แบล็คเมล์ไฮโซ
Chapter 1
จู่ๆ ก็ถูกล็อคตัวไปกินข้าวด้วย
นิยายเรื่องนี้แยกฉากอีโรติก(18+) มาจากเรื่อง Battle Sun ค่ะ เชิญอ่านเรื่องเต็มๆ ได้ในนิยาย Battle Sun ค่ะ
พอถึงนครวัดอารยะก็มุ่งตรงไปยังจุดที่เกิดเหตุฟ้าผ่า นักท่องเที่ยวก็ยังเนืองแน่นเหมือนเช่นเคย เขาเดินไปยืนตรงจุดที่เห็นน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย ภาพที่น้องยืนแอ็คท่าถ่ายรูปยังจำติดตา
“ยัยวา” เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งเอามือแตะพื้นน้ำตาหยด
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เสียงผู้หญิงถามเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับเอื้อมมือมาแตะบ่า
อารยะเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้มตัวมาถามอย่างมีน้ำใจ เขารีบปาดน้ำตาแล้วก็บอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผมไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณครับ”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแล้วก็ยืดตัวขึ้น พลัน! เธอก็ทำสมุดตก “อุ้ย!”
อารยะเก็บให้ เขาชะงักนิดนึงเมื่อเห็นตัวอักษรภาษาไทย เขายืนขึ้นแล้วก็ยื่นสมุดคืนให้เธอ
“ของคุณครับ” เขาพูดเป็นภาษาไทย
ผู้หญิงคนนั้นชะงัก!
“คนไทยเหรอคะ?” เธอถามแล้วก็ยิ้มพลางรับสมุดคืนไป
“ครับ” อารยะพยักหน้า
“ ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้แล้วก็เดินจากไป
อารยะมองตามแล้วก็ถอยไปนั่งหลบแดดริมสระบาราย พลางล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดดูรูปทิวา เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็จ้องรูปในโทรศัพท์ “พี่เชื่อว่าแกจะต้องกลับมา”
เขานั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเวลาปิด เขาจึงลุกขึ้นเดินไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม
พอถึงโรงแรมเขาก็นอนแผ่บนเตียง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นจนกระทั่งเห็นไลน์จากตะวันว่า “กินข้าวยังไอ้ยะ อย่ามัวแต่ตามหาทิวาจนลืมดูแลสุขภาพนะโว้ย เป็นห่วงนะ”
เขาพิมพ์ตอบกลับไปว่า “เออ…ขอบใจ”
แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวโทรสั่งอาหารมากินในห้อง จากนั้นก็เปิดทีวีดูแล้วก็นอนหลับไป
เช้ามืด อารยะตื่นขึ้นมา เขาลุกพรวดอย่างมึนๆ เขาขยับตัวลุกจากเตียงยกมือขึ้นเสยผม พลัน! ผ้ายาวก็พาดหน้าเขา “อะไรวะ?”
เขาลดมือลง ในมือเขามีผ้ายาวเหมือนสายรัดชุดเสื้อคลุมอยู่ในมือ เขามองอย่างฉงนแล้วก็หวนคิดถึงความฝัน
“นี่เราได้เจอยัยวาจริงๆ เหรอ?” เขาถอยไปนั่งจ้องผ้าผืนนั้นเขม็ง มีแต่เรื่องประหลาดทั้งนั้นเลย เขานั่งจ้องผ้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงนกร้องแว่วมา เขาหันไปดูที่หน้าต่างเห็นแสงลอดผ้าม่านเขาจึงลุกขึ้นเอาผ้าไปวางไว้บนโต๊ะแล้วก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
พอแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็คว้าผ้าผืนยาวใส่กระเป๋ากางเกง แล้วลงไปกินอาหารเช้าจากนั้นก็เรียกแท๊กซี่ไปนครวัด
เมื่อไปถึงนครวัดเขาก็ตรงดิ่งไปตรงจุดที่ทิวาหายตัวไป เขานั่งลงข้างสระบาราย ล้วงเอาผ้าออกมาดู นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันมาเที่ยวเหมือนเช่นเคย เขาไม่ได้สนใจใครเลย ยังคงจ้องดูผ้าผืนนั้นอย่างละเอียดลออ
“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายดังขึ้นข้างๆเป็นภาษาไทย
อารยะหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้มตัวลงมายิ้มให้เขา
“คุณนั่นเอง สวัสดีครับ” เขาทักตอบ
ผู้หญิงคนนั้นนั่งลงกับพื้นห่างจากเขาไปราวเมตรกว่าๆ “พบกันอีกแล้วนะคะ”
“ครับ” อารยะพยักหน้ารับ
“คุณมาเที่ยวเหรอคะ?”
