Skip to content

A Will Eternal 1159

บทที่ 1159 ชู่ว์

ปราณนี้มีพลานุภาพสยบที่รุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะรับสัมผัสกับมันก็พลันตัวสั่นสะท้าน ลมหายใจเร่งรัวขึ้นอย่างอดไม่ได้ โดยเฉพาะตบะของเขาที่ถึงกับโคจรด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ราวกับเจอวิกฤตอันร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น

นี่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้นเขาดูดซับเอาแก่นเลือดเนื้อจากในร่างของผู้บงการเข้าไป หาไม่แล้วเวลานี้ตบะของเขาคงไม่ได้โคจร แต่คงถูกกำราบไว้อย่างแน่นหนาแน่ๆ

อันที่จริงวิญญาณวัตถุนี่ก็ไม่ได้หวังดีอะไร ที่ก่อนหน้านี้มันเสนอเงื่อนไขนี้ก็เพราะต้องการจะหยั่งเชิงถึงระดับการดูดซับแก่นเลือดเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งหากตอนนี้เขาถูกสยบเอาไว้ได้อย่างราบคาบ วิญญาณวัตถุก็จะได้โจมตีกลับในทันที

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าตบะทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโคจรอย่างรวดเร็ว วิญญาณวัตถุก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน ได้แต่ใช้เวทลับดึงเอาปราณตบะเจ็ดส่วนในเนื้อก้อนนี้ของผู้บงการออกมาอย่างจำใจ

ปราณผู้บงการเจ็ดส่วนนี้ใช่ว่าจะเป็นเพียงภาพมายา เพราะมันจำแลงกลายมาเป็นผลึกใสสีดำก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่วหน้า รีบยกมือขวาขึ้นคว้าทั้งผลึกสีดำและเศษเนื้อของผู้บงการมาพร้อมๆ กัน

ชั่วขณะที่คว้าผลึกสีดำก้อนนี้มาได้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสั่นเยือก คลื่นที่รุนแรงของลมปราณทำให้เขารู้สึกได้ว่าตบะของตัวเองโคจรเร็วรี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะเดียวกันในสมองของเขาก็แจ่มชัดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่าความคิดทั้งหมดล้วนผุดขึ้นมาในเสี้ยววินาที เรื่องราวที่ในอดีตขบคิดไม่แตก ตอนนี้เพียงแค่ชั่วพริบตากลับเปลี่ยนมาเป็นชัดเจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“เป็นของดีจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงทั้งดีใจ

วิญญาณวัตถุที่อยู่ข้างๆ กันคิดวุ่นวายอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่ามันไม่อยากขัดขวาง เพียงแต่ว่าเนื้อก้อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้มันเล็กเกินไป มันกังวลว่าหากเกิดความละโมบ อีกฝ่ายจะไม่ทำตามสัญญาโดยการมอบเนื้อก้อนใหญ่ให้กับตน

ส่วนเรื่องที่จะใช้การดูดดึงปราณของผู้บงการไปขู่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับคืนนั้นก็ได้แวบผ่านสมองมันไป แต่ก็ถูกมันปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนบวกกับความเข้าใจที่มันมีต่ออีกฝ่าย ล้วนทำให้มันมั่นใจว่าหากทำเช่นนั้นกับเจ้าคนที่ไร้ยางอาย ซ้ำยังเจ้าเล่ห์อำมหิตผู้นี้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าคนที่จะเสียเปรียบก็คือตน

“สมควรตายนัก คราวนี้ยอมๆ ไปก่อนแล้วกัน สักวันข้าต้องเล่นงานเขาให้ตายให้จงได้!”

