Chapter 2
นี่มันทองจริงๆ!
“ไม่ต้องครับ” อารยะพูดเสียงเข้มพลางยกมือห้าม
“แต่ว่าฉันบอกว่าฉันจะเป็นคนเลี้ยงนี่คะ” ปรียาท้วง
“อย่าทำให้ผมขายหน้าซิครับ” อารยะบอกเสียงนุ่ม
ปรียาพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” เธอเก็บเครดิตการ์ด
“ไปกันเถอะครับ” อารยะบอกแล้วก็ลุกไปช่วยขยับเก้าอี้ให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” ปรียาลุกขึ้นยิ้มให้เขา
จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากร้านไปเรียกแท็กซี่กลับไปที่นครวัด
ระหว่างทางปรียาก็ถามถึงน้องสาวที่หายตัวไป อารยะเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบัง
“ไม่น่าเชื่อ!” ปรียาตกใจ
“ครับ คุณอาจจะคิดว่าผมโกหกก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจครับ ขนาดตัวผมเองยังไม่เชื่อเลยครับ” อารยะบอกอย่างทำใจ
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันเชื่อคุณนะคะ คุณไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกฉันนี่คะ” ปรียาบอกพลางเอื้อมมือไปจับมือเขาให้กำลังใจ
“ขอบคุณครับ” อารยะพูดอย่างเคยปาก ยิ้มให้เธอ ดูๆไปเธอก็เป็นคนนิสัยดีทีเดียว
พอไปถึงนครวัด ทั้งสองก็ลงจากแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปด้านใน อารยะเดินไปนั่งที่เดิมอย่างคอยความหวัง ส่วนปรียาก็นั่งสเก็ตรูปอยู่ข้างๆ
ณ นครวัด ปรียานั่งสเก็ตภาพเสร็จแล้วเธอก็หันไปมองเพื่อนใหม่ เห็นเขาจิ้มๆโทรศัพท์อยู่เธอจึงลุกขึ้นเดินไปมองหามุมใหม่ไว้สำหรับสเก็ตภาพวันพรุ่งนี้
อารยะกำลังกดโทรศัพท์โอนเงินคืนให้ตะวัน เมื่อวานเขาลืมซะสนิทเลย ถึงแม้ตะวันจะไม่ว่าอะไรแต่เขาก็เกรงใจเพื่อน พอโอนเงินเสร็จเขาก็ไลน์บอกให้เพื่อนรู้ โชคดีที่เขาเล่นหุ้นได้เยอะ ไม่งั้นพนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเหมาเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกตั้งมากมาย แล้วที่เล่นหุ้นได้เยอะก็เป็นเพราะตะวันอีกเช่นกันที่สอนให้เขาเล่นหุ้นเป็น
เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วก็หันไปมองเพื่อนใหม่ แต่ก็ไม่เห็นเธอนั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว “อ้าว”
เขาหันไปมองหารอบๆ แล้วก็เห็นเธอกำลังยืนถ่ายรูปอยู่อีกด้านของบาราย เธอหันมามองเขาแล้วก็เดินอ้อมบารายมา
“ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็ถามว่า “พรุ่งนี้คุณจะมาที่นี่อีกไหมคะ?”
“มาครับ” อารยะตอบ
“ถ้างั้นพรุ่งนี้คงได้พบกันอีกนะคะ”
“ครับ” อารยะพยักหน้า
ปรียายิ้มให้เขาแล้วก็ก้มลงหยิบสมุดสเก็ตภาพขึ้นมา “สวัสดีค่ะ พรุ่งนี้พบกันค่ะ”
“ครับ สวัสดีครับ” อารยะพูดตอบพลางโบกมือลา
ปรียาโบกมือให้แล้วก็เดินจากไป
อารยะมองตามจนเธอลับตาไปแล้วเขาจึงเดินไปดูรูปสลักนางอัปสรบนฝาผนัง ใจก็เฝ้าคิดถึงแต่น้องสาว เขาภาวนาทุกวินาทีให้ทิวากลับมาเสียที เขายืนมองนางอัปสรอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้
พอรู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงประกาศตามสายว่านครวัดกำลังจะปิดให้บริการแล้ว เขาหันไปมองสระบารายแล้วก็พึมพำว่า “พรุ่งนี้พี่จะมาอีกนะยัยวา พี่จะมาจนกว่าแกจะกลับมาหาพี่”
แล้วเขาก็เดินจากไป
พลัน! กลางสระบารายก็ปรากฏเงาเลือนรางคล้ายพยับแดดของเทพีจันทรา “เจ้าจะได้น้องเจ้ากลับคืนไปก็ต่อเมื่อนครจันทรากลับคืนสู่สันติสุขเช่นเดิม”
แล้วเงานั้นก็พลันเลือนหายไป
อารยะเดินไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม พอไปถึงโรงแรมเขาก็เข้าห้องพักแล้วก็เผลอหลับไป เขาหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย “สวัสดีครับ”
“เออหวัดดีไอ้ยะ” เสียงตะวันพูด
อารยะลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย “โทรมามีไรวะ?”
