บทที่ 1206 แสงแห่งบุพกาล
เสียงห้าวเหิมของของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้องกังวานไปยังหูของทุกคนที่อยู่นอกนครหินยักษ์ที่พังทลาย ซึ่งบัดนี้ทุกคนได้ปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึง ในใจมีคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำเพราะภาพเหตุการณ์นี้อยู่นานแล้ว!
พวกเขาได้เห็นกับตาตัวเองว่าเมื่อจักรพรรดิแสผู้สูงส่งเกินใครทัดเทียมในใจของพวกเขาลงมือ กลับไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ซ้ำตัวเองยัง…เลือดไหลออกมาตรงมุมปาก!
เลือดสดๆ นี้ประหนึ่งฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงายอยู่ในจิตใจของทุกคน ราวกับว่าทวยเทพในใจของพวกเขา บัดนี้ได้กลายมาเป็นคนธรรมดาเพียงชั่วพริบตาเดียว!!
“เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้!!”
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทคือบุพกาล ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ใช่บุพกาลซะหน่อย…สวรรค์!!”
“ฝ่าบาทถึงกับ…ได้รับบาดเจ็บ!!”
เสียงฮือฮาของคนนับไม่ถ้วนที่อารมณ์ซับซ้อนรุนแรงเกินกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าพลันระเบิดเซ็งแซ่ไปสี่ทิศ และเวลานี้เสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดังกระหึ่มด้วยความสาสมใจ
เขาจะไม่สาแก่ใจได้อย่างไร เขาจะไม่ฮึกเหิมได้อย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนฝันถึงวันนี้มานานหลายปีเหลือเกินแล้ว นับตั้งแต่ที่เขามาเยือนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เขาก็คาดหวังมาโดยตลอดว่าสักวันหนึ่ง ตนจะสามารถรบกับบุพกาลได้!
เขารู้ดีว่าตบะของตัวเองไม่มากพอ รู้ดีว่าญาติและมิตรของตนต่างก็กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากเจ็บปวด ซ้ำเขายังได้เห็นบางเหตุการณ์กับตาของตัวเอง
โดยเฉพาะเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนครจักรพรรดิแสเมื่อสามสิบปีก่อนที่เป็นแรงกระตุ้นอย่างเร้นลึกสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกเมียตกอยู่ในอันตราย ความตายของซ่งเชวีย ทุกอย่างนี้ล้วนมาจากตบะบุพกาลของจักรพรรดิแส ล้วนมาจากการที่ตนไร้กำลังให้ช่วยเหลือคนเหล่านั้น…
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งมานานแล้ว ดังนั้นตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมาเขาถึงได้ทุ่มเทมานะฝึกตน และวันนี้…ภายใต้ศึกครั้งนี้ ความขยันหมั่นเพียรและความสู้สุดใจตลอดเวลาที่ผ่านมาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนแลกเปลี่ยนมาเป็นความหวัง!!
นี่ไม่ใช่ศึกที่ธรรมดา แต่นี่…เป็นศึกซึ่งหน้าที่ต้องเขย่าคลอนบุพกาล!!
การลงมือเมื่อครู่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ออมกำลังเอาไว้แม้แต่น้อย พลังทุกด้านระเบิดครบหมด และจักรพรรดิแสเองก็ไม่ได้ออมมือเช่นกัน ในสายตาของเขา ฝ่ามือนั้นที่ตบมามากพอจะสังหารเทียนจุนทุกคนได้ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งอย่างจักษุไพศาลมารวมกันสักสิบคนก็ยังต้องถูกสังหารสิ้นไม่มีเหลือ!
ทว่า…การโจมตีเต็มกำลังของจักรพรรดิแส กลับพังทลายลงต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน!
ซ้ำเมื่อเจอกับพลังแว้งกลับ เขาผู้เป็นบุพกาลผู้แข็งแกร่ง จักรพรรดิแสผู้ยิ่งใหญ่กลับเลือดออกจากมุมปาก!! ต่อให้สำหรับเขาแล้วอาการบาดเจ็บนี้จะเล็กน้อยไม่ระคายผิว เพราะเพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป ทว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่เสียหายไป รวมถึงเสียงร้องเอ็ดอึงจากทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง ก็ล้วนทำให้ดวงตาของจักรพรรดิแสฉายไอสังหารที่ท่วมท้นรุนแรงยิ่งกว่าเก่าหลายต่อหลายเท่า!