“ครับ”
“ฉันเห็นคุณมานั่งตรงนี้เป็นครั้งที่สองแล้วนะคะ คุณชอบตรงนี้เหรอคะ?”
“ครับ”
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เปิดสมุดออกหยิบดินสอมานั่งสเก็ตรูปอย่างเงียบๆ
อารยะไม่ได้สนใจเธออีก เขาจ้องมองผ้าในมือสลับกับสระบาราย แล้วก็เหม่อมองไปรอบๆเหมือนจะมองหาน้องสาวตัวเองในหมู่ผู้คน
“น้ำสักหน่อยไหมคะ อากาศเริ่มร้อนแล้วนะคะ” ผู้หญิงคนนั้นส่งขวดน้ำให้อารยะ
อารยะหันไปมองพลางยิ้มตอบตามมารยาท “ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ”
“คุณชื่ออะไรคะ? ฉันชื่อปรียาค่ะ”
“ผมอารยะครับ” อารยะแนะนำตัวตามมารยาท
ปรียายิ้มแล้วก็ชวนคุยว่า “คุณมาเที่ยวเหรอคะ?”
“ครับ”
“เอ่อ…ผ้านั่นลายสวยจังค่ะ ขอฉันถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ” ปรียาชี้ไปที่ผ้าในมือเขา
“อ๋อ…ได้ครับ” อารยะส่งผ้าให้เธอ
ปรียารับไปคลี่ดู แล้วก็วางบนสมุด
“เป็นผ้าอะไรคะ? จะว่าเป็นโบว์ผูกผมก็ยาวเกินไปหน่อย ผ้าโอบิของญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ แต่ลายสวยจังค่ะ” เธอพูดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ” เธอส่งผ้าคืนให้เขา
อารยะรับคืนมาแล้วก็ไม่ได้สนใจเธออีก
ส่วนปรียาก็ดูรูปในมือถือแล้วก็ก้มหน้าก้มตาสเก็ตภาพ เธอใช้ลายผ้าร่างแบบเสื้อผ้าตามจินตนาการไปเรื่อยๆ
อารยะเหลือบมองเธอ พอเห็นภาพที่เธอร่าง เขาก็ตะลึง! มันช่างเหมือนภาพยัยวาในความฝันเหลือเกิน เขาขยับเข้าไปมองใกล้ๆ
ปรียาเหลือบมองพลางยิ้มให้ พอร่างเสร็จเธอก็เอียงสมุดให้เขาดู “คุณคิดว่ายังไงคะ? ฉันจินตนาการจากลายผ้าของคุณน่ะค่ะ”
“คุณจินตนาการเอาเหรอครับ?” อารยะจ้องมองภาพสเก็ตตาไม่กะพริบ
“ค่ะ” ปรียาพยักหน้าแล้วก็พูดว่า “ฉันเห็นลายผ้าแล้วก็คิดถึงเสื้อผ้าสมัยจีนโบราณน่ะค่ะ แต่ฉันลองวาดคร่าวๆ เป็นชุดแซค คุณคิดว่าสวยไหมคะ?”
“ครับ” อารยะพยักหน้า
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ขอโทษนะคะ” เธอหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย “สวัสดีค่ะ”
อารยะขยับตัวออกห่าง
“ฉันอยู่ที่นครวัดค่ะ”
เสียงอีกฝ่ายแว่วมาว่า “ครับผมเห็นแล้วครับ ผมมารับคุณไปทานข้าวกลางวันครับ”
แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปยืนด้านหลังปรียา
ปรียาหันไปมอง “อ้าว”
เธอตัดสายแล้วก็ลุกขึ้นยืนคุยกับผู้ชายคนนั้น
“ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณภาสกร พอดีว่าฉันมีนัดทานข้าวกลางวันแล้วค่ะ” เธอพูดกับเขาแล้วก็เดินไปยืนข้างอารยะพร้อมกับบอกว่า “นี่คุณอารยะค่ะ”
เธอขยิบตาให้อารยะแล้วก็บอกว่า “คุณอารยะคะนี่คุณภาสกรค่ะ”
เธอจัดแจงแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน
อารยะทำหน้างงๆ เขาลุกขึ้นยืนยื่นมือไปเชคแฮนด์ตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ภาสกรจับมือกับอารยะ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะคุณภาสกร ไปกันเถอะค่ะคุณอารยะ” ปรียาบอกแล้วก็ฉวยข้อมืออารยะให้เดินตามไป
“ขอตัวก่อนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อารยะรีบพูดกับภาสกรแล้วก็เดินตามปรียาไป
พอเดินห่างไปได้สักพักปรียาก็หันไปมองข้างหลัง เธอเห็นภาสกรเดินตามมาเธอจึงกระซิบกับอารยะเบาๆว่า “คุณช่วยฉันหน่อยนะคะ ฉันไม่อยากไปกินข้าวกับเขาค่ะ คุณช่วยไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันได้ไหมคะ?”
