ตอนที่ 82 วันแรก
เรื่องเข้าฝึกที่ลานฝึกนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร หวังทงเดิมคิดว่าอีกสองสามวันถึงจะมาได้ ใครจะคิดว่าเที่ยงวันของวันที่ 18 เดือนหนึ่ง ก็มีคำสั่งจากในวังว่าบ่ายนี้ฮ่องเต้จะเสด็จแล้ว
เดิมยังคิดจะไปดูการรับสมัครคนมาทำงานที่ลานฝึกของหม่าซานเปียวและจางซื่อเฉียง พอเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้อีกแล้ว ได้แต่รอคอยอยู่ที่นี่…
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เด็กในลานฝึกก็ไปกินข้าวที่หอเลิศรสตามที่เคยปฏิบัติมาในหลายวันที่ผ่านมา หวังทงกับหลี่หู่โถวก็เดินตามอยู่ในกลุ่มมาห่างๆ ด้วย
หลังจากหอเลิศรสขยายร้าน ใช้พื้นที่เพียงครึ่งก็สามารถรองรับเด็กเหล่านี้ได้ทั้งหมด เส้นทางจากลานฝึกหู่เวยมาถึงหอเลิศรสไม่เห็นทหารสักคน มีแต่ ‘ชาวบ้าน’ รูปร่างกำยำไม่น้อย ‘เดินเล่น’ อยู่รอบๆ และมีเด็กน่าสงสัยไม่น้อย จึงทำให้ไม่สามารถไม่วางตาจากพวกเขาได้
หวังทงยิ้มฝืด เสแสร้งแกล้งกระทำเช่นนี้ยังดีเสียกว่าไม่กระทำอะไรเลย ทุกช่วงเวลามื้อเช้ากลางวันเย็นของหอเลิศรส ก็จะไม่เห็นขันทีหรือองครักษ์ในวังสักคน มีแต่ ‘ชาวบ้าน’ ที่กินข้าวกันอยู่ในร้าน
เช่นเดียวกัน ในเวลาที่เด็กจากลานฝึกไม่อยู่ หอเลิศรสจึงจะเปิดกิจการปกติได้ หวังทงไม่มีเหตุอะไรต้องกล่าวให้มากความในเรื่องนี้ พื้นเพครอบครัวของเด็กที่มาที่นี่ล้วนเป็นพวกคนในกองทัพทั้งจากเมืองหลวงและเมืองรอบๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจะเกิดเหตุอันใดขึ้นกับเด็กพวกนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย การเพิ่มการอารักขาการป้องกันก็เป็นสิ่งที่สมควร
จะว่าไป เด็กในลานฝึกหู่เวยมากินที่หอเลิศรสก็ต้องจ่ายเงิน แต่เป็นเงินที่ได้เป็นก้อนจากในวัง เดือนแรกให้ค่าอาหารมาสามพันตำลึง แม้จะเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดแล้ว ก็ยังเหลือกำไรถึงเจ็ดเท่า
หากจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจ ก็คงเป็นเรื่องคนในร้านที่มองเห็นหวังทงสวมเสื้อสั้นสีน้ำเงินเข้มเข้ามา
เจ้าก้อนหินที่ฉลาดคล่องแคล่วตอนนี้ได้เป็นหัวหน้าคนงานในร้านแล้ว บนบ่าพาดผ้าเช็ดมือสีขาวไว้ ยืนเรียกแขกอยู่หน้าประตู
“พี่ชายทุกท่าน วันนี้ร้านเราเตรียมเนื้อน้ำแดง น้ำซุปกระดูกแพะ ผัดผักสามสี ยังมีข้าวสวย พอเพียงแก่ทุกท่าน หลังอาหารยังมี…”
พูดได้ครึ่งเดียว ก็รู้สึกเจ็บหน้าอก ปิดปากไอกระแอม เด็กที่เดินผ่านมาด้านข้างเขานั้นก็เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า
“เจ้านี่ปัญญาอ่อนหรือไง…”
เพราะเจ้าก้อนหินเห็นหวังทงสวมเสื้อเช่นนี้ ขณะพูดอยู่นั้นมุมปากก็อดยิ้มไม่ได้ หลังจากถูกหวังทงถลึงตาใส่ คิดจะหุบยิ้มแต่ก็สำลักจนไอออกมา
