ตอนที่ 84 ลานฝึกของตนเอง
“ท่านหวังมาแล้ว รีบจัดแถว อย่ารอให้ข้าต้องลงแส้พวกเจ้า!!”
ณ บ้านหลังใหญ่ที่หวังทงซื้อ ชายหนุ่มห้าสิบคนรีบกล่าวทักทาย ซุนต้าไห่ถือแส้จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
ลูกหลานทหารพวกนี้อายุ 16 – 17 ปี ตอนมาก็ลำบากตรากตรำ แต่ทุกคนก็ยังยอมมา การได้มาเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ทุกครอบครัวต่างต้องแบกรับภาษีหนักหนา ที่ดินก็เล็ก พ่อหนึ่งลูกหนึ่งทำนาทำไร่ก็พอแล้ว ลูกชายคนอื่นๆ จึงไม่มีที่ไป ทุกคนว่างงาน เปลืองข้าวที่บ้าน
แต่จะหางานทำก็ยากมาก นอกเมืองในเมืองล้วนมีชายหนุ่มมากมายที่ไม่ใช่ทหารหางานทำ ไหนเลยจะมีงานเหลือมาให้ทำ หม่าซานเปียวบอกว่ามีทั้งที่กินที่อยู่ จึงมีคนไม่น้อยยอมมา อย่างไรปลายปีก็อาจโชคดี บอกว่ามีเงินให้อีก
ทุกคนไม่ได้โง่ ตอนก่อนมาก็คิดว่าแค่ช่วยกันเฝ้าบ้านช่วยเหลือในการต่อสู้ เป็นงานสบาย ไม่แน่ว่าหลอกทุกคนเข้าเมืองมาใช้แรงงาน เช่นนั้นทุกคนก็ยอมรับชะตากรรม ผู้ใหญ่ที่บ้านมาดูแล้ว และยังมีองครักษ์เสื้อแพรรับรอง จะหลอกกันก็คงหลอกกันได้ไม่เท่าไร
คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงก็มีกฎปฏิบัติ หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามออกจากบ้าน ใครแอบออกไปจะต้องถูกตี เด็กหนุ่มเหล่านี้ต่างพากันขึ้งเครียด กลัวว่าจะถูกหลอกแล้ว
ปรากฏว่าเมื่อได้กินอาหารมื้อแรก ความคิดทุกคนก็ทะลายลง เนื้อหม้อใหญ่ แผ่นแป้งขาวนวลในหม้อ ให้กินกันตามสบาย พระเจ้า! แม้ว่าฉลองปีใหม่ที่บ้านก็ไม่มีทางสะใจได้เท่านี้
เนื้อและแป้งขาวมากมายเพียงนี้ ยังมีซุปกระดูกแพะ แม้แต่ผู้ใหญ่ที่บ้านเราปีหนึ่งจะได้กินสักกี่ครั้งกัน? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาเสื้อผ้าที่แจกให้นั่นอีก
กินข้าวมื้อนี้ไปก็คงไม่มีใครอยากไปแล้ว คนมีสมองก็เข้าใจดีว่าให้อาหารดีเพียงนี้ หากเพียงแค่ใช้แรงงานก็ดูจะไม่คุ้มค่านัก หรือว่าจะจ้างพวกเราไปทำเรื่องเลวร้ายอันใด บรรดาเด็กยังไม่โตพวกนี้ก็พากันวุ่นวายใจ
ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่า กินดีอยู่ดีแต่ไม่ให้ออกไป ทุกวันทำแต่เรื่องประหลาด เช่นเรียงแถว ยกแท่งศิลาหิน หรือเดินแถวพร้อมกัน
ฝึกไปได้ 20 กว่าวัน สุดท้ายก็เดินพร้อมกันเป็นแถว เป็นขบวน พอได้ยินคำสั่งหัวหน้าก็มีปฏิกิริยาตอบรับทันที
ได้ยินหัวหน้าซุนที่เป็นครูฝึกบอกว่า ที่ท่านหวังจ้างพวกเขานั้นจะเปลี่ยนระเบียบการฝึกซ้อมของทุกวันให้พวกเขา ตอนเช้าท่านหวังผู้นี้จะมาดูที่นี่ทุกวัน ส่วนใหญ่ก็คุยกับทุกคนเป็นกันเอง ฝึกกับทุกคน หรือไม่ก็สั่งให้คนส่งอาหารจัดอาหารให้พวกเขาเพิ่มอีก
เรียกกันว่า นายท่าน แต่มองนายท่านหวังแล้ว นอกจากรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับทุกคน ดูอายุแล้วก็น่าจะเด็กกว่า
ทำไมหัวหน้าซุนที่ดูโหดร้ายกับหัวหน้าหลี่ที่หน้าตาดุร้ายจะเคารพเกรงกลัวเขาขนาดนั้น หรือว่าเพราะตัวสูง หรือมีความสามารถพิเศษอะไรเหนือคนอื่น
“รีบเข้าแถว เงียบให้หมด ใต้เท้าหวังจะเข้ามาแล้ว!!”
