Skip to content

A Will Eternal 1211

บทที่ 1211 ขู่ให้เจ้าตกใจกลัว

และป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ยังอยู่ห่างอีกระยะหนึ่ง ต่อให้อาศัยความเร็วของเขาก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งก้านธูปถึงจะได้ ซึ่งเขาย่อมไปช่วยได้ไม่ทันกาล!

แต่…วินาทีที่มือใหญ่ของจักรพรรดิแสกำลังจะลดลงนั้นเอง บนท้องฟ้าก็พลันมีเสียงกัมปนาทราวจะแหวกฟ้าผ่าดินดังออกมา เสียงกัมปนาทนี้ดังกึกก้อง เขย่าคลอนไปยังผิวทะเลแปดทิศ เป็นเหตุให้คลื่นบนทะเลซัดถาโถมไม่หยุด มหาสมุทรอาณาบริเวณกว้างขวางที่เว้ายวบลงไปกลับคืนมาราบเรียบดังเดิม!!

เมื่อมองอย่างละเอียด จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่เติมให้ตราประทับฝ่ามือนั้นเรียบเต็มก็คือ…มือใหญ่ที่ประกอบจากน้ำของมหาสมุทรหย่งเหิงซึ่งยื่นออกมาจากใต้ทะเล!

มือใหญ่ข้างนี้ทะยานสูงเพียงชั่วพริบตา เมื่อคลื่นกระทบกันเสียงดังครืนครั่น เมื่อฝ่ามือที่ทำให้ผิวทะเลยุบยวบลงไปก่อนหน้านี้ถูกเต็มเติมจนกลับมาราบเรียบดังเดิม ฝ่ามือนี้ก็ผุดขึ้นมากลางอากาศแล้วปะทะเข้ากับฝ่ามือของจักรพรรดิแส ที่พุ่งเข้ามาใกล้ท่ามกลางความว่างเปล่าระหว่างผืนฟ้าและท้องทะเล

ตูมๆๆ!

สะเทือนเลือนลั่นราวแก้วหูจะดับดังกังวานไปทั่ว จนก่อให้เกิดคลื่นการโจมตีที่คล้ายจะฉีกกระชากนภากาศ หมายจะแยกให้มหาสมุทรหย่งเหิงแห่งนี้ออกจากกัน

“จักรพรรดิเซิ่ง!!” จักรพรรดิแสพลันคำรามกร้าว จ้องเขม็งไปบนมหาสมุทรหย่งเหิง ที่จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา แม้ว่าเงาร่างนี้จะกึ่งโปร่งแสง แต่กลับแฝงเร้นด้วยปราณของบุพกาล ดูจากรูปร่างแล้วก็คือ จักรพรรดิเซิ่ง!

ที่มาเยือนไม่ใช่ร่างจริงของเขา แต่เป็นร่างแยกที่ฉายภาพสะท้อนมา!

“จักรพรรดิแส เหตุใดเจ้าต้องจองล้างจองผลาญกันด้วย กงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้เป็นคนรู้ใจของน้องรองข้า หากเจ้าจะลงมือจริงๆ ก็ควรต้องคิดพิจารณาถึงความรู้สึกของน้องรองข้าบ้าง”

จักรพรรดิเซิ่งยิ้มน้อยๆ ที่เขามาที่นี่ก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนส่งข้อความเสียงไปหา หลังจากได้ยินเสียงร้อนรนกระวนกระวายของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิเซิ่งก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่คือโอกาสที่จะซื้อใจคน

แต่ว่าเขาเองก็เป็นคนเจ้าเล่ห์มากด้วยแผนการอยู่แล้ว ต่อให้จะคิดว่าตัวเองสามารถทำเรื่องนี้ได้ กระนั้นก็ไม่มีทางมาเยือนด้วยร่างจริง เพียงแค่ฉายเงาสะท้อนของร่างแยกมาเท่านั้น จะอย่างไรซะ ในสายตาของเขา สิ่งที่ตัวเองต้องทำก็มีแค่การถ่วงเวลาให้ได้หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ต่อให้เงาสะท้อนของร่างแยกวิญญาณนี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิแส แต่หากจะแค่ถ่วงเวลาก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว

ข้างกายเขาก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่รอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด และนั่งอยู่ในค่ายกลหยดน้ำด้วยสีหน้าซีดขาว นางหลบอยู่ในมหาสมุทรหย่งเหิงมานานมากแล้ว เดิมทีนางเก็บปราณทั้งหมดเอาไว้ จนกระทั่งกระบี่ใหญ่สายเหนือถูกป๋ายเสี่ยวฉุนมาเก็บเอาคืนไป นางจึงสัมผัสได้ทันที ครั้นจึงออกไปสืบข่าวด้านนอกด้วยความระมัดระวัง เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้ว นอกจากความตกตะลึง กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก คิดจะไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เพียงเพราะว่านางอยู่ห่างมากเกินไป ยังไม่ทันไปถึงดินแดนเซียนของป๋ายเสี่ยวฉุน ก็ถูกจักรพรรดิแสขัดขวางเอาไว้เสียก่อน!

