Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 740

ตอนที่ 740 ทหารจี้โจวแปลกใจ ฝากเสบียงให้ดูแล

กองทัพเดินทาง ทุกวันตอนเช้ากินข้าวเสร็จ ก็ต้องถอนเก็บค่ายเพื่อดินทางต่อ จากนั้นก็ตั้งแถวเดินทาง พอตกค่ำ ฟ้าใกล้มืดก็จะตั้งค่ายอีก เตรียมเวรยาม ไม่เหมือนขบวนพ่อค้าที่เดินทางได้ตามใจต้องการ

ดังนั้นในพื้นที่เดียวกัน กองทัพเดินทางย่อมเร็วกว่าขบวนพ่อค้ามาก ในเรื่องนี้ก็เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

คืนแรกตั้งค่าย ทัพม้าเลือกทหารม้า 200 แอบซุ่มด้านนอกคอยลาดตระเวนเงียบๆ แต่คืนนี้ผ่านไปอย่างปกติ

ออกจากช่องเขาสังหารพยัคฆ์ไปทางเหนือมาได้วันหนึ่ง หากไม่ใช่ยามสงคราม การเคลื่อนไหวพวกนอกด่านก็จะไม่มากมายอันใด เพราะยังถือว่าเป็นพื้นที่ควบคุมของแผ่นดินหมิง และเป็นพื้นที่ปรองดองของสองฝ่าย

คืนนี้ทหารม้าเวรยามกับทหารเวรในค่ายก็ผ่อนคลายอยู่สักหน่อย เมืองจี้โจวกับกองกำลังหู่เวยตั้งทัพของตน ที่ตั้งทัพม้าอยู่ในค่ายพักเมืองจี้โจว เป็นสองกองเล็กใหญ่ ทหารรักษาการย่อมเป็นทหารราบของแต่ละค่าย ไม่เกี่ยวข้องกัน

แต่ทหารม้าที่ส่งออกไปกลับเป็นกองกำลังผสมสามค่าย ทั้งของเมืองจี้โจว กองกำลังหู่เวยและเมืองต้า ต่างประสานงานกันมาไม่นานนัก พวกขุนพลบู๊เป็นพวกชอบเทียบความเก่งกล้า เป็นทหารม้าที่เก่งกล้าอีก ทำให้ในใจต่างรู้สึกอยากเทียบว่าผู้ใดเก่งกล้ากว่ากัน

แผ่นดินหมิงแม้ไม่ขาดแคลนม้า แต่ทหารม้าคนหนึ่งเท่ากับทหารราบ 10 นาย เป็นความสามารถที่ไม่อาจหลอกลวงได้ ดังนั้นทัพม้ากับทหารม้าแผ่นดินหมิงแต่ละกอง ส่วนใหญ่จึงเป็นทหารที่เก่งกล้าที่สุดในค่าย ทหารเช่นนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารติดตามแม่ทัพในจวนประจำตระกูล

เมืองต้าถงก็เช่นกัน ส่วนทหารม้าเมืองจี้โจวกับกองกำลังหู่เวยเน้นการฝึกฝน พวกที่เป็นทหารม้าได้ก็มักจะเป็นทหารราบที่มีความสามารถเหนือระดับสักหน่อย ในใจทุกคนก็ย่อมมีความภาคภูมิใจในความสามารถตนเอง

นายทหารใหญ่เมืองจี้โจวเข้ามาในกระโจมหวังทง ได้เห็นของใช้ฟุ่มเฟือย หวังทงก็ท่าทีผ่อนคลายไม่จริงจัง จึงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ดีนัก รู้สึกว่าหวังทงเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เห็นการสงครามเป็นการละเล่นของเด็ก

นายกองพันทัพม้าเมืองจี้โจวทัพม้าได้เห็นหัวหน้าทัพม้ากองกำลังหู่เวยอย่างหม่าซานเปียวที่ดูเอาแต่หาวไม่สนใจสิ่งใดทั้งวัน ในใจก็ไม่พอใจ คิดว่าเป็นพวกขี้เกียจ

พวกหยางจิ้นจากเมืองจี้โจวก็ย่อมรู้หนักเบา ไม่กล่าวสิ่งที่ตนคิดในใจออกมาให้คนอื่นฟัง แต่พวกลูกน้องที่ส่งไปทำงานร่วมกับทัพม้ากองกำลังหู่เวย ล้วนคิดเช่นนี้ เห็นว่าเป็นวันแรกแห่งการเดินทัพ เหตุใดจึงหมดเรี่ยวแรงได้เช่นนี้ คนเช่นนี้เอาไปทำศึกได้อย่างไร