ซุนต้าไห่สะบัดแส้คำรามเสียงดัง ทุกคนรีบเรียงเป็นสองแถวอย่างดี หวังทงก้าวเข้ามาถึง เสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินเต็มไปด้วยคราบฝุ่นสองสามจุด ซุนต้าไห่รีบเข้าไปใกล้กระซิบถามว่า
“ใต้เท้า เกิดอะไรขึ้น?”
“ล้มตอนเรียนขี่ม้า ไม่เป็นไร คนเหล่านี้ฝึกมาหนึ่งเดือน ดูใช้ได้เลยนะ”
หวังทงตอนนี้กำลังเรียนขี่ม้ากับหม่าซานเปียว ทุกคนรู้กันดี พอได้ยินคำชม ซุนต้าไห่ก็ยิ้มกริ่มกล่าวว่า
“เป็นเพราะวิธีการของใต้เท้าและพี่หลี่ได้ผลดี ตอนเจ้าลูกหมาพวกนี้เพิ่งมายังแยกซ้ายขวาไม่ออก ตอนนี้เทียบกับพวกกเฬวรากในกองทัพพวกนั้นแล้วยังดีกว่า ใต้เท้าว่าพวกเราสอนใช้อาวุธดีไหม”
หวังทงส่ายหน้า เดินไปด้านหน้าของทั้งสองแถวถามว่า
“หลายวันมานี้เหนื่อยไหม?”
บรรดาคนที่ถูกถามพากันอึ้งไป ซุนต้าไห่ยืนอยู่ข้างๆ สะบัดแส้อย่างแรง ตะโกนว่า
“นายท่านถาม รีบตอบ!!”
“เหนื่อย!!”
“อยู่ที่นี่เบื่อไม่เบื่อ?”
“เบื่อ!!”
“อยากออกไปไหม?”
“อยาก!!”
“เช่นนั้นก็จะให้พวกเจ้าออกไป!!”
พอพูดจบ บรรดาชายหนุ่มก็ร้อนใจทันที ผู้หนึ่งท่าทางหยาบกระด้างตะโกนขึ้นทันทีว่า
“นายท่านไม่ต้องการพวกเราแล้วหรือ…”
“…ที่นี่ก็ดีนะ ไม่น่าเบื่ออะไร…”
“…หากทุกวันกินกันมากไป วันเว้นวันค่อยกินเนื้อสักมื้อก็ได้…”
หวังทงหัวเราะ กล่าวด้วยน้ำเสียงดังกว่าเดิมว่า
“จากนี้ทุกวันออกไปวิ่งนอกเมืองวันละหกลี้ ที่ฝึกอยู่ตอนนี้ก็ยังต้องฝึกต่อไป”
ชายเหล่านี้ถอนหายใจ ได้ยินว่าจะฝึกมากขึ้นก็พากันโอดครวญ หวังทงยกโบกมือกล่าวต่อว่า
“ทุกวันตอนบ่ายวิ่งเสร็จ จะให้ซาลาเปาพวกเจ้าคนละสองลูก ตอนนี้อย่าได้โอดครวญว่าลำบาก รอพวกเจ้าชิน จะให้พวกเจ้าทุกคนไปวิ่งนอกเมืองวันละสิบลี้”
ทุกวันนอกจากฝึกในบ้านแล้ว ยังต้องวิ่งสิบลี้ คนเหล่านี้ได้ยินก็ลืมโอดครวญว่าลำบาก ทุกคนมีสีหน้าดำคล้ำ ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี หวังทงหันไปทางซุนต้าไห่กล่าวว่า
“คนของเจ้ามีคนขี่ม้าเป็นใช่ไหม ถึงตอนนั้นพาซานเปียวมาด้วย ใครวิ่งช้าก็ให้ลงแส้ ใครคิดวิ่งกลับบ้าน พากลับมาโบยให้หนัก!!”