“ก็เป็นห่วงแกน่ะซิ เป็นไงมั่งวะ? พอจะมีหวังเจอทิวามั่งไหม?” ตะวันถามอย่างเป็นห่วง
“ยังเลยว่ะ แต่วันนี้ฉันเจอผู้หญิงคนนึง จู่ๆก็ชวนฉันไปกินข้าวเป็นไม้กันหมาให้คุณเธอซะงั้นว่ะ” อารยะเล่าให้เพื่อนฟังอย่างนึกขำ
“สวยไหมวะ?” ตะวันถามกลับแล้วก็ถามต่อว่า “เป็นคนเขมรเหรอ?”
“ไทยว่ะ สวยไหมก็สวยอยู่นะ แต่ดูท่าทางแล้วคงจะเอาแต่ใจตัวเองน่าดูเลยว่ะ คงเป็นพวกลูกคุณหนูมั้ง” อารยะตอบแล้วก็เบ้ปาก เพราะเขาไม่ค่อยถูกโรคกับผู้หญิงเอาแต่ใจ
ตะวันพยักหน้ารับรู้ “แกก็ไม่ชอบผู้หญิงเอาแต่ใจอยู่แล้วนี่หว่า แล้วนี่แกจะหาทิวาเจอได้ยังไงล่ะไอ้ยะ? วันหยุดแกก็ใกล้จะหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
อารยะหน้าเครียด “นั่นซิไอ้วัน จะลาต่อก็ไม่ได้ซะด้วย มีทางเดียวถ้าจะลาต่อก็คือต้องลาออกเลยว่ะ ฉันก็คิดๆอยู่ว่าจะทำยังไงดี?”
“เอาไงดีล่ะ?” ตะวันช่วยคิด พลัน! เขาก็พูดว่า “เอางี้ไหมไอ้ยะ ถ้าจนถึงวันทำงานแล้วแกยังไม่เจอทิวาฉันว่าแกกลับมาทำงานก่อนดีกว่าไหม ส่วนที่นั่นก็จ้างคนในพื้นที่ให้คอยส่งข่าวให้แกคิดว่าไงล่ะ?”
“ฉันก็คิดไว้เหมือนแกนั่นแหละ ฉันก็ไม่อยากลาออกหรอก สงสารเจ้านายว่ะ ตอนที่ฉันลำบากเขาก็ช่วยฉันไว้เยอะอยู่” อารยะพูดแล้วก็ถามว่า “แล้วผู้หญิงที่หน้าเหมือนยัยวาตอนนี้เป็นไงมั่งวะ?”
“อ๋อ…คุณเจ้าหญิงจันทราน่ะเหรอ ก็ปกติดีว่ะ ฉันจ้างพยาบาลพิเศษให้คอยดูแลอยู่ พรุ่งนี้หมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ ฉันกะว่าจะพาเธอไปอยู่ที่บ้านฉันแล้วให้ป้าแจ๋วช่วยดูแลให้ก่อน”
“ก็ดีนะ แต่ว่าป้าแจ๋วจะไม่สงสัยเหรอว่าทำไมแกถึงพาเธอไปอยู่ที่บ้านน่ะ เกิดป้าแจ๋วเข้าใจว่าแกพายัยวาไปอยู่ที่บ้านเพราะแกกะยัยวาเป็นแฟนกันแล้ว คุณลุงกะคุณป้าคงรีบแจ้นไปหาแกเลยมั้ง แล้วถ้าเกิดคุณป้าเกิดเข้าใจผิด เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอกไอ้วัน คุณป้ายิ่งอยากได้ยัยวาเป็นลูกสะใภ้อยู่ด้วย” อารยะติงเพราะรู้ดีว่าเพื่อนเห็นน้องสาวตัวเองเป็นเหมือนน้องสาวเท่านั้น
“เออ…จริงซิ ฉันลืมคิดไปเลย ขอบใจนะที่เตือน เกิดคุณแม่เข้าใจผิดแบบนั้นขึ้นมามีหวังคุณแม่ฉันคงรีบจัดงานแต่งให้ชัวร์” ตะวันบอกแล้วก็คิดหนัก “เอาไงดีวะ? จะพาไปอยู่ไหนดีล่ะ?”