ทหารม้าเมืองต้าถงก็แปลก มีส่วนหนึ่งเหมือนกับทหารม้ากองกำลังหู่เวย ล้วนดูหมดเรี่ยวแรง หากอีกส่วนดูปกติ

พอตกค่ำ ทุกคนแบ่งเป็นกองลาดตระเวนเล็กๆ ออกค้นหาที่สามารถหลบลมได้ กำหนดเวลาออกลาดตระเวน เจ้าพวกหมดเรี่ยวหมดแรงพวกนั้นพอลงจากม้า ก็หลบเข้าไปที่กำบังลมได้หาที่คิดนอน ทำให้ทหารม้าเมืองจี้โจวพากันขมวดคิ้วไม่พอใจ

ออกลาดตระเวนกลางคืน แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็ให้เวลาพวกเขาได้พัก แต่การทำเช่นนี้ หากกลางคืนพวกนอกด่านมากันจริงจะทำเช่นไร อากาศหนาวเช่นนี้ หากนอกนหลับไปต้องหนาวแข็งตายเป็นแน่ ทำอย่างไร

แต่ทหารกองกำลังหู่เวยกับเมืองต้าถงกลับไม่คิดมากในเรื่องนี้ เลี้ยงม้าให้อิ่มก่อน จากนั้นก็นำม้าล้อมรอบนอก คนมานั่งพิงกัน คลุมผืนพรมบนตัวให้อุ่น จากนั้นก็หลับอุตุไปเลย ทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมาย ม้าล้อมรอบนอก มีพรมอุ่นเหมือนกับกระโจมพัก พิงกันให้ความอุ่นกัน ไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวตายกลางดึก ทหารขี้เกียวพวกนี้เคยออกรบมาก่อนจริงหรือ

เห็นพวกเขาเอาแต่แอบขี้เกียจเช่นนี้ ทหารเมืองจี้โจวรบมานานปี มักเห็นพวกเพื่อนทหารเลวเช่นนี้ ที่รบชนะมาก็เพราะทหารเมืองจี้โจวทั้งนั้น ครั้งนี้เมืองจี้โจวส่งทหารกล้ามา 20,000 นาย กองกำลังหู่เวยกับเมืองต้าถงก็แค่ 8,000 อย่างไรก็ต้องอาศัยทหารเมืองจี้โจวรบเป็นหลัก ทหารม้าเมืองจี้โจวจึงคิดดูแคลนในใจ แต่ก็ยังส่งคนลาดตระเวนปกติ ไม่กล้าทำให้เสียงาน แต่ตกดึกก็มีเรื่องทำให้พวกเขาแปลกใจ

พวกนอกด่านย่อมขี่ม้ามาแอบส่องไกลๆ แม้ไม่มาก แต่ก็ย่อมต้องจัดมา ไม่เช่นนี้หากอยู่ๆ อีกฝ่ายเกิดเคลื่อนไหวโจมตี ก็ย่อมไร้หนทางรับมือไดทัน แต่ตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่เคร่งเครียด ตอนนี้ยังอยู่ในระยะไม่ห่างจากกำแพงเมืองพวกเขามากนัก

พวกสายสืบมองโกลได้แต่แอบมองจากที่ไกลๆ แม้ว่าอาศัยแสงพระจันทณ์ก็มองไม่เห็นอันใดมากนัก ค่ำคืนบนทุ่งหญ้าเงียบกริบยิ่งนัก หากมีเสียงฝีเท้าม้าหรือเสียงอื่นใดก็ย่อมถูกพบโดยง่าย หากพบการเคลื่อนไหว ทหารเมืองจี้โจวมากประสบการณ์ก็ย่อมออกไปจัดการได้ทันที

ทำให้พวกศัตรูแปลกใจก็คืเรื่องนี้ ทุกครั้งที่รู้ตัว พวกทหารกองกำลังหู่เวยและทหารเมืองต้าถงก็กำลังหลับกรนครอกกันอยู่ก็รู้ตัวทันทีเช่นกัน บางคนยืนขึ้น บางคนก็คว้าอาวุธอย่างรวดเร็ว พอเสียงเงียบลง พวกเขาก็นอนต่อ

สีหน้าไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ทหารม้าเมืองต้าถงแม้ไม่เลว แต่ปฏิกิริยาช้าไปนิด มีคนบางคนถึงกับไม่รู้ว่ามีศัตรูเข้ามาใกล้