ซุนต้าไห่ยิ้มร่ารับคำ
สั่งการง่ายๆ จบ หันหลังเดินออกมาก็เจอหลี่เหวินหย่วนที่มุ่งมาที่นี่ ความสัมพันธ์ครูศิษย์ที่ลานฝึกหู่เวย ยามปกติก็เป็นผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา พอสองคนเจอกันก็เก้ๆ กังๆ เล็กน้อย หลี่เหวินหย่วนเอ่ยเสียงนิ่งเรียบเป็นปกติว่า
“ใต้เท้า ตอนบ่ายจะสอนอะไรใหม่?”
หลี่เหวินหย่วนกับครูฝึกคนอื่นที่เชิญมานั้นต่างกัน ทุกวันสอนอะไรก็จะมีเจ้าใหญ่คอยแจ้งก่อน ก็ทำให้มีเวลาเตรียม หลี่เหวินหย่วนเป็นทหารของชีจี้กวง แม้มีฝีมือดี แต่พวกเจ้าใหญ่ก็เป็นขุนพลที่คัดมาจากกองทัพหมิง ทุกอย่างเก่งเกินกว่าเขา ดังนั้นย่อมไม่ต้องการให้เขาทำอะไร ผลก็คือทุกวันที่ลานฝึกไม่มีอะไรให้ทำ แม้แต่เรียนอะไรยังต้องถามหวังทงถึงจะรู้ รู้สึกเซ็งมาก
ตั้งแต่ติดตามหวังทงมา ชีวิตหลี่เหวินหย่วนก็สบายขึ้น แต่ก็ไม่ยอมไปอยู่ที่ลานฝึกหู่เวยนั่น หลายครั้งที่บอกหวังทงว่าไม่อยากเป็นครูฝึกที่ลานฝึก อยากจะมาสอนพวกของตนเองที่นี่ แต่ถูกหวังทงปฏิเสธกลับไป บอกกับเขาว่า ให้อยู่ที่ลานฝึกนี่ต่อไป ย่อมมีสิ่งดีที่คาดไม่ถึงรออยู่
“นี่ผ่านมานานเท่าไรเอง ของใหม่ตอนบ่ายก็แค่เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง”
คำถามของหลี่เหวินหย่วนที่ถามไปอย่างนั้น หวังทงก็ตอบอย่างเบื่อหน่าย เวลาผ่านไปเกือบเดือนแล้ว ทุกวันที่ลานฝึกก็ยิ่งรู้สึกน่าเบื่อหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
บรรดาเด็กในลานฝึกที่มาจากเมืองหลวงและเมืองรอบๆ ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงสมรรถภาพร่างกาย แต่ความเข้าใจในกฎเกณฑ์และความพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะนั้นเท่ากับศูนย์ หนึ่งเดือนมานี้ทุกวันเข้าแถว เรียงแถว และเดินแถวพร้อมกัน สุดท้ายทำให้เจ้าเด็กพวกนี้เข้าใจแนวคิดความพร้อมเพรียงแบบหมู่คณะและรู้จักธรรมเนียมกันบ้างแล้ว
พอดูใช้ได้แล้วก็ต้องเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ความยากในการฝึกก็ยากขึ้นไปด้วย…
สำหรับหวังทงแล้ว การให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบในสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนประถมซ้ำอีกรอบนั้น ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี
จะว่าไปลานฝึกหู่เวยนี้ หวังทงได้บรรลุเป้าหมายในตอนแรกที่ต้องการใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่และสร้างสัมพันธภาพของทั้งสองให้ยิ่งใกล้ชิดแล้ว
แต่เส้นทางบรรลุผลนี้กลับไม่น่ายินดีนัก เดิมคิดว่าเด็กอายุราว 13 ปี คงเป็นเด็กน่ารักเชื่อฟัง เมื่อทุกคนมาอยู่ร่วมกันที่ลานฝึกก็อยู่ร่วมกันดี หวังทงจะได้มีเพื่อนบ้าง คิดไม่ถึงว่าเรื่องกลับตาลปัตรไปได้