“นั่นซิ” อารยะก็ช่วยคิด “ฉันว่าแกพาไปอยู่ที่บ้านฉันดีไหม? ให้เธอใช้ห้องยัยวาไปก่อน เสื้อผ้ายัยวาก็น่าจะใส่ด้วยกันได้ อีกอย่างถ้ายังไม่เจอยัยวาอีกไม่กี่วันฉันก็ต้องกลับแล้ว”
“เออดี” ตะวันเห็นด้วยทันที “งั้นก็ตามนี้ล่ะกัน ช่วงที่แกยังไม่กลับฉันจะจ้างคนคอยดูแลไปก่อน หรือไม่ก็จ้างยาวไปเลยก็ได้ ฉันออกค่าจ้างให้เอง บ้านแกมีห้องสำหรับแม่บ้านอยู่แล้วนี่หว่า”
อารยะพยักหน้า “งั้นก็ตามนั้นเลย แต่ฉันหวังว่าฉันคงได้เจอยัยวาก่อนกลับบ้านว่ะ”
“เออ…ฉันก็อยากให้แกหาทิวาเจอเหมือนกัน เอ…แต่ว่าถ้าแกเจอทิวาแล้วคุณเจ้าหญิงนั่นล่ะจะเป็นยังไงวะ?” ตะวันนึกสงสัย
“ไม่รู้ซิวะ” อารยะบอกแล้วก็คิดเหมือนกับตะวัน นั่นซิ…ถ้าเจอยัยวาแล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ…?
“เฮ้ย! แค่นี้ก่อนนะพอดีว่าฉันถึงร้านอาหารที่นัดกะลูกค้าไว้น่ะ แล้วค่อยคุยกันใหม่นะไอ้ยะ” ตะวันบอกแล้วก็ค่อยๆเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านอาหาร
“เออ” อารยะพยักหน้าแล้วก็กดตัดสาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วก็ลงไปหาอะไรกินใกล้ๆโรงแรม
พอกินอาหารเย็นเสร็จแล้วเขาก็เดินเล่นอีกเล็กน้อย ใจก็คิดถึงน้องสาว นี่ถ้ายัยวาอยู่ด้วย เขาคงได้ถ่ายรูปให้เพลินเชียวล่ะ ยิ่งคิดถึงเขาก็ยิ่งกลุ้มใจจนต้องรีบเดินกลับโรงแรมไปนั่งดูข่าวตลาดหุ้นเพื่อไม่ให้ใจคิดฟุ้งซ่าน
“หาไรทำซะจะได้ไม่คิดมากเกินไป” คำสอนของหลวงพ่อที่เขานับถือแว๊บขึ้นมาในใจทุกครั้งที่เขาเครียดๆ
ประตูปรากฏขึ้น ณ ห้องพักของอารยะ
อารยะกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เขาได้ยินเสียงลมข้างหลังก็หันไปดู เขาตกใจ! “เฮ้ย! อะไรวะ!”
ที่จู่ๆก็มีประตูสีทองบานเบ้อเริ้มปรากฏขึ้น ประตูเปิดออกแล้วผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตู เขาตะลึง! ก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว
แล้วบานประตูก็ปิดลงพร้อมกับหายวับไป
“เจ้าคงจะเป็นพี่ชายของคุณทิวากระมัง” ลาวามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย อารยะมัวแต่ตะลึงอยู่อย่างนั้น
ลาวายื่นม้วนแผ่นทองให้ “คุณทิวาฝากมาให้เจ้า”
พอได้ยินชื่อน้อง อารยะก็หายตะลึง “ยัยวา”
เขามองแขกไม่ได้รับเชิญผู้ปรากฏตัวอย่างประหลาดอย่างยังงงๆปนตื่นกลัว
“คุณทิวาฝากจดหมายมาให้เจ้า รับไปซิ ข้าจะได้ไปเสียที” ลาวาบอกน้ำเสียงราบเรียบ อารยะยื่นมือไปรับอย่างงงๆ
ลาวาวางม้วนแผ่นทองใส่มืออีกฝ่ายแล้วก็หันไปวาดมือกลางอากาศ พลัน! ก็ปรากฏประตูสีขาวขึ้น บานประตูเปิดออก
“เฮ้ย!” อารยะผงะถอยหลังจนติดเตียง ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
“ข้าไปล่ะ” ลาวาบอกแล้วก็เดินผ่านประตูไป ประตูปิดลงแล้วก็หายวับไป
“เฮ้ย!” อารยะร้องอีกรอบพร้อมกับเผ่นผลุ้งขึ้นไปอยู่บนเตียง ในใจคิดว่ากำลังฝันไปใช่ไหม ยกมืออีกข้างตบแก้มฉาด! “เพี๊ยะ!”