“ปราณผู้บงการ…ช่างเป็นปราณผู้บงการที่ดียิ่งนัก…”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เราประเมินเจ้าต่ำไป แต่ว่า…การเล่นสนุกครั้งนี้ควรได้เวลาสิ้นสุดลงเสียที หมัดนี้ก็คือที่พึ่งของเจ้าใช่ไหม!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่า ความแข็งแกร่งของบุพกาลอยู่ตรงไหน!” จักรพรรดิแสหรี่ตาทั้งคู่ลง กล่าวจบเขาก็พลันกางแขนทั้งสองออกกว้าง มือแต่ละข้างทำมุทรา ทันใดนั้นท้องฟ้าเบื้องหลังเขาก็พลันส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ก่อนที่ในความว่างเปล่าจะมีสุริยาสีแดงดวงหนึ่ง…ลอยขึ้นมา!!
นั่นคือดวงอาทิตย์!!
ดวงอาทิตย์นี้ใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด วินาทีที่เผยกาย ดวงอาทิตย์ของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่เดิมทีอยู่ตรงขอบฟ้า บัดนี้กลับหม่นแสงวูบ และเพียงเสี้ยววินาทีก็…หายวับไป!!
เมื่อดวงอาทิตย์ดวงนั้นหายไป สุริยาสีชาดด้านหลังจักรพรรดิแสก็พลันพองขยายใหญ่ คล้ายจะเข้ามาแทนที่ดวงอาทิตย์ดวงเดิม กลายมาเป็นหนึ่งเดียว!!
พลังอำนาจขุมหนึ่งที่เหนือกว่าก่อนหน้านี้ก็ระเบิดปะทุตามมาติดๆ!
“เจ้ารู้หรือไม่ ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…มีบุพกาลได้เพียงสองคนเท่านั้น…จักรพรรดิเซิ่งผสานรวมกับดวงจันทรา ส่วนข้า…ผสานรวมกับสุริยาสีชาด!”
“ดังนั้นชั่วชีวิตนี้ของเจ้าและใครก็ตาม…ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งบุพกาลในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ได้อีก!”
“เราบอกความลับนี้แก่เจ้าไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ เจ้าก็จงตายไปพร้อมกับความลับนี้ซะเถอะ!!”
สีหน้าของจักรพรรดิแสพลันเปลี่ยนมาเป็นถมึงทึงดุดัน มือทั้งคู่โบกตวัดอย่างแรง ทันใดนั้นสุริยาสีแดงบนท้องฟ้าด้านหลังของเขาก็ระเบิดออก แล้วกลายมาเป็นคลื่นความร้อนขุมหนึ่งที่ราวกับจะทำลายฟ้าดินให้ย่อยยับ ประหนึ่งจะเผาผลาญทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ ซึ่งทะยานวูบลงมา ดูจากทิศทางแล้ว…น่าจะปกคลุมไปทั่วทั้งนครหินยักษ์!!
เห็นได้ชัดว่า…ในสายตาของจักรพรรดิแส เขาไม่แยแสแม้แต่น้อยว่าผู้คนที่อยู่ที่นี่จะเป็นหรือตาย ขอแค่สังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ขอแค่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนตายไปจะสามารถชิงเอาการสืบทอดของซากพัดมาเป็นของตัวเอง สำหรับเขาแล้ว ทุกอย่างล้วนคุ้มค่า!
เมื่อเปลวเพลิงแห่งสุริยาสีชาดเยื้องกรายลงมา นครหินยักษ์ก็เริ่มหลอมละลายทันที นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพลางเผ่นหนีผลักดันชิงกันหนีตาย ทว่าก็ยังช้าเกินไป เพราะดูท่าอีกไม่นานก็คงถูกพระเพลิงสวรรค์เผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าธุลี!
บัดนี้เสียงร้องโหยหวน เสียงวิงวอนร้องขอชีวิต เสียงร่ำไห้ด้วยความเหลือเชื่อดังระงมไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หรี่ตาทั้งคู่ลง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เพราะเวทสุริยาสีชาดที่จักรพรรดิแสร่ายออกมาในเวลานี้ก็ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน!
เพียงแต่ว่าจักรพรรดิแสคำณวนผิดไปอย่างหนึ่ง เขานึกว่าหมัดผู้บงการมิดับสูญคือไพ่ตายของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ไพ่ตายที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ใช่สิ่งนี้!
