№ 275 ไม่น่าเชื่อ!
จริงๆ แล้วนางไม่รู้ เจ้าตำหนักยมราชเคยบอกไว้ว่าหากไม่อาจคอยปกป้องเฟิ่งจิ่วอยู่ข้างกายได้ มันก็ไม่มีค่าพอจะอยู่ต่อไป
อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดที่สง่าผ่าเผยอย่างมัน ไม่คิดเลยว่าจะถูกข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง แต่มันจนปัญญากับมนุษย์ที่มาคุกคามผู้นั้น พอนึกถึงชายหนุ่มที่มีพลังค่อนข้างน่าหวาดกลัว ฉิวฉิวที่เดิมนอนเงียบๆ อยู่บนหลังม้าก็หนาวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นี่เป็นความโชคร้ายของมัน เดิมทีคิดว่าทำลายหินออกมาแล้วจะได้เป็นอิสระในที่สุด ใครจะไปรู้ว่าจะมาพบชายที่มีพลังแข็งแกร่งถึงขั้นพิสดารเช่นนั้น? ทั้งขู่เข็ญทั้งสูบดวงวิญญาณมัน หากไม่ยอมเชื่อฟัง ชีวิตเล็กๆ อาจไม่ปลอดภัยได้ทุกเมื่อ
ดวงตามันกวาดมองหนุ่มน้อยชุดแดงอย่างเหยียดหยัน มองไม่ออกเลยว่ามนุษย์หนุ่มน้อยผู้นี้มีอะไรที่หายากนัก หนำซ้ำยังอ่อนแอจะตาย ให้อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดอย่างมันมาคอยปกป้อง เขาก็ได้ประโยชน์แล้ว
เหล่าไป๋ได้ยินว่าด้านหน้ามีของกินก็น้ำลายไหล พลังงานเต็มเปี่ยม เตะกีบเท้าวิ่งปรี่ไปด้านหน้า ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาให้เหลิ่งซวงกับฉิวฉิวด้านหลัง
ฉิวฉิวที่นอนหมอบอยู่สำลักฝุ่นนั้น จึงโมโหเสียจนเหยียดตัวนั่งตัวมองร่างตรงหน้าที่วิ่งห้อไปด้วยความขุ่นเคือง
เจ้าม้าอ้วน! รู้จักแต่เรื่องกินๆๆ! ทำไมไม่อ้วนตายไปซะเลย!
ผ่านไปไม่นาน เมื่อมาถึงเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านสองหลังนั้น เฟิ่งจิ่วด้านหน้ากลับแปลกใจอยู่บ้าง เธอที่นั่งอยู่บนหลังเหล่าไป๋ดึงเชือกบังเหียนม้า มองสถานที่ตรงหน้า ดวงตาเป็นประกายน้อยๆ
เหลิ่งซวงที่ไล่ตามมาจากด้านหลังมายังข้างกาย เห็นนางหยุดอยู่ไม่เดินหน้า มองยังบ้านสองหลังนั้นที่เปิดไฟไว้ จึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “นายท่านคอยอยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปสำรวจก่อนเจ้าค่ะ” ก่อนพลิกตัวลงจากม้าเดินไปทางด้านนั้น
“ข้าจะไปกับเจ้า”
เฟิ่งจิ่วพลิกตัวลงพื้น จูงเหล่าไป๋เดินลงไป ทว่าเหล่าไป๋กลับเหมือนไม่ค่อยอยากเข้าไป ส่งเสียงร้องสองสามครั้ง กระทืบกีบม้าลงบนพื้นอย่างกระสับกระส่าย
เฟิ่งจิ่วยิ้มเล็กน้อย ลูบหัวปลอบมันเบาๆ พลางพูดเสียงอบอุ่นว่า “ไม่เป็นไร ตามมาเถอะ!”
เห็นเช่นนี้ เหล่าไป๋ถึงจะตอบรับเบาๆ แล้วตามไปข้างกายนางอย่างว่าง่าย
ส่วนฉิวฉิวที่นอนอยู่บนหลังม้ายามนี้หรี่ตาลง สายตามองไปบนร่างเฟิ่งจิ่ว และมองไปทางบ้านสองหลังนั้นพักหนึ่ง ก่อนจะตามเข้าไปโดยไม่ส่งเสียงอะไร
ตรงนี้มีแค่บ้านสองหลัง ด้านในเปิดไฟไว้ อาจเพราะปกติไม่ค่อยเห็นคนนอกมาเยือนนัก เด็กชายอายุราวสี่ห้าขวบที่นั่งเล่นก้อนหินอยู่หน้าประตูจึงกะพริบตามองเฟิ่งจิ่วในชุดแดงกับเหลิ่งซวงที่สวมชุดดำจูงม้าเดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาลุกขึ้นวิ่งเข้าเรือนไปทันที ตะโกนลั่นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่! มีคนมา มากันสองคน”
“ฮี้! ฮี้!”
เหล่าไป๋พ่นลมออกมาจากสองรูจมูก กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ดึงหัวเบาๆ จะลากเฟิ่งจิ่วออกไป
เห็นท่าทางแปลกๆ ของเหล่าไป๋ แววตาเฟิ่งจิ่ววูบไหวน้อยๆ มองไปทางบ้านหลังนั้น กวาดมองไปทางบ้านอีกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน แล้วเก็บสายตากลับช้าๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
จนกระทั่งเด็กน้อยที่วิ่งเข้าไปก่อนหน้านี้เดินออกมา ยืนอยู่ตรงประตูมองเฟิ่งจิ่ว รวมถึงเหล่าไป๋ที่เธอจูงไว้กับฉิวฉิวซึ่งนอนอยู่บนหลังม้าด้วยความสงสัย
ตอนนี้เอง บริเวณประตูบ้านที่แง้มอยู่ครึ่งหนึ่งมีสตรีอายุยังน้อยโผล่ออกมาสำรวจครึ่งตัว มองยังผู้มาใหม่ด้านนอก เอ่ยถามเสียงเบาว่า “แขกมาจากไหนกัน?”
เฟิ่งจิ่วที่ได้ยินเสียงเงยหน้ามองไป จึงเห็นสีหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดของหญิงสาวสะท้อนสู่สายตา เพียงมองแวบเดียวจิตใจก็สั่นไหวเล็กน้อย เพียงรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ…
……………………………………………