“โอ๊ย! เจ็บจริง งั้นก็ไม่ได้ฝัน” เขามองไปรอบๆอย่างหวาดผวา “งั้นก็ผีหลอก”
ขนหัวลุกซู่ ขนแขนสแตนอัพอย่างพร้อมเพรียง เขาก็ก้มลงดูที่มือตัวเอง
“เฮ้ย!” เขาร้องลั่น “ไรวะเนี่ย!?” แทบจะโยนม้วนสีทองในมือทิ้ง พลัน! แผ่นทองก็คลี่ออกพร้อมกับภาพของทิวาปรากฎขึ้นดั่งภาพสามมิติ
“เฮ้ย!” เขาร้องลั่นอีกครั้ง ตาจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตะลึงตื่นกลัว
“ถึงพี่ยะ หนูสบายดีค่ะ หนูคิดถึงพี่มากนะคะ ตอนนี้หนูส่งมาได้แค่จดหมาย ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาจดหมายไปส่งให้พี่ยังไงน้า”
ภาพทิวาพูดเหมือนเธอกำลังยืนพูดด้วยตัวเอง เสียงที่ได้ยินก็เหมือนกับเสียงของเจ้าตัวไม่มีผิดเพี้ยน
“หนูหวังว่าพี่คงสบายดีนะคะ พี่รู้ไหม อยู่นี่นะหนูได้เจออะไรแปลกๆเยอะแยะไปหมดเลย หนูคิดว่าหนูคงกำลังหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่แน่ๆ แล้วทุกสิ่งก็คงเป็นเรื่องที่หนูฝันเป็นตุเป็นตะเอาเองเมื่อหนูตื่นขึ้นหนูว่าหนูคงเขียนเป็นนิยายได้แน่ๆเลยมั้ง นี่ๆถ้าหนูจะบอกพี่ว่าจริงๆแล้วคุณสิงโตเขาไม่ได้เป็นสิงโตจริงๆ แต่ตัวจริงๆเป็นผู้ชายหล่อมากพี่จะเชื่อหนูไหมน้า หนูอยากให้พี่เห็นเองจังเลย ก็หวังว่าซักวันพี่คงจะได้เห็นตัวจริงของเขาเหมือนหนูบ้างนะ ขอย้ำว่าหล่อมากกกก แต่หนูก็ไม่เข้าใจอยู่อย่างนึง ทำไมเขาจะต้องแปลงเป็นสิงโตเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นด้วยก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้ซินะพี่ยะ หนูคิดว่าวันนึงหนูคงหาคำตอบได้มั้ง เขาใจดีกับหนูมาก คอยดูแลหนูไม่ให้ถูกไอ้คนเลวนั่นรังแกได้ พี่คงจะสงสัยว่าหนูหมายถึงใครอยู่ใช่ป่ะ ตาคนเลวที่หนูพูดถึงก็คือราชาของอีกเมืองนึงน่ะพี่ เอาไว้หนูจะเล่าให้พี่ฟังอย่างละเอียดอีกทีนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง
เรื่องมันมีอยู่ว่าน้องสาวของราชาเมืองนี้เกิดไปแต่งงานกับราชาอีกเมืองนึง ประมาณโรมิโอกับจูเลียตได้มั้ง แต่มันโหดกว่านั้นอีก พอราชาคนพี่รู้เรื่องก็ตามไปฆ่าหลานของตัวเอง ประมาณว่าหลานที่เกิดมาจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหมือนตัวกาลกิณีนั่นแหละพี่ยะ ทีนี้เกิดพลาดพลั้งฆ่าน้องสาวตัวเองกับน้องเขยไปด้วย ทำให้ลูกติดของน้องเขยแค้นก็เลยยกทัพบุกมาฆ่าคนที่ฆ่าพ่อตัวเอง เพราะแค้นมากก็เลยกะฆ่าให้ตายอย่างทรมานทั้งเมืองด้วยการปล่อยให้อดตาย