№ 136 ถูกพบตัว!
“ฆ่าเจ้าซะ! ฆ่าเจ้าซะ! อ๊าก! ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป!”
ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งร้องโวยวายบ้าคลั่งอย่างเสียสติโดยสิ้นเชิง พลังเร้นลับทั่วร่างกำลังพลุ่งพล่าน ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ข้างกายเขาเกินไปนัก
“ท่านปู่ เป็นข้า นี่ข้าเอง! ข้าแม่หนูเฟิ่งไง”
เห็นชายแก่ต้องมารับเคราะห์เช่นนี้เพราะเธอ น้ำตาก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว หัวใจคับแน่นเจ็บปวด เวลานี้ล่ะอยากจะยกซูรั่วอวิ๋นขึ้นแขวนแล้วเฉือนเนื้อรีดเลือดเสียจริง! เพื่อระบายซึ่งความเกลียดชังในใจ
“ฆ่าเจ้าซะ! อ๊าก!”
เห็นเขาสิ้นเสียสติโดยสมบูรณ์ เธอจึงทำได้เพียงอดกลั้นความเจ็บปวดในใจ ดึงเข็มเงินออกมาปล่อยกลิ่นอายพลังเร้นลับเข้าทิ่มไปที่เขา
“ฆ่า…”
น้ำเสียงท่านผู้เฒ่าเฟิ่งอ่อนลง ทั้งร่างเป็นลมตามไป พร้อมกลิ่นอายพลังเร้นลับบนร่างก็เหือดหาย
เธอเร่งฝีเท้าเดินออกหน้ามาจับชีพจรเขาถึงข้างเตียง พอตรวจไปก็หม่นใจเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเหล็กเส้นหนึ่งออกจากห้วงมิติมาสะเดาะล็อคตรงมือและเท้า หลังจากกดจุดเส้นประสาทที่ทำให้เขาสลบไว้ ก็ส่งตัวเข้าห้วงมิติ ถึงจะออกไปด้วยความรวดเร็ว กลับไม่นึกว่า เมื่อออกประตูไป จะพบกับคนรับใช้ที่กำลังเดินเข้ามาในเรือนพอดี
“ใครน่ะ!”
คนรับใช้ตะโกนลั่น เห็นสององครักษ์ล้มอยู่บนพื้นไม่รู้เป็นหรือตาย คนชุดดำนั่นเข้าไปในห้องท่านผู้เฒ่า ด้วยความตกใจ จึงแผดลั่นเสียงออกไปทันที “มานี่สิ! มาเร็วๆ เข้า! มีคนร้าย!”
ขณะสิ้นสุดน้ำเสียง ก็เดินก้าวไปด้านหน้า ทั้งตัวคนกระโจนออกไป อยากจะจับกุมตัวคนชุดดำนั่นไว้
บ้าจริง!
เฟิ่งจิ่วแอบสบถอยู่ในใจ ไม่นึกว่าเวลานี้จะมีคนเข้ามา ตอนนี้เห็นคนรับใช้กระโจนมาหา จึงเรียกพลังกระโดดขึ้นทันที ขาอาศัยแรงเหยียบไปบนไหล่คนรับใช้นิดหนึ่ง แล้วพุ่งไปบนหลังคา เมื่อเตรียมตัวจะออกจากจวนอย่างรวดเร็ว กลับไม่คิดว่าเสียงร้องอุทานของคนรับใช้จะทำให้ผู้คนในจวนแตกตื่น โดยเฉพาะเฟิ่งเซียวกับมู่หรงอี้เซวียนในห้องโถงเรือนด้านหน้า
“เจ้าหัวขโมยจะหนีไปไหน!”
น้ำเสียงที่ทั้งทุ้มเข้มและแฝงไปด้วยพลังเร้นลับคละคลุ้งดังลอยมาราวกับเสือคำราม กลิ่นอายพลังเร้นลับอันแกร่งกล้าสั่นสะเทือนเป็นกระแสลมกลางอากาศที่สั่นไหวอยู่น้อยๆ
เฟิ่งจิ่วหันกลับไปมอง เห็นท่านพ่อเรียกพลังลอยถลาเข้ามา หมัดพยัคฆ์โจมตีมาพร้อมทั้งพลังมืดอันแข็งแกร่ง ใบมีดลมที่เกิดขึ้นจากความแรงหมัดตวัดผ่านกลางอากาศ ส่งเสียงดังฟิ้วออกมา
ตามปกติเธอไม่อาจลงมือกับเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสู้ได้หรือไม่ แค่ทำเขาบาดเจ็บโดยไม่ระวังก็ไม่ดีแล้วล่ะ!
ตอนนี้ เธอหมุนกลับตัว ระหว่างหมุนก็หลบหมัดที่โจมตีมารุนแรงอย่างรวดเร็ว ไม่ประมือกับเขาซึ่งๆ หน้า แต่เลือกที่จะเร่งรีบถอยห่างแล้วเรียกพลังกระโดดออกไปนอกจวน
“จับหัวขโมยนั่นไว้!”
เฟิ่งเซียวแผดเสียงลั่น เห็นมู่หรงอี้เซวียนขวางอยู่เบื้องหน้าคนชุดดำ จึงรีบร้อนกลับตัวเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นตัวท่านพ่อไม่อยู่ในห้อง ใจก็หมองมัว “ท่านผู้เฒ่าล่ะ?”
คนรับใช้ลนลานตามมา เห็นในห้องไม่มีคน จึงตกใจอย่างอดไม่ได้ รีบเอ่ยว่า “เมื่อกี้ข้าน้อยเข้ามาในเรือน เห็นแค่คนชุดดำนั่นออกมาจากห้อง ไม่เห็นท่านผู้เฒ่าเลยขอรับ”
“ไปหาสิ! รีบไปตามหาเร็ว!”
เขาตะคอกเสียงดัง สายตามองไปยังทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันบนหลังคา “ต้องจับหัวขโมยนั่นให้ได้!”
เธอไม่กล้าลงมือกับท่านพ่อ แต่ไม่เกรงใจมู่หรงอี้เซวียนเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มู่หรงอี้เซวียนที่รู้จักกันในนามอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแคว้นแสงสุริยัน เธออยากประชันฝีมือด้วยสักครั้งมาตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงลงมือดุร้ายในทุกกระบวนท่า และหาโอกาสฆ่าอยู่ทุกท่วงที
“ฟิ้ว! ผัวะๆ!”
เห็นฝีมือคนชุดดำนั่นไม่ด้อยไปกว่ามู่หรงอี้เซวียน เฟิ่งเซียวก็แอบตกตะลึงกับตัวเอง
ที่เมืองอวิ๋นเยวี่ยมียอดฝีมือเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? ต้องรู้ไว้ กำลังวรยุทธ์ของมู่หรงอี้เซวียนไม่ใช่ที่คนธรรมดาจะรับมือได้ไหว เมื่อครู่ไม่อาจมองอย่างละเอียด ตอนนี้พอดูดีๆ ทำไมถึงรู้สึกว่าเงาร่างสีดำนั้นช่างคุ้นตาอยู่นิดหน่อยกันนะ?
………………………………