Skip to content

เมษาที่รัก 4

Chapter 4 ไล่ออก…ลาออก

วัชระมองแขกตัวสูงอย่างพิจารณา

“ทำไมบอสของลื้อต้องจ่ายเงินให้อั๊วถอนฟ้องด้วยล่ะ?” เขาถามอย่างสงสัย

กรกนกก็รีบแปล

โอเวนฟังแล้วก็พูดหน้าตาเฉยชา “คือ……..”

กรกนกก็รีบแปลให้เจ้านายฟัง “บอสจะไม่ถอนฟ้องก็ได้ แต่บอสจะไม่ได้อะไรเลย เพราะทางเขามีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านที่น้องเมอยู่เป็นหลักฐานยืนยันว่าคืนเกิดเหตุน้องเมอยู่ในบ้านตลอดทั้งคืนไม่ได้ออกไปไหนเลยทั้งสองคนแม่ลูก”

โอเวนจ้องตาคู่สนทนาด้วยดวงตาสงบ แล้วก็พูดว่า “ถ้า……….”

กรกนกรีบแปล “ถ้าจะฟ้องร้องกันจริงๆ ยังไงๆ น้องเมก็ชนะคดีแน่ เขาบอกแบบนี้น่ะค่ะบอส”

แล้วโอเวนก็เอื้อมมือไปจะหยิบเช็คกลับ

วัชระรีบคว้าเช็คเอาไว้ “อั๊วถอนฟ้องก็ได้ แต่อั๊วอยากรู้จริงๆ ว่าพวกลื้อได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้ล่ะ?”

กรกนกรีบแปลให้แขกฟัง

โอเวนยิ้มเย็น “ถ้า……….”

กรกนกรีบแปล “อ่อ เขาบอกว่า อีกเงื่อนไขหนึ่งที่บอสของเขาต้องการคือ ให้บอสไล่น้องเมออกจากงานตั้งแต่วันนี้เลย ซึ่งเงินค่าชดเชยล่วงหน้าสามเดือนรวมอยู่ในเช็คนี้แล้ว ถ้าบอสไม่ตกลงรับเงื่อนไขเขาก็ขอเช็คคืนค่ะ”

โอเวนแบมือรอรับเช็คคืน

วัชระมองเช็คในมือแล้วก็ตัดสินใจ “ก็ได้ อั๊วตกลงรับข้อเสนอของลื้อ”

เขาจ้องหน้าแขกตัวสูง “บอสลื้อเป็นแฟนอาเมเหรอ?”

กรกนกแปล

โอเวนยิ้มไม่ตอบคำถาม ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ผม……….”

กรกนกแปลให้เจ้านายฟัง “เขาว่าเขาเสร็จธุระแล้ว เขาขอลากลับแล้วค่ะ เขาบอกว่าขอบคุณบอสที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

วัชระลุกขึ้นยืนส่งแขก “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

กรกนกแปล

โอเวนค้อมหัวนิดหนึ่งแล้วก็เดินออกไป

วัชระมองหน้าเลขาสาว “นี่อานก อาเมมันมีแฟนรวยขนาดนี้เลยทำไมมันต้องขโมยทองด้วยล่ะ? หรือว่าอั๊วเข้าใจอีผิดไปเองงั้นเหรอ?”

“แฟน?” กรกนกงง “เจ้านายของคนเมื่อกี้แฟนน้องเมเหรอคะบอส?”

“มั้ง” วัชระพยักหน้า”

“ต๊าย ไม่ยักรู้ว่าน้องเมมีแฟนรวยขนาดนี้เลย แหมปิดข่าวเงียบจริงๆ ทำไมพระเจ้าลำเอียงไม่เตะโด่งมาให้นังนกซักคนมั้งน้า…” กรกนกรำพึงรำพัน

“อยากได้แฟนรวยๆ ลื้อไปดึงหน้าก่อนดีไหมอานก” วัชระแซว

“ต๊ายบอส นั่นปากเหรอคะ” กรกนกค้อนขวับๆ แล้วก็งอนออกไป

“เดี๋ยวซิอานก ลื้อจะไปไหน? ลื้อเอาเช็คนี่ไปเข้าบัญชีให้อั๊วก่อน แล้วก็โทรตามผู้กองให้อั๊วด้วย” วัชระสั่งงานแล้วก็ขีดคล่อมหลังเช็คเงินสดใบนั้น

กรกนกเดินกลับไปอย่างงอนๆ “เท่านี้ใช่ไหมคะบอส?”