ภายใต้สถานการณ์ที่เดิมทีนึกว่าตัวเองต้องตายแน่นอน กลับมีโอกาสรอดชีวิตอีกครั้ง กงซุนหว่านเอ๋อร์จึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่สีหน้าก็ยังคงซีดเผือด มองจักรพรรดิเซิ่งที่ออกหน้าช่วยเหลือตน แล้วก็ไพล่นึกไปถึงเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสาบานเป็นพี่น้องกับจักรพรรดิเซิ่ง

เนื่องจากการประมือระหว่างจักรพรรดิแสกับจักรพรรดิเซิ่งก่อนหน้านี้ รอบด้านจึงยังมีคลื่นของการโจมตีซัดแผ่อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าจักรพรรดิแสในเวลานี้มีสีหน้ามืดทะมึนอย่างถึงที่สุด นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมา เขาก็ตัดสินใจผิดพลาดมาสองครั้งติดแล้ว

ครั้งแรกคือเรื่องของตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเอง ส่วนครั้งที่สองก็คือเรื่องของกงซุนหว่านเอ๋อร์ หากกงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในค่ายกลหยดน้ำหรือจักรพรรดิเซิ่งไม่ได้มาช่วยเหลือ ถ้าเช่นนั้นจักรพรรดิแสย่อมต้องได้ผลเก็บเกี่ยวมาจากกงซุนหว่านเอ๋อร์แน่นอน

และผลเก็บเกี่ยวที่ว่านี้ ไม่ว่าจะนำมาใช้จัดการกับป๋ายเสี่ยวฉุน หรือใช้ชดเชยพลังการต่อสู้ของเทียนจุนที่ตัวเองสูญเสียไป สำหรับจักรพรรดิแสแล้วก็ล้วนเป็นทางเลือกที่ไม่เลวทั้งสิ้น ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับได้รับผลกระทบไปหมด

สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น หากไม่ข่มกลั้นความโมโหแล้วจากไป ก็ต้อง…ต่อสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ดูสิว่าแสงแห่งบุพกาลของอีกฝ่ายไม่มีขีดจำกัดจริงหรือไม่ และหากชนะ สถานการณ์ทั้งหมดที่ไม่ส่งผลดีต่อเขาก็จะถูกพลิกกลับคืนมา

และที่ร่างจริงของจักรพรรดิเซิ่งไม่ได้มาเยือนด้วยตัวเอง ในสายตาของจักรพรรดิแสแล้วนี่ก็ถือว่าเป็นความคลางแคลงใจและหยั่งเชิงต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างหนึ่ง เพราะอย่างไรซะการวิเคราะห์ของพวกเขาก็สอดคล้องตรงกัน นั่นก็คือแสงแห่งบุพกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว!

“ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ นี่เขากำลังป้องกันป๋ายเสี่ยวฉุน คิดจะยืมใช้การลงมือของข้ามาหยั่งเชิงขีดจำกัดของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะยิ่งมีความมั่นใจในการร่วมมือกันกับป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น”

“ขณะเดียวกันต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่อนแอจริงๆ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้าสังหารอีกฝ่ายคาตาตัวเอง และเกรงว่าตัวจริงของเขาก็คงตรงเข้ามาขัดขวางในทันทีเหมือนกัน!”

จักรพรรดิแสหรี่ตาลงมองจักรพรรดิเซิ่งแล้วแค่นเสียงเย็นหนึ่งที

“ยังมีทางเลือกที่สาม!” จักรพรรดิแสคิดมาถึงตรงนี้ก็เลือกที่จะยืนนิ่งอยู่บนท้องฟ้า ไม่ลงมืออีกต่อไป ส่วนดวงตาของร่างแยกจักรพรรดิเซิ่งเองก็เปล่งประกายวาบ คล้ายกำลังใคร่ครวญถึงความคิดในใจของจักรพรรดิแส แล้วก็เริ่มสบถด่าอีกฝ่าย

ไม่นาน ท่ามกลางการรอคอยของบุพกาลทั้งสองท่านนี้ ท้องฟ้าที่ห่างไปไกลก็เริ่มมีเสียงลมพายุดังทะยานเข้ามา เห็นเพียงว่ามีรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่คล้ายจะแหวกอากาศพุ่งตรงมา ทุกที่ที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าหรือมหาสมุทรหย่งเหิงที่อยู่เบื้องล่าง ก็ล้วนบิดเบือนเหมือนใกล้จะระเบิดแตก