อารยะเหลือบมองไปข้างหลัง เห็นภาสกรเดินตามมาอยู่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ผู้หญิงอุตส่าห์เอ่ยปากขอร้องเขาจะใจดำปฏิเสธเธอได้ยังไง
“ผมช่วยคุณก็ได้ครับ แต่นี่คงไม่ใช่รายการลวงผมไปปล้นนะครับ”
ปรียาค้อนขวับ! กระซิบเสียงเขียว “นี่คุณ! ถ้าฉันคิดจะลวงคุณไปปล้นล่ะก็ ฉันเลือกเหยื่อที่ดูรวยๆกว่าคุณไม่ดีกว่ารึไงห๊ะ!”
“ก็ไม่แน่นะครับ คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน” อารยะตอบพลางก้มลงจ้องหน้าคนข้างกาย
“นี่คุณ! ฉันไม่ทำไรแบบนั้นหรอกนะ เอาเป็นว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยงคุณก็ได้ คุณอยากกินร้านไหนคุณเลือกมาฉันจ่ายให้ ขอแค่คุณช่วยไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยเท่านั้น” ปรียาบอก
“เอางั้นก็ได้ครับ” อารยะบอก
พอไปถึงหน้าทางเข้า อารยะก็โบกมือเรียกแท็กซี่ แท็กซี่ปราดเข้ามารับทันที
อารยะเปิดประตูให้ปรียา “เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ปรียาก้าวเข้าไปนั่ง
อารยะปิดประตูแล้วก็เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกด้าน เขาก้าวเข้าไปนั่งข้างเธอ เขาเหลือบเห็นภาสกรยืนมองอย่างไม่พอใจ เขาปิดประตูแล้วก็สั่งโชเฟอร์เป็นภาษาอังกฤษ
“เยสเซอร์” โชเฟอร์รับคำแล้วก็ขับรถออกไป
“เขาเป็นใครครับ? แล้วทำไมคุณถึงไม่อยากไปกินข้าวกับเขาล่ะครับ?” อารยะถามพร้อมกับหันไปมองหน้าเธอ ก็ผู้ชายคนนั้นท่าทางการแต่งตัวก็ออกจะดูดี หน้าตาก็หล่อเข้าขั้น แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงปฏิเสธที่จะไปกินข้าวด้วยถึงขนาดต้องลากเขาซึ่งเพิ่งจะรู้จักกันมาเป็นไม้กันหมาแบบนี้?
“เขาชื่อภาสกร เป็นคนที่คุณแม่ของฉันอยากให้แต่งงานด้วย แต่ฉันไม่ชอบเขาค่ะ พูดแค่นี้คุณคงเข้าใจนะคะ” ปรียาบอกน้ำเสียงไม่ชอบใจ
อารยะมองท่าทางของเธอแล้วก็นึกขำ เธอคงจะเกลียดหมอนั่นเอามากๆ ดูท่าทางเธอคงจะดื้อไม่เบานะนี่ เห็นแล้วก็ยิ่งคิดถึงน้องสาว
จนกระทั่งถึงร้านอาหาร พอรถจอดสนิท อารยะก็หยิบเงินจ่ายค่าแท็กซี่ เขาเปิดประตูลงไป พร้อมกับปรียาซึ่งเปิดประตูลงไปตั้งแต่รถจอดแล้ว
“เชิญครับ” อารยะผายมือไปที่ร้านอาหารหรูหราข้างหน้า
ปรียามองแล้วก็บอกว่า “รสนิยมสูงนะคุณ”
เธอบอกน้ำเสียงราบเรียบจนจับไม่ได้ว่าเธอแขวะเขารึเปล่า
“อ้าว…ก็คุณบอกว่าจะเลี้ยงผมไง” อารยะแกล้งทวงสัญญา
“ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันพูดคำไหนคำนั้น เชิญค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็เดินเข้าไปในร้านอย่างมั่นใจ
อารยะคิดในใจดูท่าทางเธอคงจะเป็นพวกลูกคุณหนูล่ะมั้ง เขาเดินตามเธอไป
พนักงานเปิดประตูต้อนรับ
ปรียาพูดกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงชัดเป๊ะ
พนักงานพาลูกค้าไปที่โต๊ะด้านในตามที่ลูกค้าต้องการ ปรียานั่งลง พนักงานขยับเก้าอี้ให้แล้วก็หยิบผ้าเช็ดปากปูตักให้
อารยะก็ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน พนักงานส่งเมนูให้ ปรียารับไปเปิดดูแล้วก็ถามอารยะว่า “คุณจะสั่งไวน์หรือวิสกี้หรือเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
“ผมไม่ดื่มครับ ขอบคุณ” อารยะบอกแล้วก็หันไปสั่งน้ำผลไม้กับพนักงาน ปรียาก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน จากนั้นเธอก็สั่งอาหาร
อารยะเปิดดูเมนูแล้วก็สั่งอาหาร พอสั่งเสร็จเขาก็ยื่นเมนูคืนให้พนักงาน
ปรียาส่งเมนูคืนให้พนักงานแล้วก็ถามอารยะว่า “คุณมาเที่ยวกับใครเหรอคะ?”