วิญญาณวัตถุกัดฟันแน่น ได้แต่มองดูป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเอาเนื้อของผู้บงการและผลึกก้อนนั้นไปพินิจพิจารณาอย่างอารมณ์ดีคาตาของตัวเอง

รออยู่พักใหญ่จนวิญญาณวัตถุเริ่มหงุดหงิด ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เก็บเอาผลึกใสและชิ้นเนื้อของผู้บงการลงไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะโยนเนื้อชิ้นเล็กอีกชิ้นหนึ่งออกมา

แล้วก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้การควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุน ก้อนเนื้อทุกชิ้นของผู้บงการที่วิญญาณวัตถุดึงปราณออกไปล้วนมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ผิดคำพูด เพราะหลังจากที่ก้อนเนื้อแทบทั้งหมดถูกวิญญาณวัตถุดึงปราณออกไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โยนเอาก้อนเนื้อชิ้นที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเทียบเคียงได้กับขนาดของเนื้อก่อนหน้านี้สองชิ้นออกมาโยนให้วิญญาณวัตถุ

“อย่าหาว่านายท่านป๋ายของเจ้าไม่รักษาคำพูด นายท่านป๋ายของเจ้าเป็นที่คนน่าเชื่อถือที่สุดเลยล่ะ เอาไปซะ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือหนึ่งที วิญญาณวัตถุได้แต่ผรุสวาทอยู่ในใจ แต่กลับขยับเข้าไปใกล้แล้วเก็บเนื้อของผู้บงการชิ้นนั้นไปอย่างที่มิอาจควบคุมได้

ไม่ใช่เพื่อดึงปราณออก แต่ทดลองผสานอำนาจจิตของตัวเองเข้าไป ยังดีที่คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้วิญญาณวัตถุผสานรวมได้ตามใจชอบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้ครึ่งก้านธูป การผสานรวมสิ้นสุดลง เนื้อของผู้บงการก้อนนั้นก็ได้หายวับไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ใช่วิญญาณวัตถุที่มองไม่เห็นอีกต่อไป

ตอนนี้มันมีร่างกายเป็นของตัวเองแล้ว!

แม้ว่าร่างกายนั้นออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง เป็นเพียงแค่ลูกหนังคล้ายแตงโมลูกหนึ่ง ซึ่งด้านบนมีเครื่องหน้าทั้งห้าปูดนูน แม้ว่าจะยังเป็นหน้าตาของเด็กชาย แต่มองดูแล้วก็ยังประหลาดอยู่มาก

“เจ้าหน้าตาแบบนี้เองหรือนี่” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหันไปมองอย่างใคร่รู้ทันที

“มองอะไรของเจ้า!” เด็กชายลูกหนังถลึงตาใส่

“แค่มองก็ไม่ได้รึ? หน้าตาขี้เหร่จริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ถลึงตากลับ การแข่งขันทางด้านสายตาเช่นนี้ แต่ไรไหนมาเขาก็มีความมั่นใจมาโดยตลอด

เด็กชายลูกหนังรู้สึกได้ถึงการท้าทายจึงขึงตากลับไปอีก เพียงแต่ว่ามองอยู่พักใหญ่ มันกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน หลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่ไม่กี่คำ ก็ทำเสียงหึใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่าไม่อยากจะเสวนากับป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่คำเดียว ครั้นแล้วจึงขยับกายกระโดดดึ๋งๆ ไปทางซี่พัด แล้วหายวับไปไม่เห็นเงาอีก

“หึ คิดมาจะแข่งทางสายตากับข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เหิมลำพองอยู่ในใจ ไม่ได้สนใจลูกหนังที่จากไป แต่ลูบคลำถุงเก็บของ เขาพอจะสัมผัสได้ว่าการแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้ดูเหมือนตนจะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่พอนึกถึงว่าตนได้ปราณของผู้บงการมามากมายขนาดนั้น ก็ให้รู้สึกว่าต่อให้การแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะเสียเปรียบ แต่ก็ไม่มากเท่าใดนัก

“ไม่รู้ว่าปราณผู้บงการนี่จะมีประโยชน์อะไรกับข้า…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก หลังจากกวาดตามองไปรอบด้านก็หยิบเอาผลึกใสสีดำก้อนนั้นออกมาถือไว้ในมือ แล้วกระแทกอำนาจจิตเข้าไป

ในสมองเขามีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในบัดดล ทั้งตบะและความคิดปรากฏเด่นชัดแจ่มแจ้งอีกครั้ง โดยเฉพาะจิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เข้ามารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การควบคุมเรือนกาย ตบะหรือแม้แต่เส้นชีพจรจึงไต่ไปถึงระดับที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้

ราวกับว่าเขาสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อความคิดผุดขึ้นมาในหัว พริบตาเดียวก็สามารถอนุมานทุกอย่างได้

“ขั้นที่สามของบทจากโบราณกาล!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายประกายแสงคมกล้า ความปรารถนาในใจของเขาในเวลานี้ก็คือบทจากโบราณกาล ใคร่ครวญว่าจะยืมใช้ปราณของผู้บงการมาช่วยให้ตนอนุมานขั้นที่สามของบทแห่งโบราณกาลได้หรือไม่

เมื่อเวลาล่วงผ่าน เมื่อผลึกใสสีดำแต่ละก้อนในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนจางหายไป จนกระทั่งเขาเผาผลาญปราณของผู้บงการในมือไปเกือบจะสามส่วนแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ลืมขึ้นช้าๆ

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ตื่นเต้นยินดีอย่างถึงที่สุด นั่นก็เพราะผลประโยชน์ของปราณผู้บงการมีมากเกินไป

แม้ว่าบทจากโบราณกาลของเขาจะไม่ได้อนุมานออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็สำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว

ไม่ใช่ว่าจะทำให้สำเร็จไม่ได้ แต่ในขั้นตอนการอนุมานนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ถึงความพิเศษของบทจากโบราณกาล รู้ดีว่าหากสร้างมันขึ้นมาได้ก็เท่ากับนาบประทับมันลงไปในร่างของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องฝึกฝน มันก็สามารถโคจรได้ด้วยตัวเอง

และเมื่อถึงเวลานั้น เว้นเสียแต่ว่าตบะของตนคือเทียนจุนช่วงท้าย หาไม่แล้วหากสร้างบทโบราณกาลได้สำเร็จ ภายใต้สถานการณ์ที่มิอาจแก้ไขปรับเปลี่ยน เกรงว่าร่างของตนคงรับไม่ไหว

“จะอนุมานแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ทุกอย่างต้องรอให้ข้าเป็นเทียนจุนช่วงท้ายเสียก่อน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งที นัยน์ตาฉายความคาดหวัง เขามีความมั่นใจเต็มร้อยว่าตนกลายเป็นเทียนจุนช่วงท้ายเมื่อไหร่ก็คือช่วงเวลาที่ขั้นสามของบทจากโบราณกาลสร้างเสร็จเมื่อนั้น

“ปราณของผู้บงการนี่คือสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าลงมองผลึกใสสีดำหลายก้อนที่ยังเหลืออยู่ในถุงเก็บของของตัวเอง เขาเชื่อว่าสิ่งที่จักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสต้องการก็คือของสิ่งนี้!

“น่าเสียดาย ในเนื้อของผู้บงการยังเหลืออีกสามส่วน…ซึ่งก็น่าจะได้ผลึกสีดำประมาณเจ็ดแปดก้อน”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพียงแต่ว่าพอใคร่ครวญดูก็ได้แต่ยอมถอดใจไปเท่านั้น เพราะหากดึงมันออกมาหมด เขาคงไม่มีคำอธิบายไปให้กับจักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแส แม้ว่าตอนนี้จะขาดหายไปถึงเจ็ดส่วน แต่จะอย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นคนที่ได้กิ้งก่าใหญ่ไปครอง คนอื่นๆ ไม่มีใครได้ไป

ด้านในก้อนเนื้อมีปราณของผู้บงการอยู่มากน้อยเท่าไหร่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้

ต่อให้เป็นจักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งก็เช่นเดียวกัน แล้วก็ด้วยเหตุนี้ หากพวกเขาคิดจะดูดซับปราณผู้บงการจึงจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจและเวลามหาศาลในการเตรียมการ

“ช่างเถอะๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่คิดจะเอาปราณผู้บงการสามส่วนนั่นมาครองอีก ยามนี้เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว พอมาคิดๆ ดู ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายความเฉียบขาด ขยับร่างวูบเดียวร่างก็พร่าเลือน แล้วค่อยๆ หายไปจากซากพัด

ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่ดินแดนเซียนแห่งที่สองแล้ว!