เมื่อเห็นว่าไม่มีเวลามากพอให้ใคร่ครวญ และดวงอาทิตย์สีแดงที่เปลวเพลิงโหมกระหน่ำเทียมฟ้านั่นก็ขยับเข้ามาใกล้ทุกที จนแม้แต่เรือนกายเขาก็คล้ายจะติดไฟเผาไหม้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกมือขวาขึ้น อำนาจจิตที่ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างคล้ายการนำส่งพุ่งเป้าตรงไปยังพัดวิเศษกลางห้วงอวกาศในบัดดล!
พัดวิเศษที่เดิมทีทะยานไปในห้วงจักรวาลพลันสั่นไหว ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ที่อยู่บนนั้นพากันหน้าเปลี่ยนสี วิญญาณวัตถุน้อยก็ยิ่งบินออกมา แล้วพวกเขาก็เห็นทันทีว่าเม็ดหมากที่อยู่ในมือทาสบุพกาลคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในเรือลำน้อยบนแม่น้ำสายยาวของโลกหน้าพัดพลันระเบิดแสงเจิดจ้า พริบตาเดียวก็ทะยานออกมาแล้วหายวับไปในห้วงจักรวาลมืดมิด!
เมื่อปรากฏอีกครั้งก็มาอยู่บน…ดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแส ผสานรวมอยู่บนท้องฟ้าเหนือนครหินยักษ์!
แสงสว่างเส้นนั้นสว่างไสวพร่างพราวสุดขีดคล้ายจะแย่งชิงรัศมีเจิดจ้ากับสุริยาสีขาด วินาทีที่มันโผล่พรวดออกมา ขนาดจักรพรรดิแสผู้แข็งแกร่งก็ยังหน้าเปลี่ยนสี และหลังจากที่รับสัมผัสกับคลื่นที่อยู่ในแสงสว่างนี้ สีหน้าของเขา…ก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก!
“นี่คือ…”
“ข้าเรียกมันว่า แสงแห่งบุพกาล!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนกระหึ่มกังวานไปทั่วฟ้าดิน ท่ามกลางความสิ้นหวังของคนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้นดิน ภายใต้การเยื้องกรายลงมาของดวงอาทิตย์สีแดง วินาทีที่ดินแดนเซียนแห่งที่สองสั่นสะเทือน…แสงแห่งบุพกาลนี้ก็ได้ระเบิดแสงสว่างพร่าตาซึ่งพกพาเอาปราณแห่งบุพกาลที่เข้มข้นขุมหนึ่งให้ตรงดิ่งไปยัง…สุริยาสีชาดดวงนั้น!!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน แปดทิศอึงคะนึง แสงแห่งบุพกาลนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยทดสอบจนรู้ชัดเจนดีว่า พลานุภาพของมัน…เท่าเทียมได้กับการโจมตีสุดกำลังของบุพกาลแข็งแกร่งท่านหนึ่ง!
แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับทาสบุพกาลคนนั้น แต่กลับเกี่ยวข้องกับ…กระดานหมากรุกนั่นมากกว่า!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยศึกษาจนแน่ใจว่ากระดานหมากรุกนั่นก็เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง เมื่ออยู่ในมือบุพกาลจะสามารถระเบิดพลังของสมบัติล้ำค่าออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และบัดนี้ภายใต้การสั่นไหวโยกคลอนของฟ้าดิน แสงแห่งบุพกาลก็ปะทะพุ่งชนเข้ากับดวงอาทิตย์สีแดงทันที
แม้ว่าสุริยาสีชาดน่าครั่นคร้ามดวงนั้นจะไม่ถูกเขย่าคลอนอย่างเต็มที่ ทว่าเมื่อเจอเข้ากับแสงแห่งบุพกาลก็ยังถูกชนจนกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่!!
เสียงตูมตามดังเอ็ดอึงสะเทือนแก้วหูแผ่ลามไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บัดนี้ไม่เพียงแต่ในราชวงศ์จักรพรรดิแสเท่านั้นที่สั่นสะเทือน แม้แต่แผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็ยังไหวคลอนไปด้วย
ในนครจักรพรรดิเซิ่ง เทียนจุนทุกคนเงยหน้าพรวด คลื่นลูกยักษ์ถาโถมขึ้นในจิตใจของแต่ละคน สายตาพวกเขาจับจ้องมองไปยังทิศทางที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิแส อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่จักรพรรดิแสร่ายเวททำให้ดวงอาทิตย์ดวงเดิมหายไป แล้วใช้สุริยาสีชาดของตนเข้ามาแทนที่ พวกเขาก็สัมผัสได้แล้ว ทว่าตอนนี้เมื่อคลื่นการสั่นสะเทือนที่รุนแรงยิ่งกว่าเก่าลามไปทั่วโลก ในใจพวกเขาแต่ละคนก็รู้สึกตะลึงพรึงเพริดอย่างห้ามไม่ได้
“นี่คือ…ศึกแห่งบุพกาล!!”
