ตอนที่ 771 ทหารหมิงเข้าเมืองได้แล้ว
ในตำหนักกลางเหมือนว่ามีคนตะโกนสุดท้ายอันใดสักอย่าง หากคนที่ฟังออกก็ฟังได้เพียงว่า ‘เป็นผีก็ไม่ปล่อย……’ แต่วาจาถูกปืนใหญ่กลบไปในทันที
ปืนใหญ่ยิงนั้นเป็นกระสุนปืนเหล็ก กระสุนตะกั่ว ปืนใหญ่หลายกระบอกยิง ก็เพียงพอทำลายวังหลวงให้สิ้นซากได้
หลังปืนใหญ่ยิงระลอกสอง ก็ไม่ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนอีกแล้ว รอบสองยิงไป ทั้งวังหลวงก็เริ่มพังทลายลง จากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยิงอีกแล้ว ทหารพลทวนยาวกองกำลังหู่เวยกับทหารเมืองจี้โจวในที่สุดก็ได้เวลาเข้ามาในพื้นที่ ที่พวกเขาต้องทำก็คือตรวจสอบคนที่ยังมีลมหายใจ ก็แค่ฟันลงไปอีกดาบให้ตายในทันทีเท่านั้น
ศพเซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับเฉ่อลี่เข้อยังมีมเหสีสามกองอยู่ใต้ซากปรักหักพัง การต่อสู้ที่วังหลวง ทหารพวกนอกด่านบาดเจ็บล้มตายเกือบ 3,000 กล่าวให้ดีก็คือตายไปหมด 3,000 ตัวเลขการตายเช่นนี้ เรียกได้ว่าสูงว่าตอนต่อสู้ป้องกันรักษากำแพงเมืองเสียอีก
“สมบัติในวังกับโกดังแต่ละแห่งในเมือง คุมให้เข้ม ขุนพลทหารกล้าแตะต้องให้ลงโทษทางวินัยเด็ดขาด!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ออกไป หม่าหย่งเมืองต้าถงพอได้ยินเช่นนี้ก็คิดจะแย้ง แต่ก็ลังเลไม่กล้าเอ่ยปาก
ทหารม้าเมืองต้าถงกับทหารม้ากองกำลังหู่เวยรู้งาน หม่าหย่งมีสายสัมพันธ์กับหม่าซานเปียวไม่เลว ว่ากันว่าสองคนยังสานความสัมพันธ์กันเป็นดังญาติสนิท
หารือกับเรียบร้อย ทุกคนก็ออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง หม่าหย่งแอบบ่นกับหม่าซานเปียวว่า
“แม่ทัพใหญ่ก็ช่างไม่เข้าใจ พี่น้องเรารบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายติดตามเข้าเมืองมา วังกับโกดังไม่ให้แตะต้อง จะมีความหมายอันใด”
กล่าวเพิ่งจบก็ถูกหม่าซานเปียวหัวเราะตอบกลับไปว่า
“สมองเจ้าพิการหรือไง แม่ทัพใหญ่ว่ายังไงนะ บอกว่าในวังกับโกดังแต่ละแห่ง หากในเมืองมีเงินทองมากมาย เหตุใดไม่ไปโกยเอาให้อิ่ม มัวมายืนเซ่อจ้องของพวกนี้กันทำไม!”
ถูกว่าเช่นนี้ หม่าหย่งแห่งเมืองต้าถงอึ้งไปก่อนจะได้สติคิดได้ ตบท้ายทอยยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า
“คิดไม่ถึงว่าวาจาแม่ทัพใหญ่ระดับนี้ยังมีความนัย เลอะเลือนจริงๆ !”