โหดป่ะล่ะพี่ย่ะ ตาคนนี้อ่ะโหดมากขอบอก พอไม่พอใจใครขึ้นมาก็ฆ่าก็เผาเขาซะหมด เท่าที่หนูฟังๆมาเนี่ยมีคนถูกตานี่ฆ่าตายไปหลายคนแล้ว แต่พี่ยะไม่ต้องห่วงหนูนะเพราะคุณสิงโตใจดีคอยช่วยปกป้องหนูตลอดๆ พี่ยะต้องดูแลตัวเองดีๆนะ หนูไม่อยู่พี่ต้องกินข้าวเยอะๆนะ นอนเยอะๆด้วยล่ะ หนูรักพี่ยะนะ รักพี่ยะที่สุดเลย” ภาพทิวาน้ำตาไหล
อารยะเดินเข้าไปหาภาพน้องยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ แล้วภาพก็หายไปพร้อมกับแผ่นทองม้วนคืนดังเดิม เขาน้ำตาไหล “ยัยวา แกรู้ไหมพี่คิดถึงแกที่สุด ยัยวาของพี่”
เขาทรุดลงกำแผ่นทองแนบอกน้ำตาไหลริน เขาเชื่อแล้วว่าทิวาหลุดไปโลกประหลาดจริงๆ
พอตั้งสติได้เขาก็รีบเอาแผ่นทองใส่กระเป๋าเป้แล้วก็รีบจัดกระเป๋าอย่างด่วนจี๋ จากนั้นเขาก็รีบเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เรียกแท็กซี่ไปสนามบิน
ระหว่างที่นั่งรอขึ้นเครื่องอยู่ที่สนามบินเขาก็เสิร์จหาข้อมูลเหตุการณ์ประหลาดๆเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติไปด้วย เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับทิวากันแน่? และเขาจะทำยังไงถึงจะช่วยทิวากลับมาได้ สีหน้าเขาเคร่งเครียดจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามจ้องมองเขา รอให้เขาเงยหน้าไปทักทายด้วย
จนกระทั่งปรียาทนไม่ไหวจึงยื่นมือไปบังจอโทรศัพท์
อารยะเงยหน้าขวับ! “นี่คุณ!”
แต่พอเห็นว่าเป็นใครเสียงเขาก็อ่อนลง “คุณนั่นเอง”
“ค่ะปรีเองแหละ” ปรียาลุกไปนั่งข้างเขาเว้นระยะห่างหนึ่งเก้าอี้อย่างไว้ตัวนิดนึง “งานยุ่งเหรอคะ? เห็นคุณทำหน้าเครียดเชียว นี่ขนาดปรีมานั่งตั้งนานแล้วคุณยังไม่เห็นเลย”
“เครียดครับ เครียดมาก ใครเจออย่างผมก็ต้องเครียดทั้งนั้นแหละครับ” อารยะบอก
“เครียดเรื่องน้องใช่ไหมคะ” ปรียาเดา อารยะพยักหน้า
“เล่าให้ปรีฟังก็ได้ค่ะ เผื่อคุณจะสบายใจขึ้น” ปรียาเอื้อมมือไปแตะมือเขาอย่างให้กำลังใจ เพราะตั้งแต่ได้เจอกัน เธอกับเขาก็นัดเจอกันทุกวันที่นครวัด ไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน พอเขาจะกลับวันนี้เธอจึงเลื่อนตั๋วกลับเมืองไทยเที่ยวบินเดียวกับเขา เธอเหลือบมองโทรศัพท์ของเขา
“อุ้ย อะไรคะนั่น ผี วิญญาณ” เธอจ้องหน้าเขา “คุณจะหาข้อมูลพวกนี้ไปทำไมคะ?”
“ถ้าผมบอกว่าเมื่อเช้าผมเจอผีหลอกคุณจะเชื่อผมไหม” อารยะถามหน้าเครียด
ปรียาจ้องเขาเขม็ง ไม่เห็นแววล้อเล่นในดวงตายาวรีเลยสักนิด “จริงง่ะ?”