“แค่นี้แหละ ลื้อไปได้แล้ว” วัชระยื่นเช็คให้

กรกนกรับมามองตัวเลขบนเช็คแล้วก็เฉย จากนั้นเธอก็เดินออกไป

สองชั่วโมงต่อมา ตำรวจเจ้าของคดีก็มาที่บริษัท “สวัสดีครับ โทรตามผมมามีอะไรเหรอครับ?”

“นั่งก่อนๆ ผู้กอง” วัชระบอก พอแขกนั่งลงแล้วเขาก็เข้าเรื่อง “คือเรื่องอาเมน่ะ”

ผู้กองงง “อาเมไหนครับ?”

“คืออาเมษา บุญรักษ์ไง”

“อ่อ มีอะไรเหรอครับ?”

“คืออั๊วอยากจะถอนแจ้งความเมื่อวานนี้น่ะ อั๊วว่าต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ อั๊วว่าอาเมไม่ใช่ขโมยหรอก เลยอยากให้ผู้กองช่วยสืบเรื่องนี้ใหม่น่ะ”

“ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นก็ได้ครับ อีกอย่างทางเราก็ยังไม่มีหลักฐานหนาแน่นพอ ถ้าทนายฝ่ายจำเลยแย้งมาคาดว่าทางบริษัทก็คงแพ้คดีแน่ครับ เพราะหลักฐานมีเพียงแค่คีย์การ์ดที่ใช้เปิดประตูเท่านั้น ส่วนลายนิ้วมือในที่เกิดเหตุก็ยังไม่แน่ชัดเพราะเธอเป็นพนักงานของบริษัทของคุณ ซึ่งคุณก็บอกเองว่าวันก่อนคืนเกิดเหตุเธอต้องเข้าไปในห้องนั้นเพราะคุณสั่ง แล้วภาพจากกล้องวงจรปิดที่เราดูกัน ผมว่ารูปร่างคนร้ายที่เห็นในภาพไม่น่าจะใช่คุณเมษาเลย แม้ว่าส่วนสูงจะดูใกล้เคียงแต่ตอนที่ผมเห็นมือคนร้าย ผมแน่ใจว่าไม่ใช่คุณเมษาแน่ๆ ครับเพราะมือเธอเล็กนิดเดียว แต่มือคนร้ายในภาพใหญ่กว่า”

“ใช่ๆๆ ถ้างั้นผู้กองก็จัดการเรื่องถอนแจ้งความเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบเซ็นมอบอำนาจให้อาวุธไปเดินเรื่องให้เลย แล้วก็จะให้อาวุธอีซื้อของกินไปให้อาเมด้วย อยู่ในกรงขังคงได้กินแค่ข้าวกล่องแหงๆ”

“เอ่อ…เรื่องถอนแจ้งความรีบจัดการเลยก็ดีครับ แต่เรื่องของกินผมว่าไม่ต้องหรอกครับเพราะเมื่อวานนี้ญาติผู้ต้องหามาประกันตัวออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ”

“อ้าว ประกันตัวออกไปแล้วเหรอ?”

ผู้กองพยักหน้า “ครับ ทนายเกริกก้องมาทำเรื่องประกันตัวออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ”

“ห๊า! เกริกก้องนี่ใช่อาเกริกก้อง สุริยะรึเปล่า?”

“ครับ คนนั้นแหละครับ”

“นี่อาเกริกก้องเป็นอะไรกะอาเมเหรอ? อีถึงมาประกันตัวให้น่ะ?”

ผู้กองส่ายหน้า “เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ครับ รู้แต่ว่าทนายเกริกก้องมาทำหน้าที่เป็นทนายให้ผู้ต้องหาครับ ส่วนเรื่องอื่นผมไม่รู้หรอกครับ”

วัชระพยักหน้ารับรู้แล้วก็พึมพำเบาๆ ว่า “อืม อาเมอีไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงขนาดมีทนายระดับอาเกริกได้ ขนาดอั๊วเคยเชิญอีมาเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายอียังไม่สนเลย”

“คุณวัชระครับ มีเรื่องอะไรอีกไหมครับ? ถ้าไม่มีผมก็ขอตัวกลับก่อนนะครับพอดีมีประชุมต่อน่ะครับ” ผู้กองบอก