ตั้งแต่หวังทงนำทัพออกนอกด่านมา ก็ปฏิบัติการรวดเร็วฉับไวตรงไปตรงมา ไม่มีชักช้าลังเลอ้อมค้อมอันใด หากวันนี้วาจากลับมีนัยแฝงหลายชั้น ทำให้ทุกคนที่เคยชินกับความตรงไปตรงมาตั้งสติกันไม่ทัน
ทหารหมิงปิดประตูเมืองทุกทางของเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว การต่อสู้เรียกได้ว่าถึงที่สุดระดับหนึ่งแล้ว เพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองของชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ดังนั้นในเมืองจึงมีคอกสัตว์ขนาดใหญ่เลี้ยงสัตว์ไว้จำนวนมาก และยังมีหลายแห่งยังตั้งกระโจมสำหรับชนชั้นสูงไว้ด้วย
ใช้ประโยชน์พื้นที่เหล่านี้ให้ทหารหมิงตั้งค่าย หรือไม่ก็วางศพทหารหมิงที่สละชีพ อากาศหนาว ไม่ต้องกลัวว่าจะเน่าเปื่อย จัดการศพอย่างง่ายๆ แล้ว ก็สามารถรอการจัดการได้
แรงงานที่ทำงานพวกนี้ไม่ใช่ทหารหรือคนจากหน่วยรักษาความปลอดภัยของกองกำลังหู่เวย แต่เป็นทหารเมืองจี้โจว ที่จริงแล้วเรียกได้ว่าทหารหมิงทุกคน แม้แต่คนขับรถม้าก็ถืออาวุธออกควบคุมความสงบในเมือง ควบคุมชาวบ้านในเมืองให้เริ่มทำงาน
การต่อต้านตามท้องถนนก็ยังมี มีพวกนอกด่านอาศัยอาคารบ้านเรือนซ่อนตัว ทหารจึงจำต้องใช้ไม้ทุบทำลายทิ้งบ้างใช้ไฟเผาบ้าง ยังถึงกับใช้ปืนใหญ่ยิงพังไปเลยก็มี
ในระหว่างความเป็นความตาย ย่อมไม่อาจคิดอันใดให้หากนัก แต่พอสงครามสงบลง ซากพวกนี้ก็ต้องจัดการ ไม่เช่นนี้ทัพใหญ่ก็เดินทัพได้ไม่สะดวก ทำให้เสียการใหญ่ได้
ซากปรักหักพังพวกนี้นำไปกองไว้นอกกำแพงเมืองตรงช่องโหว่ที่เข้ามา ใช้เศษอิฐก่อเป็นฐานปืนใหญ่ง่ายๆ ปากทางเข้ามาบนกำแพงนั้นต้องปิดช่องก่อน ในเวลาสั้นๆ หากใช้การก่อสร้างก็ย่อมยังไม่อาจทำได้สมบูรณ์ในทันที จึงไปสร้างเป็นแท่นปืนใหญ่เสียเลย
ปืนกระสุนสามชั่งสี่กระบอกกับพลปืนไฟ300รักษาการอยู่ทีนี่ ไม่ไกลนักก็เป็นค่ายทหารเมืองจี้โจว เพียงพอที่จะป้องกันศัตรูบุกเข้ามาในจุดนี้ได้
คืนนี้ประตูเมืองด้านใต้เปิดไว้ ก่อกองไฟไว้หลายกอง ชาวเมืองนำศพพวกนอกด่านออกไปเผา อากาศแม้จะหนาว คงไม่เน่าทันที แต่ก็ต้องป้องกันเหตุไม่คาดคิด เผาไปก่อนดีกว่า ทรัพย์สินติดตัวคนพวกนี้ก็ถูกลอกไปหมดเกลี้ยง ถือเป็นค่าตอบแทนนายทหารก็แล้วกัน
แม้ว่าตำหนักกลางในวังถูกทำลาย แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นที่เหมาะที่สุดในเมืองกุยฮว่าเฉิง มีการป้องกันที่แน่นหนา มีห้องที่สบาย ยังมีสาวงามหลายชนเผ่าไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าตีเมืองอย่างไม่ทันตั้งตัว ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋ายังไม่ทันได้สังหารสาวงามภรรยาน้อยนางเล็กๆ ที่เลี้ยงดูไว้ เพราะเกรงว่าจะถูกศัตรูหลู่เกียรติ ประเพณีหลังแพ้สงครามต้องสังหารผู้หญิงของตนให้หมด
แม้ว่ามีผลประโยชน์มากมายหลากหลาย แต่หวังทงก็ไม่ได้หลงลืมตัว ตีเมืองศัตรูได้แล้วจะมานอนในวังศัตรูแต่อย่างใด เพราะหากมีคนคิดไม่ซื่อลอบทำร้าย เช่นนั้นก็ย่อมไม่คุ้มค่า
หวังทงยังคงตั้งกระโจมพักในเมือง ที่พักเขาเดิมเป็นที่ตั้งค่ายทหารในวัง ที่นี่กว้างขวาง สองหน่วยกองกำลังหู่เวยพักละแวกเดียวกัน สะดวกมาก