“ผมมาคนเดียวครับ แล้วคุณล่ะมาเที่ยวกับใครเหรอครับ?”
“ฉันไม่ได้มาเที่ยวค่ะ ฉันมาหาคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็ชะงักไปเมื่อพนักงานยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“อ๋อครับ” อารยะพยักหน้ารับรู้
“คุณคงคิดว่าฉันบ้าที่จู่ๆก็ชวนคุณมากินข้าวด้วยแบบนี้” ปรียาพูดแล้วก็ยกน้ำส้มขึ้นจิบ
“ครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ” อารยะยอมรับตรงๆ แล้วก็พูดเตือนว่า “แต่คุณทำแบบนี้มันเสี่ยงมากเลยนะครับ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะฉวยโอกาสล่อลวงคุณไปทำมิดีมิร้ายน่ะ”
“ก็อาจจะจริงของคุณ” ปรียาตอบอย่างไม่แคร์
“แล้วนี่คุณทำแบบนี้บ่อยๆรึเปล่า”
“ก็บ่อยมั้งคะ ก็ฉันไม่อยากไปไหนมาไหนกับเขานี่”
“เฮ้อ…” อารยะถอนหายใจอย่างหนักใจ เขาล้วงกระเป๋าหยิบนามบัตรยื่นให้เธอ “นามบัตรผม”
ปรียารับไปดูอย่างงงๆ
“เอาเป็นว่าถ้าคุณต้องการไม้กันหมาอีกเมื่อไหร่ก็โทรมาล่ะกัน ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ผมยินดีจะเป็นไม้กันหมาให้คุณชั่วคราว” อารยะบอก
ปรียายิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มาเมมเบอร์เขาไว้ แล้วเธอก็โทรเข้าเครื่องเขา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อารยะหยิบออกมาดู
“เบอร์ฉันค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็กดตัดสาย อารยะพยักหน้าแล้วก็เมมเบอร์เธอไว้
พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ จากนั้นทั้งคู่ก็กินอาหารไปคุยกันไปอย่างถูกคอ ปรียารู้สึกถูกชะตากับอารยะจนเธอสามารถคุยกับเขาได้หลายๆเรื่อง
พอกินอาหารเสร็จ อารยะก็ถามว่า “แล้วคุณจะไปที่ไหนต่อเหรอครับ?”
“กลับไปที่นครวัดค่ะ ฉันยังสเก็ตภาพไม่เสร็จน่ะค่ะ”
อารยะพยักหน้ารับรู้ “ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกันครับ”
“คุณดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวเลยนะคะ ฉันเห็นคุณเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้นมาสองครั้งแล้ว” ปรียาบอก
“ผมมาตามหาน้องสาวน่ะครับ น้องสาวผมหายไปที่นั่นครับ” อารยะบอกเสียงเศร้า
“อุ้ยตาย! ขอให้คุณเจอน้องสาวไวๆนะคะ” ปรียาตกใจ
“ขอบคุณครับ” อารยะพยักหน้ารับแล้วเขาก็ถามเธอว่า “คุณอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ปรียาปฏิเสธ “แล้วคุณล่ะคะ?” เธอถามกลับอย่างมีน้ำใจ
“ไม่ครับ” อารยะตอบแล้วก็พูดว่า “ถ้างั้นผมว่าเราไปกันเถอะครับ”
“ค่ะ” ปรียาพยักหน้ารับ
อารยะกวักมือเรียกพนักงาน พอพนักงานเดินมาเขาก็บอกว่า “เช็กบิลด้วยครับ” เขาบอกเป็นภาษาอังกฤษ
พนักงานรับคำแล้วก็เดินไปที่เคาน์เตอร์
ครู่ต่อมาพนักงานก็เอาบิลมาให้ อารยะรับไปดูแล้วก็หยิบเงินจ่าย ปรียารีบหยิบกระเป๋าดึงเครดิตการ์ดออกมา