“อ่อๆ ไม่มีแล้วครับ เชิญครับ ขอบคุณที่มานะครับ” วัชระบอก

ผู้กองลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไป

วัชระลุกขึ้นเดินไปส่งแขกแล้วก็กลับไปนั่งครุ่นคิด “แฟนอาเมก็ให้ลูกน้องเอาเช็คมาให้แต่เช้า เมื่อคืนนี้อาเกริกก็ไปทำเรื่องประกันตัวให้อีอีก อาเมไม่ธรรมดาจริงๆ ฝีมือการทำงานก็ดี แต่ยังไงๆ อั๊วก็ต้องให้อีออกอยู่ดี ก็รับเงินเขามาแล้วนี่น่า แฟนอีคงอยากให้อีไปทำงานด้วยแหงๆ”

แล้วเขาก็เรียกเลขาเข้ามา “อานก ลื้อเข้ามานี่หน่อย”

“ค้าบอส” กรกนกตอบแล้วก็เคาะประตูห้องเดินเข้าไป

“ลื้อบอกอาซินให้มาหาอั๊วหน่อย แล้วก็เรียกอาวุธมาด้วย”

“ได้ค่ะบอส” กรกนกรับคำสั่งแล้วก็เดินออกไป

สักพักซินดี้ก็มา “บอสเรียกซินมีอะไรเหรอคะ?”

“ลื้อจัดการเอาเช็คนี่ไปให้อาเมที บอกอีว่าไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้ว” วัชระส่งเช็คให้

“หา! นี่บอสไล่น้องเมออกเลยเหรอคะ?” ซินดี้ตกใจ

“อั๊วไม่ได้ไล่อีออก อั๊วให้อีลาออก เดี๋ยวลื้อไปฝ่ายบุคคลให้เขาออกใบรับรองงานกับพิมพ์ใบลาออกเอาไปให้อาเมเซ็นที แล้วก็เอาเช็คนั่นให้อาเมไป”

“มันก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะบอส” ซินดี้แย้ง

“ต่างซิ ถ้าอั๊วไล่อีออกอั๊วจะออกใบรับรองงานให้อีทำไม นี่อีลาออกเองลื้อเข้าใจไหมอาซิน?”

“ค่ะ ต่างก็ต่าง” ซินดี้พยักหน้ารับอย่างงงๆ

วัชระโบกมือไล่

วราวุธเดินเข้ามาพอดี “เฮียเรียกอั๊วมามีไรเหรอ?”

“ลื้อไปจัดการเรื่องถอนแจ้งความอาเมที เมื่อเช้าแฟนอาเมให้ลูกน้องเอาเช็คมาให้อั๊วสามแสนห้าหมื่นดอลล์ อั๊วว่าถ้าอีมีแฟนรวยขนาดนี้อีคงไม่ใช่ขโมยหรอกอาวุธ” วัชระบอก

ซินดี้ตกใจ ได้แต่อุทานในใจ สามแสนห้าหมื่นดอลล์ โอ้มายก็อต!

ด้วยความอยากรู้จึงยืนฟังอยู่เงียบๆ อย่างเนียนๆ

“แต่มีเงื่อนไขคือต้องให้อีออก อั๊วว่าแฟนอีคงอยากให้อีไปทำงานด้วยแหงๆ แต่ลื้อก็รู้นี่ว่าอาเมคงไม่ยอมลาออกง่ายๆ แน่ แฟนอีได้โอกาสก็เลยใช้วิธีนี้ซะเลย” วัชระบอก

“อั๊วว่าเขาคงไม่อยากให้อีไปทำงานหรอก คงอยากให้ไปเป็นคุณนายชี้นิ้วสั่งมากกว่ามั้งเฮีย สวยๆ อย่างอาเม ใครๆ ก็อยากได้ ถึงแม้อีจะไม่ชอบแต่งหน้าทำผมชอบปล่อยตัวให้ดูโลคลาสแบบนั้นก็ตาม แต่อีนิสัยก็ดี มารยาทก็ดี ทำงานก็เก่ง เมื่อวานนี้อั๊วก็บอกลื้อแล้วให้ใจเย็นๆก่อน ลื้อก็เอาแต่โมโหจะจับอาเมท่าเดียว แล้วอย่างนี้จะมองหน้ากันติดไหมล่ะ? เลยต้องเสียลูกน้องเก่งๆ ไปจนได้” วราวุธบ่น “ลูกค้ารายใหญ่ๆ ของเราส่วนใหญ่ก็ชอบดีไซน์ของอีทั้งนั้น แล้วทีนี้ใครจะมาดีไซน์ให้ถูกใจคุณหญิงคุณนายพวกนั้นล่ะ มีหวังหลังจากนี้ยอดซื้อบริษัทเราได้ตกแน่”