ทหารม้าเริ่มปฏิบัติการ ทหารราบสองค่ายรับหน้าที่ลาดตระเวนเตรียมพร้อม ในเมืองแบ่งพื้นที่ป้องกันออกเป็นหลายส่วน ให้กองกำลังหู่เวยกับกองทัพเมืองจี้โจวแบ่งกันรับผิดชอบ
กองละร้อยนาย อาวุธครบมือออกลาดตระเวนในเมือง สถานการณ์เริ่มสงบลงพอสมควรแล้ว มีการต่อต้านบ้างเล็กน้อย มีเสียงตะโกนดังแว่วมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เหตุใหญ่อันใด
กลิ่นเผาศพนอกเมืองคละคลุ้งไปทั่วเมือง ทหารเห็นความตายจนชิน ก็ไม่เท่าไร ในค่ายตั้งหม้ออาหารหม้อใหญ่ไว้หลายหม้อ ในหม้อมีเนื้อแพะและเนื้อวัวต้มส่งกลิ่นหอมอบอวล
สีหน้าทหารส่วนใหญ่ล้วนตื่นเต้นผสมกับความเหนื่อยล้า สำหรับพวกเขาแล้ววันนี้ไม่ได้รบหนักหนาอันใด สังหารพวกทหารนอกด่านที่ไม่อาจต่อต้านได้นั้นไม่เหนื่อยเลยจริงๆ
พลปืนไฟกับพลปืนใหญ่ลำบากกว่ามาก คนเฝ้าเวรยามก็ต้องทำตัวให้ตื่น คนที่เปลี่ยนเวรไปนอนก็เข้าไปนอนในกระโจมหรือไม่ก็นอนกรนเสียงดังข้างกองไฟทันที เหนื่อยมาทั้งวันยามนี้ได้ชดเชยแล้ว
หวังทงอยู่ในกระโจมตนเองกำลังฟังรายงานจากบรรดาขุนพลทหารแต่ละหน่วย แม้ว่ายามนี้ดึกมากแล้ว แต่ในฐานะแม่ทัพใหญ่ไม่อาจพักผ่อนได้ เข้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมาได้ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยนอนหลับได้ เรื่องมากมายเพิ่งเริ่มต้น
หลายประตูเมืองต้องเตรียมการป้องกันให้ดี หยางจิ้นนำคนออกไปลาดตระเวน สายลับแฝงตัวในเมืองก็มารายงานอีก
ร้านสามธารา ร้านจิ้นเหอ ร้านหย่งเซิ่งและร้านใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งเป็นกิจการในเครือของกองกำลังหู่เวย พวกเขามาอยู่ทำการค้าที่มณฑลซานซีนานพอควร ทำการค้ากับพวกนอกด่านมาโดยตลอด ในเมืองย่อมมีการค้าให้ทำกำไร และยังสืบการข่าวได้ เมื่อวานพวกนอกด่านกวาดล้างกิจการชาวฮั่น พวกเขาที่เคยผ่านการฝึกฝนมา ก็แอบซ่อนตัวทัน ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ยังมาช่วยนำทางให้ตอนทัพใหญ่เข้าเมืองมาได้อีกด้วย
“จะว่าไป เจ้าเป็นคนที่จางซื่อเฉียงพามาตอนข้าไปถึงเทียนจินใหม่ๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง”
หวังทงยิ้มกล่าวกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ตอนนั้นเพิ่งไปถึงเทียนจิน ต้องส่งสายไปไว้ในจวนของนายกองตรวจการ จางซื่อเฉียงหาคนจากเมืองหลวงและเมืองทงโจวมาได้กลุ่มหนึ่ง พอหวังทงคุมเทียนจินได้เบ็ดเสร็จ ชายหนุ่มกลุ่มนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นกำลังสำคัญที่จะส่งไปยังที่ต่างๆ
“แม่ทัพใหญ่ยังจำข้าน้อยได้ไหม ข้าน้อยรู้สึกตกใจยิ่ง”
สายลับผู้นั้นรีบยืนขึ้นตอบ หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ไม่ต้องตกใจอันใดไป เสร็จศึกครั้งนี้ การค้าเจ้าก็ยังคงทำต่อไป เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองแห่งโภคทรัพย์ เผ่าทางตะวันตกกับตะวันออก ทะเลทรายตอนเหนือไปจนถึงพ่อค้าแผ่นดินหมิง ล้วนมาทำการค้าที่นี่ ทำการค้าที่นี่ให้ยิ่งใหญ่ หาเงินให้มากพอจะดูแลที่นี่ให้ได้ ก็คงพอให้พวกเจ้าเสพสุขไปชั่วลูกหลาน”
สายลับแซ่เฉินผู้นี้เป็นหัวหน้ากลุ่ม อึ้งไปก่อนจะสีหน้าเป็นกังวลกล่าวว่า
“ความหมายของแม่ทัพใหญ่ก็คือต้องทำการค้าที่นี่ให้รุ่งเรือง และให้ร้านค้าเทียนจินมาเป็นหลัก?”