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ายังมีแสงแห่งบุพกาลอีกหรือไม่!” ดวงตาของจักรพรรดิแสเป็นประกายเยียบเย็น แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้ามาใกล้ เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นทำมุทราชี้ไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นสุริยาสีชาดก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง แสงสว่างพร่างพราวนับหมื่นจั้งแฝงเร้นไว้ด้วยริ้วคลื่นเวทอาคมที่มีปราณของบุพกาลพลันแผ่ขยายไปพร้อมกับสุริยาสีชาดที่ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง กลายมาเป็นคลื่นความร้อนขุมหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน!

“ยังเหลืออีกเส้นสุดท้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว ยกมือขวาขึ้นฉับไว ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มีแสงเปล่งวาบ แสงแห่งบุพกาลเส้นที่สิบสามโผล่พรวดออกมา เมื่อปราณของบุพกาลแผ่กระจาย แสงแห่งบุพกาลนี้ก็ทะลวงคลื่นความร้อนไปกระแทกลงบนสุริยาสีชาดอย่างพร้อมเพรียงกัน ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาศัยพลังแห่งการทะลุทะลวงของแสงแห่งบุพกาลนี้ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง แสงแห่งบุพกาลอีกเส้นหนึ่งจำแลงออกมา ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก แสงนี้ก็ปะทะเข้ากับดวงอาทิตย์สีแดงฉานอีกครั้ง

ฟ้าสนั่นดินสะเทือน แสงแห่งบุพกาลสองเส้นที่พุ่งมาติดต่อกัน ต่อให้เป็นจักรพรรดิแสเองก็ยังลมหายใจไม่มั่นคง ร่างถอยกรูดไปข้างหลัง

ขณะเดียวกันเวทอาคมสุริยาสีชาดของเขาที่เดิมทีก็เกิดรอยปริร้าวเพราะศึกก่อนหน้านี้ ตอนนี้รอยร้าวที่ยังไม่ทันผสานตัวได้สนิทก็แผ่ลามออกไปอีกครั้ง จากนั้นก็กลายมาเป็นพลังแว้งกลับที่ทำให้จักรพรรดิแสปวดแปลบตรงหน้าอก ขณะที่เขาถอยห่างออกไปหลายก้าว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แหงนหน้าแผดเสียงคำรามอีกครั้ง

“ยังเหลืออีกเส้นสุดท้าย!”

เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว แสงแห่งบุพกาลเส้นสุดท้ายที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุนจำแลงขึ้นมาบนท้องฟ้า และพริบตาเดียวก็ตรงทะยานเข้าหาจักรพรรดิแสอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา เป็นเหตุให้จักรพรรดิแสหน้าเปลี่ยนสี มือทั้งคู่ยกขึ้นทำมุทราและผลักไปข้างหน้าอย่างแรงหนึ่งที ร่างจริงและแสงแห่งบุพกาลของเขาพลันผสานรวมเข้าด้วยกัน ภายใต้เสียงก้องกังวาน มุมปากเขามีเลือดสดหลั่งริน และร่างก็ถอยร่นหนีไปด้านหลังอีกครั้ง

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็ได้ลงมือไปแล้วถึงสามครั้ง ระยะทางที่ถูกคำนวณไว้เรียบร้อยทำให้เขามาโผล่พรวดอยู่ข้างหยดน้ำใต้ทะเลที่กงซุนหว่านเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน

หลังจากที่กงซุนหว่านเอ๋อร์มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด ความสิ้นหวังทั้งหมดของนางก่อนหน้านี้ บัดนี้ได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงเพราะการมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุน จากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือความรู้สึกเหนื่อยล้าดั่งขุนเขาและมหาสมุทรถาโถมเข้าใส่เพราะการดึงพลังมาใช้เกินตัว หลังจากฝืนหันไปคลี่ยิ้มให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็กระอักเลือดแล้วหมดสติไปทันที

ส่วนค่ายกลหยดน้ำที่นางอยู่ก็สลายหายไปโดยอัตโนมัติภายหลังการหมดสติของนาง ป๋ายเสี่ยวฉุนโอบอุ้มเรือนกายอรชรของกงซุนหว่านเอ๋อร์เอาไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขามืดทะมึน ดวงตายิ่งเป็นประกายเย็นชา ครั้นแล้วก็ยกมือซ้ายขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความดุดัน

“พี่ใหญ่จักรพรรดิเซิ่ง ยังไม่เผยกายที่แท้จริงอีก วันนี้พวกเราสองพี่น้องมากำราบเจ้าจักรพรรดิแสผู้นี้กันเถอะ!”