พอฟ้าสางเริ่มมีกลุ่มควันหุงอาหารกัน จากนั้นก็เริ่มเก็บค่ายพัก ทัพม้าก็กลับมา จะมีทหารม้าอีกกลุ่มออกมาสลับเวร กองกำลังเดินทางต่อ ด้านหน้ามักมีทหารม้าออกนำไปดูทางก่อน ส่งข่าวกลับมาไม่หยุด ทำให้แม่ทัพนำทัพได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เมืองจี้โจวทัพม้าที่เข้าเวรดึก หลายคนรวมตัวกันวิจารณ์เรื่องที่น่าแปลกใจเมื่อคืน มีคนมากประสบการณ์คนหนึ่งมองออกว่า

“เมื่อคืนสามารถทำได้เช่นนั้น เห็นชัดว่าออกตะลุยทุ่งหญ้านอกด่านมาหลายปีจึงจะทำได้เช่นนั้น หรือว่าทหารเมืองต้าถงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงพวกนั้นมีชาวมองโกล……”

“พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อคืนยังไม่ถึงยามฟ้าใกล้สาง พวกทหารกองกำลังสังกัดวังหลวงกับเมืองต้าถงเหมือนมีหลายคนรู้จักกันมาก่อน สนทนาเฮฮากันใหญ่ บอกว่าศีรษะบนทุ่งหญ้านอกด่านพวกนั้นหากเอากลับไปด้วย ก็จะได้แลกตำแหน่งนายกองพันสักหน่อย ยังมีคนบอกว่า เงินตั้งมากมายให้เก็บเกี่ยว อย่าได้คิดละโมบตำแหน่งเลย……”

“เรื่องนี้ข้าเองก็ได้ยิน บอกว่าลำบากบนทุ่งหญ้านอกด่านตั้งนาน กลับไปได้ไม่กี่วันก็ต้องออกเดินทางมาอีก ม้าเหนื่อยตายไปไม่รู้เท่าไร……”

พวกเขาได้ยินมากันนั้นล้วนไม่ประติดประต่อกัน แต่พอเอามาต่อรวมกันก็เหมือนพอรู้สึกอันใดได้แล้ว พวกทหารม้าที่ท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรงพวกนี้กับพวกเขานั้นเหมือนกัน ล้วนเป็นทหารกล้าชำนาญการรบ

*************

ถอนค่ายออกเดินทาง พวกระดับหัวหน้านายทหารเริ่มเห็นบางอย่างแตกต่างจากวันวาน เมื่อวานกองกำลังหู่เวยนอกจากรถใหญ่ม้าสี่ตัวแล้ว ยังมีรถม้าเทียมสองตัวและหนึ่งตัวที่เป็นรถขนเสบียง วันนี้มาอยู่กับขบวนทัพทหารเมืองจี้โจว กองกำลังหู่เวยทางนั้นเหลือแค่รถม้าเทียมสี่ตัวเท่านั้น

นายทหารล้วนสงสัย จึงพากันไปหารองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจว กองกำลังสังกัดวังหลวงนับวันยิ่งเอาใหญ่ เหตุใดจึงโยนภาระรถเสบียงมาให้พวกเราขน การรบครั้งนี้อาศัยกำลังเมืองจี้โจวเป็นหลัก ทำเช่นนี้ใช่ว่าเห็นเมืองจี้โจวเป็นทหารกองขนเสบียงไปแล้วหรือ

“รถใหญ่พวกเขานอกจากยุทโธปกรณ์แล้ว ก็ยังมีเสบียงที่น่าจะเพียงพอให้พวกเขากินได้สี่หรือห้าวัน ที่เหลือให้พวกเราขน”

หยางจิ้นอธิบายขึ้น นายกองพันคนหนึ่งอึ้งไป รีบกล่าวว่า

“เหลวไหลเกินไปแล้ว ครั้งนี้ออกสู้กับพวกมองโกล ไม่ใช่ว่ากองกำลังเมืองจี้โจวเราบุกหน้าหรือ เป็นกองหน้าบุก ตายก่อนก็คือพวกเรา ตอนนี้เสบียงก็โยนมาให้เรา หรือคิดว่าพอเจอพวกมองโกลจะได้หนีได้เร็วหน่อย?”

วาจาเขากระทบใจทุกคน แต่หยางจิ้นกลับยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า

“เมื่อคืนใต้เท้าผู้แทนพระองค์สั่งการมาว่า เสบียงมากมายไว้กับพวกเราแล้ววางใจได้ ไม่ปล่อยให้พวกศัตรูเข้ามาเผาง่ายๆ หรือขโมยไปได้ เราเฝ้าเสบียง กองกำลังหู่เวยก็วางใจออกรบ!”