พอเดินเข้ามาปิดม่านลง หวังทงได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านนอกชัดเจน พอเดินเข้ามาแล้วก็ได้ยินดังเข้าไปอีก เสียงปึงปัง โครมคราม จานชามในร้านร่วงหล่นกราว มีบางคนยกมือปิดปากกลั้นยิ้ม สถานการณ์วุ่นวาย เด็กเหล่านั้นมองรอบๆ อย่างแปลกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นางหม่าเป็นคนแรกที่ตะโกนให้เด็กๆ นั่งลงและดุให้คนงานทำงาน ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบ
หวังทงถอนหายใจ มองไปเห็นหลี่หู่โถวแอบหัวเราะล้อเขาอยู่ ก็อดเขกหัวเขาไม่ได้ และก็หัวเราะขึ้น
ตอนนี้ทุกคนเพิ่งพบว่า คนที่พวกเขาต้องเคารพ ต้องเกรงกลัวอย่างใต้เท้าหวังมากบารมีอย่างไรก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีร่างกายค่อนข้างสูงใหญ่
ตอนนี้ทุกคนพบว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนรูสึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับหวังทงนั้นยิ่งแคบลง ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น
ตอนที่ว่านลี่ปรากฏตัวขึ้นที่ลานฝึกเทียบกับตอนหวังทงและหลี่หู่โถวแล้วไม่ต่างกันมากนัก คนที่มาส่งพระองค์ไม่ได้เข้ามาในลานฝึกด้วย
ท่ามกลางสายตาเด็กร้อยคนในลานฝึก ฮ่องเต้ว่านลี่ในวัยเดียวกันเดินเขยกเข้ามา ฮ่องเต้น้อยสวมเสื้อสีน้ำเงินตัวสั้นตัวกลมๆ มองแล้วน่าขันยิ่งนัก
เขารู้สึกหวั่นเกรงสายตาไม่เป็นมิตรจากเด็กเหล่านี้ ยังดีที่มีหวังทงและหลี่หู่โถวที่พอคุ้นเคย จึงรีบเข้ามา
พอเดินเข้ามาก็รีบกระซิบบอกก่อนว่า
“ไม่ต้องมากพิธี ชื่อของเราตอนนี้คือหวงอี้จวิน”
หวังทงยิ้มพยักหน้ารับ แสดงถึงความเข้าใจ ชื่อของฮ่องเต้ว่านลี่คือ จูอี้จวิน คำว่า หวง นี้จากมาจากคำว่า ฮ่องเต้ ชื่อปลอมนี้ก็ตั้งเป็นนามแฝง
“คนแบบนี้ก็มาฝึกที่นี่ได้ หรือว่าหาคนไม่ได้?”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ ไม่ได้เสียงเบาแต่อย่างใดและยังคงดังมาถึงทางนี้อย่างต่อเนื่อง หลี่หู่โถวก็คิดเหมือนกับพวกนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไร
หวังทงกลับหันไปมองทันที เด็กพวกนี้คงไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตาย’ เขียนยังไง หากทำให้ฮ่องเต้น้อยโกรธขึ้นมาจริง ทุกคนคงได้หัวหลุดจากบ่า พอหันไปมองฮ่องเต้น้อย สีหน้ายังคงนิ่งเฉย กลับส่ายหน้าให้หวังทงเล็กน้อย จึงทำให้หวังทงวางใจลง
ครูฝึกสองสามคนรวมทั้งหลี่เหวินหย่วนเดินกันเข้ามา เด็กๆ พากันตื่นตัว สำหรับพวกเขาแล้วลานฝึกหู่เวยเป็นเหมือนปริศนา รายละเอียดไม่แน่ชัด วันนี้ได้เห็นบรรดาครูฝึกทุกคนท่าทางเอาจริงเอาจังมาก