“แสงแห่งบุพกาลของข้ายังมีอีกหนึ่งร้อยเส้นเต็มๆ มากพออยู่แล้ว!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดผลุงขึ้น น้ำเสียงทรงพลังดั่งเสียงระฆังก้องกังวาน เป็นเหตุให้ดวงตาของเงาสะท้อนร่างแยกจักรพรรดิเซิ่ง ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเปล่งประกายถี่รัวคล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก

ส่วนจักรพรรดิแสที่อยู่บนท้องฟ้า บัดนี้ก็ใจสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง

ทีแรกเขาไม่เชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังเหลืออีกหนึ่งร้อยเส้น ทว่าเมื่อผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยระเบิดแสงแห่งบุพกาลสิบกว่าเส้น และตอนนี้เพียงแค่เพื่อช่วยกงซุนหว่านเอ๋อร์ เพิ่งจะมาถึงก็ยังปล่อยแสงออกมาถึงสามเส้นโดยไม่เสียดาย…ท่าทางใจป้ำที่ไม่เหมือนจงใจแสดงออกเช่นนี้ทำให้ในใจของจักรพรรดิแสรู้สึกสั่นคลอนไปกับการวิเคราะห์ของตัวเองอีกครั้ง

สุดท้ายเขาจึงได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ รู้ดีว่าหมดโอกาสไปแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่เติบโตขึ้นมาก ซ้ำการที่อีกฝ่ายร่วมมือกับจักรพรรดิเซิ่งก็ถือเป็นวิธีการที่ทำให้ตนกริ่งเกรงอย่างแท้จริง ซึ่งมันได้ทำให้ความคิดที่อยากจะหยั่งเชิงต่อของเขาหายวับไปไม่มีเหลือ แน่ใจในพลังการต่อสู้ขั้นบุพกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเต็มที่แล้ว

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเอาตัวกงซุนหว่านเอ๋อร์ไปได้ เชลยของโลกทงเทียนทั้งหมดที่อยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิแสตอนนี้ก็มอบให้เจ้าได้เหมือนกัน ทั้งข้าผู้เป็นจักรพรรดิยังสามารถเปิดด่านริมชายแดน ไม่เพียงแต่ยอมรับตำแหน่งของเจ้าในโลกทงเทียน ทั้งยังจะปล่อยให้นักพรตโลกทงเทียนทั้งหมดในราชวงศ์จักรพรรดิแสอยู่หรือไปได้ตามใจชอบโดยที่จะไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ!”

จักรพรรดิแสสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ให้เวลาจักรพรรดิเซิ่งได้ชั่งน้ำหนักต่อไป เพราะในใจเขาตัดสินใจได้แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดอย่างคนที่ไร้ซึ่งความลังเล

“แต่ข้าต้องการ…ให้เจ้าปล่อยตัวเทียนจุนสองคนอย่างหยวนเยาจื่อและซื่อหลิงซ่างเหรินมาให้ข้า!”

ลึกๆ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนี้ก็เครียดมากเหมือนกัน เพราะแสงแห่งบุพกาลของเขาหมดไปแล้วจริงๆ แต่เขารู้นิสัยของจักรพรรดิแสผู้นี้ดี รู้ว่าหากตนตอบรับเร็วเกินไป เกรงว่าอีกฝ่ายคงเกิดความสงสัย อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังพอจะเดาความคิดของจักรพรรดิเซิ่งได้อยู่เหมือนกัน

เวลานี้เขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้าทั้งนั้น ซ้ำเมื่อเผชิญหน้ากับการประนีประนอมของจักรพรรดิแส เขายังแค่นเสียงเย็น มือขวายกขึ้นทำท่ากวักเรียกแสงแห่งบุพกาล พลางหันไปมองจักรพรรดิเซิ่ง

“พี่ใหญ่ จะรบไม่รบ ท่านพูดมาคำเดียวเลย!”

ประโยคนี้เต็มไปด้วยความเหี้ยมหาญแห่งชายชาตรี ทว่าอันที่จริงลึกๆ ในใจของเขากลับเริ่มกระวนกระวายบ้างแล้ว

“จักรพรรดิเซิ่งเอ๋ย เจ้าอย่าสติไม่ดีจนเห็นดีเห็นงามกับข้าเข้าจริงๆ ล่ะ หากเจ้าตอบรับเข้าจริงๆ ต่อให้ข้าไม่คิดจะเล่นงานเจ้าก็คงไม่ได้แล้วล่ะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version