“สวรรค์ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!”
“ใครกัน…ใครกันที่ต่อสู้อยู่กับจักรพรรดิแส!!”
ตามหลังเสียงร้องอุทานด้วยความตะลึงลานของพวกเฉินซูและกู่เทียนจวิน ในวังหลวงของนครจักรพรรดิเซิ่ง จักรพรรดิเซิ่งเองก็ก้าวเดินออกมายืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเครียดขรึม ในใจเขาเกิดคลื่นลูกยักษ์สะท้านฟ้าโถมกระหน่ำอยู่นานแล้ว
พวกกู่เทียนจวินอาจจะสัมผัสไม่ถึง ทว่าเขาในฐานะที่เป็นบุพกาลกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ แม้จะมองไม่เห็นการต่อสู้อย่างละเอียด ทว่าเมื่อเขาหลับตาลง ในจิตวิญญาณของเขา…ก็ยังมีภาพที่ถูกอนุมานขึ้นมาจากริ้วคลื่นการต่อสู้ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับจักรพรรดิแสผุดขึ้นมา!!
ไม่ว่าจะเป็นหมัดผู้บงการมิดับสูญก่อนหน้านี้ หรือว่าแสงแห่งบุพกาลในช่วงหลังก็ล้วนลอยขึ้นมาในใจเขาทั้งสิ้น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…” หัวใจของจักรพรรดิเซิ่งเวลานี้มีแต่ริ้วคลื่นกระเพื่อมซัดไม่หยุด เดิมทีปราณของผู้บงการก็ทำให้เขาสะท้านสะเทือนมากพออยู่แล้ว การปรากฏของแสงแห่งบุพกาลก็ยิ่งทำให้ใจเขามิอาจสงบลงได้อีก
“แต่ถึงแม้พลังภายนอกเช่นนี้จะแข็งแกร่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็น่าจะมีโอกาสร่ายใช้ได้แค่ครั้งเดียว เพราะอย่างไรซะ…นี่ก็เทียบเคียงได้กับการโจมตีเต็มกำลังของบุพกาลเลยทีเดียว!” แม้ว่าจักรพรรดิเซิ่งจะตื่นตะลึงก็จริง แต่ดูจากการวิเคราะห์ของเขา เขาก็มั่นใจว่าการนำพลังภายนอกที่มีระดับเท่านี้มาใช้ ต้องมีเงื่อนไขที่หฤโหดอย่างมาก!
คนที่มีความคิดแบบเดียวกับเขายังมีจักรพรรดิแสที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือนครหินยักษ์อีกคน จิตใจของเขาก็แกว่งไกวเช่นกัน แม้ว่าแสงแห่งบุพกาลนั่นจะไม่สามารถเขย่าคลอนสุริยาสีชาดของตนได้อย่างสัมบูรณ์ แต่กลับกระแทกชนจนเกิดโพรงขนาดใหญ่ เป็นเหตุให้สุริยาสีชาดเกิดรอยปริร้าว หากเป็นอย่างนี้อีกไม่กี่ครั้ง แม้จะไม่สามารถทำลายสุริยาสีชาดได้อย่างสิ้นเชิง ทว่าการที่จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย!
ทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจของเขามิอาจสงบลงได้
“แต่ว่า พลังภายนอกเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะร่ายใช้ได้เป็นครั้งที่สอง!” จักรพรรดิแสสีหน้ามืดทะมึน มือขวาทำมุทราชี้ไปที่สุริยาสีชาด ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ร้อนแรงก็เยื้องกรายดิ่งลงมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม หมายจะเผาผลาญป๋ายเสี่ยวฉุนและทุกอย่างบนผืนแผ่นดินแถบนี้ให้มอดไหม้ไปตามๆ กัน!
ทว่าเวลานี้เอง มุมปากที่เปรอะคราบเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ไม่มีครั้งที่สองงั้นรึ?”