ครูฝึกถือไม้พลอง เอวเหน็บแส้ สวมชุดดำรัดกุม ทุกคนมีท่าทางองอาจน่าเกรงขาม พอเข้ามาในลานฝึกก็เอาไม้พลองขีดเป็นเส้นตรงยาวๆ บนพื้น จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า
“ทุกคนมานี่ ยืนหน้าเส้นนี้ให้ดี เรียงหนึ่งแถว จากซ้ายไปขวา จากเตี้ยไปสูง”
ไม่ว่าเด็กเคยฝึกมาหรือไม่เคย แต่การฝึกทหารคำสั่งเช่นนี้ก็ถือว่าไม่แปลก ทั้งหมดรีบวิ่งกันมา หลี่หู่โถวกับว่านลี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกันขึ้น หวังทงสะกดกลั้นอารมณ์ให้นิ่งก่อนจะนำทุกคนเดินไปด้วยกัน
หวังทงยืนอยู่เป็นคนแรกด้านขวาสุด หลี่หู่โถวยืนอยู่เป็นคนแรกด้านซ้าย ฮ่องเต้ว่านลี่นั้นยืนอยู่เป็นคนที่สองจากซ้าย เพราะว่ารูปร่างเขาสูงกว่าหลี่หู่โถวนิดหน่อย
การรู้ไม่ได้แปลว่าทำเป็น เด็กเหล่านี้กว่าจะเรียงลำดับให้เป็นระเบียบเรียบร้อยก็ใช้เวลามากสักหน่อย ยังมีเด็กจากเมืองเสวียนฝู่ เมืองจี้โจวและเมืองหลวง ต่างแย่งที่ของตนจนเกิดปะทะกันเล็กน้อย กว่าจะจัดแถวเสร็จก็ปาไปครึ่งชั่วยาม
รวมหลี่เหวินหย่วนด้วยแล้วก็มีครูฝึกทั้งหมดหกคน ยืนนิ่งหน้าแถว คนหนึ่งตรงกลางตะโกนเสียงดังว่า
“จากนี้พวกเราจะเป็นครูฝึกของพวกเจ้า ข้าชื่อเจ้าใหญ่ ที่เหลือก็มีเฉียนสอง ซุนสาม หลี่สี่ โจวห้า อู๋หก…”
พอเอ่ยชื่อขึ้นทีละชื่อ ครูฝึกแต่ละคนก็จะยกมือขึ้น หลี่เหวินหย่วนก็คือหลี่สี่เพิ่งพูดจบ ก็มีคนในแถวนักเรียนอดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ นี่ไม่ใช่การเรียงชื่อลำดับจากหนังสืออักษรร้อยแซ่หรอกหรือนี่ คนที่รู้ก็เล่าเรื่องนี้ให้คนข้างๆ ฟัง เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ ดังขึ้น
เจ้าใหญ่ผู้นั้นดึงแส้ออกมาฟาดไปข้างหน้าอย่างแรงหนึ่งที เด็กคนที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกตาลาย ลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ตกใจสะดุ้งไปทั้งตัว จากนั้นทั้งลานฝึกก็เงียบลงทันที
“เมื่อมาที่นี่ ก็อย่าได้คิดว่าบิดามารดาเจ้าเป็นใคร ไม่ว่าร่ำรวยแค่ไหนอยู่ที่นี่ล้วนไร้ความหมาย เจ้าเป็นนักเรียนเหมือนกับคนข้างๆ เฉียนสองเจ้าอธิบายกฎระเบียบให้ทุกคน”
เสียงพูดยังไม่เงียบลงก็มีเสียงตะโกนอีกเสียงดังขึ้นว่า
“เรียกขานกันและกันว่า ‘พลทหาร’ รักษาเวลาให้เข้มงวด ห้ามสงสัยในการฝึก คนที่ลานฝึกจัดที่พักให้ หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามออกไปข้างนอก”
หลี่เหวินหย่วนที่ถูกเรียกว่าหลี่สี่ก็ก้าวออกมากล่าวว่า
“นอกจากการลงแส้เมื่อกระทำผิดกฎแล้ว สิ่งที่สอนพวกเจ้าและสิ่งที่ให้พวกเจ้าทำทุกวันจะมีการสอบตามกำหนด หากทำไม่ได้ก็จะไม่ลงแส้พวกเจ้า แต่จะให้พวกเจ้าวิ่งและฝึกให้มากขึ้น”
