Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 472

№ 472 ตาเจ้ามองไปตรงไหน?

อืม! คงเป็นไปไม่ได้หรอก! เธอคิดมากไปแน่ๆ

แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่หัวใจกลับร้อนตัวอย่างอธิบายไม่ถูก ศีรษะยิ่งก้มต่ำลงมา แววตาฉายประกายไม่กล้ามองไปยังชายหนุ่มคนนั้น

เจ้าตำหนักยมราชเห็นอากัปกิริยาร้อนตัวนั้น เห็นสองตานางกวาดมองบนร่างเขาแล้วก็เคลื่อนลงไปมองบริเวณใต้ท้อง ร่างกายจึงเกร็งทันควัน ท่ามกลางสายตาเร่าร้อนที่นางจ้องตรงมา บริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ตรงนั้น ใบหน้าเขามีความกระอักกระอ่วนผุดขึ้นมา ถลึงตามองสาวน้อยที่ไม่รู้จักอายอย่างโกรธเคือง น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเขินอายและขุ่นเคืองเปล่งออกจากปาก

“กลางวันแสกๆ ตาเจ้าจ้องไปตรงไหนกัน!”

เฟิ่งจิ่วรีบแหงนหน้ามองฟ้า “ไม่ได้มองตรงไหน แค่เห็นว่าอากาศวันนี้คล้ายจะไม่เลวเลย”

“หึ!”

เขาแค่นเสียงเย็น สูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียดลง กลิ่นอายหนาวเหน็บภายในร่างโคจรเงียบๆ เมื่อไอเย็นพัดผ่านไปทั่วร่าง เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นกึ่งกลางใต้ท้องก็สลายไปตามกัน

สายลมเบาพัดผ่านชั่วครู่ มีกลิ่นอายหนาวเย็นเล็กน้อย เฟิ่งจิ่วที่รู้สึกได้มองเขาแวบหนึ่ง นึกได้ว่าพิษเหมันต์พันปีในร่างเขายังไม่ได้รักษา จึงขบคิดสักพักแล้วบอกว่า “เช่นนั้น ท่านเจ้าตำหนัก! พิษเหมันต์ในร่างท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ออกฤทธิ์อีกแล้วใช่หรือไม่? ยาเม็ดที่ฮุยหลางนำไปให้ตอนนั้นได้ผลหรือเปล่า?”

เจ้าตำหนักที่ผ่อนคลายลงแล้วเม้มริมฝีปากบางพลางกวาดมองนาง ก่อนตอบว่า “อืม กินยาเม็ดพวกนั้นของเจ้า ทุกเดือนวันที่สิบห้าจึงไม่ออกอาการอีก”

“เช่นนั้นก็ดี เมื่อไหร่ท่านจะให้เลือดท่านมาสักหนึ่งขวดเล็กเล่า! ข้ามีเวลาจะได้ศึกษามันเสียหน่อย จากนั้นค่อยลองดูว่ามีวิธีรักษาพิษเหมันต์ให้ท่านหรือไม่” เธอเอ่ยอย่างเอาใจอยู่บ้าง อันที่จริงเขาช่วยจวนตระกูลเฟิ่งไว้ครั้งใหญ่ ซ้ำยังมาหาจากที่ห่างไกลเพียงนั้นโดยเฉพาะ เธอรู้เจตนานั้นดี สำหรับพิษเหมันต์พันปีในร่างเขา หากมีวิธีรักษาก็หวังว่าจะช่วยเขาบรรเทาได้

ครั้งนั้นในป่าเก้าหมอบยังเคยเห็นท่าทางเมื่อพิษเหมันต์ของเขากำเริบ ช่างบีบหัวใจจริงๆ แต่น่าเสียดาย ถึงอย่างไรก็เป็นพิษเหมันต์พันปี หากเป็นพิษเหมันต์ทั่วไปคงไม่ต้องลงแรงรักษาเช่นนี้

ได้ยินดังนั้น เจ้าตำหนักก็ไม่พูดอะไร หยิบกริชออกมาปาดข้อมือทันที แล้วหยิบขวดใบเล็กมารองเลือดยื่นให้นาง

เฟิ่งจิ่วเบิกตาอย่างตกตะลึง มองข้อมือที่ยังมีเลือดหยด เปล่งเสียงสบถอย่างอดไม่ได้ “สมองท่านมีปัญหาแล้วกระมัง? ข้าบอกว่าต้องการเลือดหนึ่งขวดเล็กก้ไม่ใช่ว่าต้องการเดี๋ยวนี้! ท่านจะปาดข้อมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงไปทำไม? รังเกียจเลือดมากนักหรือ?”

แม้จะด่าว่า กลับยังคงรับขวดเล็กใบนั้นที่เขายื่นมาให้ แล้วหยิบยากับผ้าพันแผลจากห้วงมิติออกมาทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว

เจ้าตำหนักก้มหน้ามองสาวน้อยที่กำลังทำแผลให้พลางสอนสั่งไม่หยุดหย่อน ด่าไปกลับอดรู้สึกอบอุ่นใจไม่ได้ ดวงตาดำลึกล้ำคู่นั้นยามนี้ฉายแววอ่อนโยน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นตรงริมฝีปากเขาอย่างที่ไม่อาจสังเกต

“ไม่เป็นไร เลือดนิดเดียวเท่านั้น”

เขาปริปากเอ่ย น้ำเสียงนุ่มนวลผิดปกติ สำหรับเขามันเป็นแค่เลือดเล็กน้อยจริงๆ บาดแผลแค่นี้ปกติล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะพันหรือไม่พันแผลก็ไม่เป็นไร

“เรียบร้อยแล้ว” เฟิ่งจิ่วพูดพลางมองข้อมือเขาอย่างพึงพอใจ แล้วถอยห่างไปหนึ่งก้าว

เมื่อสายตาเจ้าตำหนักเคลื่อนออกจากร่างนาง หยุดลงบนข้อมือที่นางพันแผลให้เรียบร้อย มุมปากกลับกระตุก

ใช้ผ้าพันแผลสีแดงน่ะไม่เท่าไหร่ ผ้าพันแผลนั้นเห็นแล้วก็รู้ว่าฉีกมาจากชุดสีแดงพวกนั้น แต่ทำไมถึงต้องผูกเป็นเงื่อนผีเสื้อเสียใหญ่โต? เด่นชัดเช่นนั้น กลัวคนอื่นไม่เห็นหรือไร?

……………………………………….

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version