“แน่นอน ที่ดีเช่นนี้ตีมาได้ ย่อมไม่เพียงแค่ทำเป็นชายแดนเท่านั้น ต้องจัดการให้ดีๆ เจ้าดูที่นาอุดมสมบูรณ์นอกเมืองพวกนั้นสิ แม้ว่าปีหนึ่งทำนาได้แค่ฤดูเดียว แต่ก็เพียงพอเลี้ยงดูคนแถบนี้ เรื่องสัญญาที่ดินเจ้าต้องเร่งจัดการให้ดี นี่สิจึงจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติแท้จริง”
ความเก่งของหวังทงนอกจากการทหารแล้ว การค้าขายก็เชี่ยวชาญมาก ที่เขาว่ามานั้นเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของเมืองกุยฮว่าเฉิงแห่งนี้
ทรัพย์สินในเมืองมากมายก็จริง แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการทำการค้าแต่ละอย่างบนทุ่งหญ้า รอบเมืองกุยฮว่าเฉิงมีแม่น้ำถู่ม่อชวนก็หล่อเลี้ยงพื้นที่ดินทำนาอันอุดมสมบูรณ์ ยังมีทุ่งหญ้าพวกนั้นอีก นี่สิจึงจะเป็นสมบัติที่แท้จริง กุมพื้นที่นี้ได้ ย่อมเป็นดังภูเขาทองทะเลเงินไหลมาเทมา
และของพวกนี้ย่อมรู้สึกว่าไม่เตะตาเท่ากับทรัพย์สมบัติของพวกชนชั้นสูง แทบไม่มีคนสนใจ สีหน้าหัวหน้าสายลับเลื่อมใสจากใจ กำลังจะกล่าวอันใดก็ได้ยินมีคนนอกกระโจมรายงานว่า
“แม่ทัพใหญ่ พ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง หนิวเกินกัง นำชาวฮั่นในเมืองมาขอพบ!”
มองสายตาหวังทงที่ส่งมา หัวหน้าสายลับก็กล่าวว่า
“หนิวเกินกัง บรรพบุรุษมาสวามิภักดิ์ขอพึ่งพาพวกนอกด่าน ถือเป็นคหบดีใหญ่ในเมืองอันดับต้นๆ หากแม้เก่งการค้า แต่เพราะสถานะเป็นชาวฮั่น ไม่ได้รับความสำคัญ ไม่งั้นคงไม่เป็นแค่พ่อค้า”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“ได้ยินว่า เมื่อวานทหารนอกด่านปล้นชาวฮั่น กิจการหนิวเกินกังก็เสียหายไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือยังว่า ‘ไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ย่อมแตกต่างกัน’ ให้เขาเข้ามาได้!!”
*************
“แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยอยู่นอกด่านมานาน หากใจยังคงเป็นหมิง วันนี้แม่ทัพใหญ่นำทัพสวรรค์บัญชามาถึง พวกข้าน้อยดีใจอย่างหาที่สุดมิได้จริงๆ !”
หนิวเกินกังคุกเข่าลงกับพื้น ใช้น้ำเสียงซาบซึ้งใจสะอื้นไห้กล่าว หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มมองเขา ด้านหลังหนิวเกินกังมีคนอีกสิบกว่าคนคุกเข่าตาม ดูท่าทางอ้วนท้วนแบบคนมีอันจะกิน น่าจะเป็นพ่อค้าชาวฮั่นในเมือง หวังทงยิ้มถามขึ้น
“ทหารเข้าเมืองมา ครอบครัวและกิจการพวกเจ้าได้รับความเสียหายหรือไม่?”
“ทัพสวรรค์บัญชาไม่ได้ทำความเสียหายอันใด ระเบียบเข้มงวด พวกข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่ง”
กล่าวจบ หนิวเกินกังก็เงยหน้าลอบมอง ลุกขึ้นกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พวกข้าน้อยจับกุมมาได้คนหนึ่ง เป็นนักโทษราชสำนัก!!”