№ 196 ความรู้สึกหวั่นไหว!
หลังจากนายท่านเหยียนได้ยินเสียงนาง ก็หันกลับมามอง เมื่อเห็นนางก้าวเท้าลื่นก้อนหิน ตัวพุ่งไปข้างสระน้ำ จึงปรี่เข้าไปรับนางไว้ตามสัญชาตญาณแทบจะทันที
แต่พอคนเข้าสู่อ้อมกอด เขาก็ผงะไป
เรือนร่างสาวน้อยอ้อนแอ้นชนเข้ามาในอ้อมแขนเขา ร่างกายอ่อนนุ่มแนบไปกับแผงอกแกร่งกำยำ กลิ่นหอมยาจางๆ บนร่างนางที่มีเอกลักษณ์ลอยปนอยู่ในลมหายใจ ทำให้ความหวั่นไหวผุดขึ้นในหัวใจ…
สองมือขาวเนียนกำคอเสื้อบนตัวเขาไว้แน่นหนา ใบหน้าเล็กซุกอยู่กลางอก เห็นเพียงเส้นผมสีหมึกที่เงางามนุ่มสลวย คนในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สบเข้ากับดวงตาลึกล้ำที่หลุบมองลง ระยะใกล้เช่นนี้ ดวงตาสองคู่ประสานกัน ความรู้สึกที่ไม่รู้ชื่อก็แผ่นซ่านอยู่ในหัวใจอย่างเงียบเชียบ
แต่เมื่อสถานการณ์ของพวกเขาสองคนตกสู่สายตาอิ่งอีที่อยู่ไม่ไกล กลับกลายเป็นทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรักใคร่เสน่หา มองเสียจนเขาคิดเตลิดเปิดเปิงอยู่ท่ามกลางสายลม
ไม่ใช่กระมัง? นั่นเป็นสองชายชาตรีนะ! ต่อให้หนุ่มน้อยนั่นอ้อนแอ้นไปหน่อย แต่ก็ยากละเลยความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ชาย ทว่าตอนนี้ นึกไม่ถึงว่านายท่าน นายท่านจะโอบเอวหนุ่มน้อยนั่นไม่วางมือ ซ้ำทั้งสองยังสบตากันอย่างแนบชิดใกล้เพียงนั้นอีก
ภาพตรงหน้านั้น ทำให้เขาแทบจะมองรอบๆ ไปตามสัญชาตญาณ คิดว่า จะให้คนอื่นเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้น ชื่อเสียงนายท่านได้พังทลายลงหมดแน่!
เฟิ่งจิ่วมองนายท่านเหยียนที่โอบเอวเธอไว้อย่างตื่นตระหนก ในห้วงทะเลแห่งความคิดไม่มีความรู้สึกไม่ทราบชื่อที่สับสนวุ่นวายพวกนั้น แค่คิดว่า ‘ตอนนี้เธอเป็นผู้ชาย เขาโอบกอดชายหนุ่มเช่นนี้จะเหมาะสมจริงๆ รึ?’
ถูกแววตาล้ำลึกจ้องมองเช่นนั้น เธอก็หนาวสั่นอย่างอดไม่ได้ ขนลุกชูชันขึ้นทั่วร่าง ก่อนจะรีบร้อนถอยออกไป
“ขอโทษด้วยๆ เท้ามันลื่นน่ะ”
เธอพูดพลางถอยห่าง ยิ้มหน้าเหยเก “ข้าแค่เข้ามาทักทาย ท่านก็ทำอะไรต่อไปเถอะๆ”
เห็นสาวน้อยวิ่งออกไปราวกับหนีเอาชีวิตรอด นายท่านเหยียนก้มหน้ามองมือตัวเอง คล้ายกำลังหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง มองเสียจนในที่สุดอิ่งอีข้างๆ ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“นายท่าน ที่ หอนารีวิไลนั่นสองวันนี้มีหญิงรูปโฉมงดงามยิ่งมาอีกสองสามคน”
ได้ยินเช่นนี้ นายท่านเหยียนก็มองที่เขา “แล้วยังไงรึ?”
“แล้ว แล้วข้าน้อยคิดว่า นายท่านต้องการให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติคืนนี้หรือไม่ขอรับ?”
พูดประโยคนี้จบ อิ่งอีเพียงเห็นสายตาเย็นเยียบที่นายท่านกวาดมองมาทางเขา มองเสียจนหนังศีรษะเขาด้านชา แทบจะทรุดลงไปอย่างขืนไว้ไม่อยู่
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเดินไปพลางเช็ดถูแขน พูดพึมพำว่า “นายท่านเหยียนผู้นี้ คงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ กระมัง? ต่อให้ชอบผู้ชายก็คงไม่ชอบข้า? อีกอย่าง ถึงยังไงใบหน้าข้าก็เสียโฉม แบกหน้าที่ฉาบยาสีเขียวปนดำถึงเพียงนี้เขาจะชอบข้าได้รึ?”
“คงเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าต้องคิดมากไปเองแน่ๆ”
เธอถอนหายใจเบาๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ เห็นหอโอสถอยู่เบื้องหน้า จึงก้าวยาวเดินเข้าไป พลางทักทายหลินเหล่าที่ตรวจดูสมุนไพรอยู่ในสวน “หลินเหล่า นี่ภูตน้อยเอง!”
หลินเหล่าหันกลับไปมองเขา พลันมองซ้ายมองขวาสักพัก แล้วมายังข้างกายนาง ถามว่า “ได้ยินว่า เมื่อคืนนายท่านให้เจ้าอยู่เฝ้าค้างคืนรึ?”
“อืม” เธอพยักหน้า
“นายท่านให้เจ้าเฝ้าค้างคืนได้อย่างไรกัน? แล้วให้เจ้าทำอะไรบ้าง?” หลินเหล่าน้ำเสียงแปลกใจ สายตาที่มองเขามีความเคลือบแคลงใจ
ได้ยินคำพูดนี้ ค่อยมองท่าทางซุบซิบนินทาของหลินเหล่า มุมปากเฟิ่งจิ่วก็กระตุกน้อยๆ…
………………………………