไปต้องเล่าให้พี่น้องฟัง เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ!!”
“เป็นศีรษะที่น่าเสียดายโดยแท้ ตามที่เราตกลงกันก่อนหน้า พวกท่านเข้าไปเก็บกวาดเงินทอง เป็นของทุกท่าน จากนั้นก็ถอดเกราะออก ตัดหัวทิ้ง ก่อนเอามากองสุมเป็นภูเขา!”
หม่าซานเปียวกล่าวขึ้น คนข้างๆ ผู้นั้นยิ้มรับคำก่อนหันไปตะโกนสั่งการ หลายคนกำลังถูมือรออยู่ พอได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งปรี่เข้าไปทันที
เงินทองของมีค่าค้นออกมาหมด ชุดเกราะก็ถอดออก จากนั้นก็ตัดหัวมากองรวมกัน ก่อนจะดึงธนูตามศพออกให้หมด หัวหน้าเผ่าเล็กผู้นั้นไปนำม้าของทหารนอกด่านกลับมา มีเครื่องสำหรับขี่ม้าพร้อม นี่เป็นเงินไม่น้อย
เลือดจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว แต่ละหัวถูกนำมากองรวมกันบนพื้นที่ว่าง ท้องฟ้าเริ่มมีนกเหยี่ยวมาเวียนวน ตอนแรกทุกคนยังตื่นเต้นยินดี แต่มาถึงตอนนี้ ทุกคนกลับเงียบกริบ ที่นี่ได้เตรียมฟืนและน้ำมันไว้พร้อมแล้ว นำร่างพวกเขามากองรวมกันเผาทิ้ง
หม่าซานเปียวโยนคบไฟลงไป หญ้าแห้ง น้ำมันติดไฟแล้ว ก็เริ่มลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ควันลอยทะยานขึ้นท้องฟ้า หม่าซานเปียวกระชากม้าหันหลัง ตะโกนดังบนหลังม้าว่า
“กลับบ้านกัน!!”