ครูฝึกแต่ละคนออกมาอธิบายกฎระเบียบ หวังทงฟังอย่างตั้งใจ กฎบางข้อเขาก็ร่วมตั้งขึ้น บางข้อก็ไม่มี นอกจากรักษากฎแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจลบหลู่พระเกียรติฮ่องเต้ ทุกอย่างล้วนไตร่ตรองกฎเหล่านี้ แต่ที่เด็กๆ ใส่ใจกลับไม่ใช่สิ่งนี้
“ฟังสิพลทหาร บิดาข้ากล่าวไว้ไม่ผิด นี่เป็นการฝึกกองกำลัง…”
“ไม่รู้ว่ากลับไปคราวนี้จะได้ตำแหน่งอะไรไหม ในกองทัพข้าอยากเป็น…”
ตำแหน่งพลทหารในราชวงศ์หมิงนั้นไร้ค่าที่สุด ทหารปกติทั่วไปก็มักถูกเรียกพลทหาร แต่คำเหล่านี้ก็ใช้ได้แค่ในแวดวงกองทัพ เอามาใช้ที่นี่ได้ แน่นอนย่อมมีความหมายอื่นแฝงอยู่
นักเรียนในลานฝึกกองกำลังส่วนใหญ่ก็เรียกพี่เรียกน้อง แต่หากใครเรียกฮ่องเต้ว่านลี่ว่าน้องชาย ย่อมมีความผิดประหารเก้าชั่วโคตร เพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก จึงได้กำหนดให้เรียก ‘พลทหาร’ โดยไม่แบ่งแยก
ในการฝึกนอกจากหลี่เหวินหย่วนแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้ว่าเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ ตอนพูดไปก็แอบมองไป พบว่าฮ่องเต้น้อยสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ยืนอย่างภาคภูมิใจอยู่ตรงนั้น
พอบอกกฎเสร็จ การฝึกก็เริ่มขึ้น วันแรกไม่มีอะไรซับซ้อน สิ่งพื้นฐานที่สุดยังคงต้องกล่าวสอนก่อน
ไม่ว่าท่าทางการยืน คำสั่งจัดแถว คำสั่งเดินแถวพร้อมกันอละอื่นๆ ต้องให้ได้มาตรฐาน หวังทงรู้สึกว่าน่าเบื่อและไม่น่าสนใจ แต่บรรดาเด็กเหล่านั้นกลับไม่คำนึงอะไรล้วนฝึกตามคำสั่งครูฝึกอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าถูกดุก็ยังรู้สึกสนุกสนาน
คนอื่นยังดี แต่ว่านลี่กลับไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เขากับหลี่หู่โถวเป็นสองคนที่ผิดเยอะที่สุด ครูฝึกคนอื่นไม่อยากเข้าไปสั่งสอนแต่หลี่เหวินหย่วนกลับไม่ลังเล หลี่หู่โถวกับฮ่องเต้ว่านลี่ถูกด่าไปยกใหญ่ เห็นคนอื่นได้แต่พากันเหงื่อท่วม
โครงสร้างลานฝึก รอบด้านล้วนเป็นรั้วไม้และกำแพงเตี้ยล้อมรอบ มีเพียงด้านตะวันตกที่สร้างติดกับกำแพงบ้านอื่น หน้าต่างบ้านเหล่านี้สามารถมองมายังลานฝึกได้
หวังทงเริ่มแรกยังงงกับการเก็บความลับและรักษาความสงบ ทำไมมีที่แบบนี้ ต่อมาจึงได้รู้ว่า เจ้าของบ้านเดิมนั้นย้ายไปแล้ว ตอนนี้เป็นที่อยู่ของบรรดาองครักษ์จากสำนักบูรพา คอยจับตาดูตลอดเวลา
แต่ตอนนี้หลังหน้าต่างนั้นกลับไม่ใช่คนจากสำนักบูรพา แต่เป็นขันทีสวมชุดแดงผมขาวโพลน สีหน้าอิดโรย มองออกมาด้านนอกส่งเสียงไออยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าคนจะอ่อนแอ แต่สติของขันทีผมขาวผู้นี้ยังแจ่มชัด มองไปก็วิจารณ์ไปว่า
“ไม่เลวจริงๆ ตอนที่อยู่เมืองไถโจว ฝึกทหารหนึ่งเดือนก็ไม่ได้มีรูปแบบเช่นนี้ วันหน้าลูกหลานทหารเหล่านี้ล้วนเป็นแม่ทัพชั้นเยี่ยมแห่งราชวงศ์หมิง!”