พอกล่าวเช่นนี้ออกมา ก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันยิ้มเยียบเย็น มีนายกองพันหนึ่งกล่าวว่า

“น่าขัน หลายปีมานี้ ไม่ใช่ทหารเมืองจี้โจวเราออกรบกองเดียวหรือ หลายทำเป็นมาโอ้อวดต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เรา เป็นไร พอถึงเวลา ไม่ใช่ว่าทหารเมืองจี้โจวบุกหน้าหรือ เดินอยู่หลังสุด……”

“วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ปีนั้นเมืองเซวียนฝู่ทุกคนได้ความชอบจากการรบ ศีรษะศัตรูหลายร้อย พวกนั้นไม่ใช่ว่ากันว่าเป็นพวกกองกำลังสังกัดวังหลวงออกสังหารทหารม้าพวกนอกด่านหลายพันหรอกหรือ? ชัยชนะยิ่งใหญ่กู่เป่ยโข่วนั่นอีกครั้ง ล่อทหารมองโกลไม่ใช่พวกเขาหรือ?”

หยางจิ้นเอ่ยขึ้นน้ำเสียงจริงจัง ทุกคนเงียบกริบ แต่ก็มีคนไม่ยอมรับกล่าวว่า

“นั่นเป็นการแยบยลแม่ทัพเรา กองกำลังสังกัดวังหลวงถูกบีบให้ทำเช่นนั้น จึงได้สู้ตายอย่างไม่อาจถอยหลัง หากไม่ใช่ว่าพวกเราไปถึง พวกเราก็พ่ายแพ้หมดรูปไปแล้ว”

“แต่ครั้งนั้น พวกเขาสังหารทหารม้าพวกนอกด่านไปเกือบห้าพัน ศีรษะก็เห็นๆ อยู่ ผลการรบเช่นนี้ ถูกบีบก็บีบออกมาได้งั้นหรือ?”

หยางจิ้นสีหน้าจริงจัง ทหารเมืองจี้โจวรบมานาน ย่อมรู้เหตุผลดี พากันพูดไม่ออก นายกองพันทัพม้าเมืองจี้โจวจางเหล่ยที่เงียบมาตลอด ยามนี้กล่าวว่า

“เมื่อคืนลูกน้องข้าเฝ้าเวรยาม กลับมาบอกว่าทหารกองกำลังสังกัดวังหลวงเหมือนเคยออกรบกันมานาน ข้าเห็นเมื่อวานตั้งค่าย วันนี้ถอนค่าย กองกำลังสังกัดวังหลวงล้วนอยู่ในระเบียบวินัย ปฏิบัติหน้าที่ได้มีระเบียบกว่าพวกเราอีก หวังทงมีชื่อเสียงในการรบคงไม่ใช่ข่าวลือไร้ความจริงแล้ว”

ทุกคนเงียบไป หยางจิ้นลุกจากเก้าอี้เดินไปสองสามก้าวจึงกล่าวว่า

“หวังทงไม่ใช่แม่ทัพใหญ่เรา เขาวางเสบียงไว้ที่เรา ก็นับว่าเหมาะสม ตอนนี้ทัพใหญ่เราออกนอกด่าน ทุกคนอย่าได้คิดแตกแยก อย่างไรก็เพื่อแผ่นดินหมิง”

นายทหารทุกคนพยักหน้าตอบรับคำ บรรยากาศผ่อนคลายลงมา มีคนยิ้มกล่าวว่า

“กองกำลังสังกัดวังหลวงไม่รู้ดีชั่ว วางเสบียงไว้ที่เรา หากพวกเราไม่ให้ พวกเขาใช่ไว้รอความตายหรือไง”

มีหลายคนหัวเราะเยาะขึ้นพร้อมกัน หยางจิ้นยกมือชี้ไปที่กองกำลังหู่เวย กล่าวว่า

“พวกเจ้าคิดว่ากองกำลังหู่เวยไม่คิดเรื่องนี้ไว้หรือ หากมีวันนั้นจริง เจ้าคิดว่าม้าพวกนั้น ปืนใหญ่ที่ม้าสิบตัวลากพวกนั้น ไม่ระดมยิงใส่พวกเราหรือ?”

ปืนใหญ่ของกองกำลังหู่เวย สองวันนี้ทหารเมืองจี้โจวล้วนได้เห็นแล้ว และยังอิจฉา พอหยางจิ้นกล่าวเช่นนี้ ทุกคนได้แต่เงียบกริบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version