อารยะพยักหน้า “จริงซิครับ พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย” เขายกแขนให้เธอดู
“เจอผีอำแต่เช้าเลยเหรอคะ?” ปรียาถามไปงั้นแหละ
“ไม่องไม่อำล่ะคุณ มาตัวเบ้อเร่อเลยคุณ จู่ๆก็มีประตูโผล่ขึ้นมาแล้วผีตัวนั้นก็เดินออกมาจากประตูนั่น พอส่งม้วนทองให้ผมเสร็จก็หายไปอีกประตูนึง ผมงี้ขนหัวลุกเลยคุณ” อารยะเล่า ปรียาตาโต
“คุณฝันไปรึเปล่าคะ?” เธอถามอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“ถ้าผมฝันงั้นคุณช่วยบอกผมหน่อยซิว่าไอ้นี่มันมาได้ไง” อารยะหันไปหยิบม้วนแผ่นทองส่งให้เธอ
ปรียารับไปดู ทีแรกเธอคิดว่าคงเป็นม้วนทองเหลืองแน่ๆ แต่พอได้สัมผัสน้ำหนักเธอก็อึ้ง ก้มลงดูม้วนทองในมือชัดๆ สีทองสุกสว่างดูยังไงๆ ก็สีเหมือนทองร้อยเปอร์เซ็นชัดๆ ด้วยความสงสัยเธอจึงหยิบกุญแจรถจากในกระเป๋าถือมากรีดม้วนทอง เธอพิศดูรอยแล้วก็ตะลึง
“นี่มัน…!?” เธอพูดเสียงดังจนคนอื่นหันไปมอง
“มันอะไรเหรอคุณ?” อารยะถามอย่างงงๆ ปรียาลดเสียงลงแผ่วเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “นี่มันทองจริงๆ น่ะซิ”
อารยะอึ้ง!
“ผีให้ทองกับคุณจริงๆเหรอ?” ปรียาถามให้แน่ใจ อารยะพยักหน้ายืนยัน
ปรียาจ้องตาเขา ไม่เห็นแววโกหกหรือล้อเล่นเลย เธอก้มมองม้วนทองแล้วก็รีบส่งคืนให้เขาอย่างรู้สึกกลัว เธอกลัวเจ้าของจะตามมาทวงคืนกับเธอน่ะซิ แค่คิดก็สยองแล้ว บรื้อ!
อารยะรับคืนไปแล้วก็รีบเก็บใส่กระเป๋าเป้ เขาหันไปกระซิบว่า “ทองจริงๆ แน่นะคุณ?”
“จริงล้านเปอร์เซ็นเลยค่ะ เจ้าของร้านเพชรการันตีเอง” ปรียากระซิบหนักแน่น อารยะอึ้งอีกรอบ แล้วเขาก็กระซิบเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้เธอฟัง ปรียาฟังไปอย่างขนลุกไปด้วย
พออารยะเล่าจบ ปรียาก็อึ้งจนพูดไม่ออก
พลัน! เสียงประกาศขึ้นเครื่องก็ดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้ง! จ้องหน้ากัน
อารยะตั้งสติได้แล้วก็บอกว่า “เรียกขึ้นเครื่องแล้วไปเถอะครับ”
“ค่ะ” ปรียาพยักหน้ายังนึกสยองไม่หาย เธอหันไปคว้ากระเป๋าถือ อารยะรีบยื่นมือไปอาสาอย่างสุภาพบุรุษ “กระเป๋าอีกใบนั่นผมถือให้”
“ขอบคุณค่ะ” ปรียาส่งให้อย่างไว้ใจ แล้วทั้งสองก็เดินไปเข้าแถวรอขึ้นเครื่องด้วยกัน
“เรื่องเมื่อกี้เอาไว้คุยกันต่อทีหลังนะคะ” ปรียากระซิบบอก อารยะพยักหน้า “ครับ”
“ที่นั่งคุณตรงไหนเหรอคะ” ปรียาถาม อารยะเอาบอร์ดดิ้งพาสให้เธอดู
“คนละที่เลยค่ะ” ปรียาพูดแล้วก็เดินขยับไปข้างหน้าตามแถว เธออยากจะถามเขาอีกมากมายแต่สถานการณ์ไม่อำนวย จนกระทั่งยื่นบอร์ดดิ้งพาสให้เจ้าหน้าที่สายการบิน