ห่างจากช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปทั้งหมดสิบสามวัน!!

เวลาสิบสามวันมานี้ เทียนจุนของสองราชวงศ์ใหญ่ต่างก็คลุ้มคลั่งกันไปหมด พวกเขาตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในใยแมงมุมอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้จะเป็นสถานที่ที่เสี่ยงภัยก็ยังแข็งใจบากหน้าเข้าไปตามหา

เวลาสิบสามวัน ทุกคนแทบบ้ากันไปตามๆ กัน พวกเขาตามหาไปเกือบทุกหนแห่ง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนจักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสที่รออยู่นอกใยแมงมุมก็ร้อนรนกระวนกระวายอยู่ในใจ ทว่าต่างก็พยายามระงับเอาไว้ ไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายเยื้องกรายเข้าไป ซึ่งเวลานี้พวกเขาก็สัมผัสได้แค่ว่าไม่มีเทียนจุนที่เป็นลูกน้องของตัวเองตายไปเท่านั้น

ส่วนรายละเอียดที่แน่ชัดยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากลับไม่รู้

แล้วก็เป็นเช่นนี้ ในขณะที่ทุกคนตามหากันให้ควั่กอยู่ทุกเวลา

เรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาโผล่อยู่ตรงจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้อย่างเงียบเชียบ เพิ่งจะปรากฏตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบถอยหลัง ครั้นจึงแผ่อำนาจจิตออกไปอย่างระวังตัวแจ

ทว่าชั่วขณะที่เงาร่างของเขาปรากฏตัวนั้นเอง น้ำเสียงตื่นเต้นที่เปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งก็ดังมาจากทิศไกล!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้งจริงๆ ด้วย!”

เมื่อคำพูดนั้นดังมาก็มีมือมายาขนาดใหญ่ยักษ์มือหนึ่งพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยเสียงดังครืนครั่น

ตามหลังมือข้างนั้นก็คือร่างของเทียนจุนวิเศษกาลนาน!

ไม่เหมือนกับคนอื่น แม้ว่าเทียนจุนวิเศษกาลนานจะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับป๋ายเสี่ยวฉุนบ่อยหนัก แต่ก็ถือว่าทั้งสองคนมีการประมือกันมาก่อน ตอนที่พวกกู่เทียนจวินตามหาไปทั่วทิศ เทียนจุนวิเศษกาลนานยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงถือโอกาสรอมันอยู่ที่เดิมเสียเลย

สิบสามวันที่ผ่านมา เขาก็เคยกังขาในการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง ทว่าจนกระทั่งวินาทีที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฎตัว เทียนจุนวิเศษกาลนานก็ดีใจเจียนคลั่ง เขาลงมือทันทีอย่างไม่มีลังเล แต่นิสัยเขาเป็นคนระมัดระวัง รู้ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือเทียนจุนช่วงกลาง ซ้ำยังมีกระบี่ใหญ่สายเหนืออยู่ในมือ เข้าใจดีว่าในเวลาสั้นๆ คงมิอาจตัดสินแพ้ชนะได้ ดังนั้นจึงหยิบแผ่นหยกส่งข้อความเสียงออกมา หมายจะส่งข้อความเสียงไปขอความช่วยเหลือ

“สหายนักพรตวิเศษกาลนาน ชู่ว์…”

เมื่อเห็นท่าเช่นนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบทำเสียงชู่ว์บอกให้อีกฝ่ายเงียบ ทั้งยังหยิบเนื้อของผู้บงการก้อนหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของแล้วโยนออกไปอย่างรวดเร็ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version