“เอาน่าๆ ลื้อจะให้อั๊วทำไงล่ะ ไหนๆ อีก็ต้องออกลื้อก็รับคนใหม่ๆ เข้ามาซิ” วัชระบอก

วราวุธเห็นท่าทางพี่ชายไม่อยากคุยด้วยก็ตัดบทว่า “งั้นอั๊วไปล่ะ”

“อืม” วัชระพยักหน้าโบกมือไล่

วราวุธหันไปมองซินดี้ “ไหนๆ ลื้อก็ต้องไปหาอาเมอยู่แล้ว งั้นลื้อก็ไปกับอั๊วซะเลยซิอาซิน”

“ค่ะบอส” ซินดี้พยักหน้ารับอย่างเกรงๆ

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไป

ณ บ้านมาริสา

เมษานั่งเหม่อดูทีวีอย่างเซ็งๆ กำลังรู้สึกสับสนในชีวิตอย่างมาก

ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับฉันด้วย? เธอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสียงกดกริ่งดังขึ้นเรียกให้สติกลับคืนมา “ใครมานะ? เซลขายของอีกแหงๆ”

เธอชะเง้อดูแล้วก็เห็นบอสเล็กกับหัวหน้าแผนกยืนอยู่หน้าบ้าน “อุ้ยพี่ซินกะบอสนี่ มาทำไมกันนะ?”

ชั่วแว๊บหนึ่งเธอคิดว่า ต้องมาจับตัวเธออีกแน่

จะทำไงดีๆๆๆ

ความรู้สึกตอนไร้อิสรภาพยังฝังแน่นอยู่ในหัวจนกลัวไปหมด เธอรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาแม่ทันที

มาริสากำลังนั่งเตรียมการสอนสำหรับคาบบ่าย เห็นลูกสาวโทรมาก็รีบรับโทรศัพท์ “หวัดดีจ้าลูก”

“แม่ แองจี้กลัว แองจี้จะทำไงดีคะ? บอสกับพี่ซินมาที่บ้านอีกแล้วค่ะแม่”

“อะไนนะแองจี้?” มาริสาตกใจ

“บอสกับพี่ซินมาที่บ้านอีกแล้ว พวกเขาต้องพาตำรวจมาจับแองจี้อีกแน่ๆ เลยแม่ จะทำไงดีคะแม่?” เมษารีบบอกเสียงสั่นเครือ

“ใจเย็นๆ ก่อนลูก เราประกันตัวแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์มาจับหนูแล้วลูก หนูรอแม่ก่อนนะ เดี๋ยวแม่รีบกลับไปเลย” มาริสาบอกแล้วก็รีบคว้ากระเป๋าเดินออกไป โชคดีที่ตอนนี้เธอไม่ได้ติดสอน

“แม่รีบมานะคะ” เมษาบอกแล้วก็ได้ยินเสียงตัดสายไป

มาริสารีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองแล้วก็รีบขี่กลับบ้าน

ด้านหน้าบ้าน ซินดี้กดกริ่งอีกครั้งพร้อมกับตะโกนเรียก “เม บอสมีเรื่องจะคุยด้วย อยู่รึเปล่า?”

เมษากำโทรศัพท์แน่น สูดลมหายใจตั้งสติ “แม่กำลังมาแล้ว เดี๋ยวแม่ก็มา”

เธอค่อยๆ เดินไปเปิดประตูบ้านแล้วก็เดินออกไปพบทั้งสองคน ยกมือไหว้บอสตามมารยาท “สวัสดีค่ะบอส สวัสดีค่ะพี่ซิน”

วราวุธมองด้วยสายตาเรียบเฉย ยกมือรับไหว้

“เม คือว่าบอสใหญ่อยากให้เมเซ็นใบลาออกน่ะ นี่พี่เอามาแล้วเดี๋ยวเมเซ็นเลยนะ” ซินดี้บอกพร้อมกับยื่นแฟ้มให้

เมษาตกใจ “อะไรนะพี่ซิน?”