ในยุคสมัยนี้เด็กอายุ 13 แต่งงานก็มีให้เห็นทั่วไป ลูกหลานตระกูลทหารพวกนี้โตเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าคนอายุเดียวกันในหลายร้อยปีต่อมา แน่นอนว่าหวังทงที่มีความคิดของผู้ใหญ่อยู่ในตัวกับฮ่องเต้ว่านลี่ที่เติบโตท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงในวังก็เป็นผู้ใหญ่มาก แต่ปัญหาก็คือหวังทงตระกูลต่ำต้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังปิดบังสถานะตน หลี่หู่โถวก็ไม่มีคนสนใจ เด็กในลานฝึกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มและกลุ่มเล็กๆ อีกมาก แต่หวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่และหลี่หู่โถวกลับไม่อาจอยู่ในกลุ่มไหนได้
ถูกบรรดาเด็กๆ กีดกัน ทุกวันต้องเจอกับสีหน้าเย็นชา ความรู้สึกนี้เริ่มน่าขัน แต่ก็เปลี่ยนกลายเป็นความอึดอัดอย่างรวดเร็ว…
เริ่มแรกฮ่องเต้ว่านลี่ตื่นเต้นทุกวัน แต่ต่อมาก็เงียบขรึมไร้อารมณ์ มีเพียงตอนที่อยู่กับหวังทงและหลี่หู่โถวเท่านั้นที่จะพูดคุยยิ้มแย้ม
หวังทงไม่มีเวลาว่างทุกวัน ตอนเช้ายุ่งกับงานในหน้าที่ ปกติมักต้องพบกับหลี่ว์วั่นไฉ หวังซื่อและหลี่กุ้ยจากศาลซุ่นเทียน
หลี่ว์วั่นไฉกับสองหัวหน้ามือปราบศาลซุ่นเทียน ตอนนี้กลายเป็นพวกชายขอบไปแล้ว เจ้ากรมหวงเซินศาลซุ่นเทียนตอนนี้ไม่เอ่ยลงโทษว่ากล่าวอันใดอีก จับเขาทั้งสามแช่แข็งไว้ ท่าทีหัวหน้าเป็นเช่นนี้ บรรดาผู้ร่วมงานและลูกน้องก็ไม่ต้องพูดถึง หลี่ว์วั่นไฉกับสองหัวหน้ามือปราบจึงได้แต่คว้าสายสัมพันธ์กับหวังทงไว้ให้แน่น มารายงานทั้งเช้าทั้งเย็น เรื่องเล็กใหญ่ในศาล พวกเขารู้ หวังทงก็รู้
หวังทงทางนี้ก็ตอบแทนน้ำใจ ทุกเดือนจะมอบเงินให้หลี่ว์วั่นไฉกับสองหัวหน้ามือปราบ หลี่ว์วั่นไฉได้เดือนละห้าตำลึง สองหัวหน้ามือปราบได้เดือนสามตำลึง
เงินที่ได้ถ้าเทียบกับตอนมีอำนาจที่ศาลซุนเทียนแล้วแม้ว่าจะน้อยกว่า แต่ตอนนี้เป็นพวกชายขอบแล้ว เงินก้อนนี้ก็ยังมากกว่าเบี้ยหวัดที่ได้รับมากนัก ทางนั้นมีน้ำใจและให้เงินมาก ใจย่อมเอนไปทางนั้นอย่างไม่ต้องเอ่ยให้มากความ
“ใต้เท้าหวัง ลัทธิไตรสุริยันกับสำนักไตรสุริยันฟ้าดินในสังกัด นอกจากปล่อยเงินกู้ดอกสูง สร้างสถานการณ์มุ่งเอาทรัพย์ในเมืองหลวงแล้ว การค้าอื่นๆ ก็ไม่น้อย ในเมืองมีอย่างน้อยสามร้าน นอกเมืองมีอย่างน้อยสองโรง…”
ทุกวันเว้นวัน หลี่ว์วั่นไฉจะนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากศาลซุ่นเทียนมารายงาน เขาไปมาหาสู่กับพวกลัทธินี้ในเมืองหลวงมากที่สุด ข่าวสารที่รวบรวมมาได้ก็มาก หากสืบค้น ค้นหาอย่างละเอียดแล้ว ก็ย่อมได้ข่าวที่มีค่ามาอย่างรวดเร็ว
“อย่างน้อยที่สุดก็มีหอคณิกาสองแห่งที่เคยซื้อหญิงสาวจากลัทธิไตรสุริยัน และลัทธิไตรสุริยันก็มักจะซื้อหาหญิงสาวมาจากนอกเมือง แต่ก็ไม่เหมือนกับการซื้อขายคน”
หวังซื่อกับหลี่กุ้ยก็เหมือนมีสายข่าวตนกล่าวเสริมขึ้น