ซินดี้บอกอย่างลำบากใจ “คือบอสใหญ่อยากให้เมลาออกน่ะ”

“ลาออก!” เมษาหน้าซีดเธอหันไปมองหน้าบอสเล็ก

วราวุธพยักหน้า

“เมเซ็นใบลาออกกับใบรับเช็คค่าชดเชยนะ เซ็นเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่เอาใบรับรองงานกับเช็คค่าชดเชยล่วงหน้าสามเดือนให้จ้ะ” ซินดี้บอกอย่างลำบากใจ

“หนูไม่ได้เป็นขโมย หนูไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ นะพี่ซิน ทำไมต้องให้หนูลาออกด้วยล่ะ?” ประโยคหลังเธอหันไปจ้องหน้าบอสเล็ก

“เอาไว้ให้ตำรวจสอบสวนเสร็จแล้วว่าลื้อไม่ใช่คนทำจริงๆ ถึงตอนนั้นลื้อค่อยกลับมาทำงานใหม่ก็ได้อาเม” วราวุธบอก

มาริสาขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดหน้าบ้าน ทุกคนหันไปมอง

เมษารีบเปิดประตูรั้วเดินไปหาแม่ “แม่ เขาเอาใบลาออกมาให้แองจี้เซ็น แองจี้จะทำไงดีคะแม่?”

มาริสาถอดหมวกกันน็อคออกแล้วก็จับมือลูกบีบให้กำลังใจ เธอมองไปทางแขกทั้งสองคน “เชิญข้างในบ้านก่อนดีกว่าค่ะ”

เธอจูงมือลูกพาเดินเข้าบ้าน แขกทั้งสองเดินตามไป

“แองจี้หนูไปรินน้ำมานะ” มาริสาบอกแล้วก็หันไปบอกแขกทั้งสองคนว่า “เชิญนั่งก่อนค่ะ”

เธอนั่งลงอย่างใจเย็น

แขกทั้งสองนั่งตรงข้าม

เมษาเดินไปเปิดตู้รินน้ำไปเสิร์ฟแขก

บรรยากาศน่าอึดอัดจนซินดี้ต้องรีบพูด “หวัดดีค่ะคุณแม่น้องเม คือวันนี้ซินเอาใบลาออกมาให้น้องเมเซ็นน่ะค่ะ”

มาริสาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันไปบอกลูกสาวว่า “แองจี้หนูก็เซ็นซะซิลูก เขาอุตส่าห์เอามาให้เซ็นถึงบ้านขนาดนี้แล้ว”

เมษานั่งลงข้างแม่ พอแม่พยักหน้าอีกครั้งเธอก็หันไปมองซินดี้กับวราวุธ แล้วก็มองแฟ้มที่ซินดี้ถืออยู่

“เอามาค่ะพี่ซิน จะให้เซ็นตรงไหนคะ?” เธอถามทั้งๆ ที่ใจหดหู่มือเย็นเฉียบ

ซินดี้ยื่นแฟ้มให้

“เซ็นตรงนี้จ้ะ แล้วก็ตรงนี้กับตรงนี้” เธอบอกพร้อมกับยื่นปากกาให้

เมษารับปากกามาแล้วก็พยายามตั้งสติไม่ให้มือสั่น ค่อยๆ จรดปลายปากกาเซ็นลงบนใบลาออก เธอเซ็นจนครบทุกจุดตามที่หัวหน้าชี้ให้เซ็น พอเซ็นเสร็จก็เงยหน้ามองหัวหน้ากับบอสเล็ก

ซินดี้ดึงแฟ้มไปแล้วก็ดึงเช็คกับใบผ่านงานออกมาจากแฟ้มยื่นให้ “เช็คกับใบรับรองการทำงานจ้ะน้องเม”

“ขอบคุณค่ะพี่ซิน ขอบคุณค่ะบอส” เมษารับมาวางไว้แล้วก็ยกมือไหว้ทั้งสอง

วราวุธรับไหว้แล้วก็พูดว่า “เสร็จธุระแล้วถ้างั้นเราก็ไปกันเถอะอาซิน ขอตัวนะครับ”

เขาค้อมหัวให้เจ้าของบ้านแล้วก็ลุกขึ้นยืน

ซินดี้รีบลุกตาม “ขอตัวนะคะคุณแม่ ว่างๆ ก็แวะไปที่ออฟฟิตบ้างนะเม”

มาริสาลุกขึ้นเดินไปส่งแขกหน้าบ้านแล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ลูกสาว

เมษาเริ่มร้องไห้ “แม่แองจี้ตกงานแล้ว แองจี้โดนไล่ออกแล้วแม่ ฮือๆๆๆๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version