บทที่ 1220 ชื่อนี้เป็นอย่างไร
อันที่จริงพอหลี่ชิงโหวถามประโยคนี้จบ ตัวเขาเองก็ให้รู้สึกเสียใจที่ถามออกไป ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ หากจะถามว่าใครที่เข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนดีที่สุดก็ย่อมต้องเป็นเขาอยู่แล้ว เมื่อครู่นี้เป็นเพราะดีใจเกินไปถึงได้ลืมนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าตอนนี้พอเห็นท่าทางดีใจฮึกเหิมของอีกฝ่าย หลี่ชิงโหวก็พลันรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง
อันที่จริงไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่กระวนกระวายใจ ต้าเทียนซือเองก็สูดลมหายใจดังเฮือก บุรพาจารย์ธาราเทพก็อึ้งค้างไปเหมือนกัน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกจางต้าพั่ง สวีเป่าไฉและเสินซ่วนจื่อเลย
พวกเขาแต่ละคนล้วนมีสีหน้าปั้นยาก นั่นเป็นเพราะว่าต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด พวกเขาก็ยังคิดได้ว่า ชื่อที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนตั้ง…ย่อมต้องไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาแน่นอน
ในบรรดานี้คนที่ตื่นตระหนกที่สุดก็คือราชาผียักษ์ เขาไม่อยากให้หลานของตนต้องใช้ชื่อระคายหูไปทั้งชีวิต จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าเองก็คิดได้เหมือนกัน ข้าพูดก่อนแล้วกัน…”
“ท่านพ่อตา ไว้ท่านค่อยพูดทีหลัง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่อีกฝ่าย ตอนนี้เขากำลังลำพองใจกับชื่อที่ตนคิดขึ้นมาได้ในช่วงที่ผ่านมา แล้วมีหรือจะยอมให้คนอื่นชิงพูดตัดหน้าก่อนได้
ราชาผียักษ์หน้าเจื่อนทันที ถอนหายใจยาวเหยียดหนึ่งครั้ง
ก่อนจะหันไปจ้องมองหลี่ชิงโหวอย่างตำหนิ หลี่ชิงโหวเองก็ปวดหัวแปล๊บ เตรียมจะพูดเกลี้ยกล่อมป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กระแอมหนึ่งครั้งกลับพูดขึ้นแล้วว่า
“ลูกชายน่ะ ข้าตั้งชื่อที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล นั่นก็คือ…ป๋ายต้าต้า!” (ต้าแปลว่าใหญ่ ต้าต้าก็คือใหญ่ๆ) ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็พลันเป็นประกาย ช่วงที่ผ่านมาเขาคิดชื่อไว้มากมาย ทว่าทุกชื่อล้วนไม่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่พอ จนกระทั่งนึกชื่อนี้ขึ้นมาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ร่างทั้งร่างตั้งแต่ในยันนอกสั่นเทิ้มไปหมดด้วยความฮึกเหิม
เขาคิดว่านี่คือหนึ่งในชื่อที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้ คนที่จะมีชื่อไพเราะทัดเทียมได้กับบุตรชายของเขาจะมีแค่สองคนเท่านั้น!
หนึ่งคือตัวเขาเอง ส่วนอีกหนึ่ง ก็คือชื่อของลูกสาวที่เขาคิดขึ้นมาได้
ทว่าเขาเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็สูดลมดังเฮือกพร้อมกัน จางต้าพั่งทำท่าจะหัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหันขวับไปมองทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าเป็นอะไรไป?”
“ไม่…ไม่มีอะไร ชื่อดี ชื่อนี้ดียิ่งนัก มีชะตาต้องกันกับข้าด้วย!” จางต้าพั่งกระแอมไอไม่หยุด ก่อนจะรีบเอ่ยอธิบาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจอย่างมาก แล้วจึงหันไปมองเสินซ่วนจื่อ เสินซ่วนจื่อกำลังยืนอึ้ง พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมองมาก็สูดลมหายใจติดต่อกันเพื่อปรับลมหายใจให้สงบ ก่อนที่เขาซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดจะก้มหน้าลง แล้วยกมือขึ้นแตะสัมผัสกันไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคำนวณอะไรอยู่
พอเห็นว่าเสินซ่วนจื่อทำท่าจริงจังขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอใจมาก จึงหันไปมองสวีเป่าไฉต่อ
“ชื่อนี้…ชื่อนี้…ประหนึ่งอสนีที่ผ่าลงข้างหู ประดุจสรรพสำเนียงแห่งสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะตอนที่องค์ชายใหญ่ถือกำเนิด ฟ้าดินยังเกิดปรากฏการณ์พิเศษ นี่คือชะตาของผู้ที่จะสูงส่งร่ำรวยไปชั่วชีวิต แล้วก็มีเพียงองค์ชายใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถใช้ชื่อยอดเยี่ยมเลิศล้ำซึ่งฝ่าบาทเป็นคนตั้งชื่อนี้ได้!” ใบหน้าของสวีเป่าไฉเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตะโกนพูดเสียงดังโดยไม่สนใจแววดูแคลนในดวงตาของคนอื่นที่อยู่ด้านหลัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นหลี่ชิงโหวก็ดี ต้าเทียนซือก็ช่าง หรือพวกบุรพาจารย์ธาราเทพ แต่ละคนต่างก็ปากอ้าตาค้างกันไปนานแล้ว พวกเขารู้สึกหน้ามืดตาลายไปกับชื่อที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้ตั้ง เหมือนถูกฟ้าผ่าจนร่างด้านนอกไหม้เกรียมร่างด้านในเหลวนุ่ม
“ฝ่าบาท ชื่อนี้…”
“เสี่ยวฉุน พวกเรามาเปลี่ยนชื่อกันใหม่จะดีกว่า”
ขณะที่พวกเขาพูดโน้มน้าวอย่างละมุนละม่อม ราชาผียักษ์กลับร้องคร่ำครวญแล้วคำรามออกมาอย่างเดือดดาล
“ไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมให้หลานชายของข้าชื่อป๋ายต้าต้าอะไรนี่เด็ดขาด ต้ากะหัวเจ้าน่ะสิ! หากตั้งชื่อตามที่เจ้าบอก ไม่ใช่ว่าลูกสาวเจ้าต้องชื่อป๋ายเสี่ยวเสี่ยวอย่างนั้นรึ!” (เสี่ยวแปลว่าเล็ก เสี่ยวเสี่ยว แปลว่าเล็กๆ)
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะร่า หันไปพยักหน้าให้กับราชาผียักษ์ด้วยความลำพองใจอย่างถึงที่สุด
“ฮ่าๆ ท่านพ่อตารู้ใจข้าดีจริงๆ ถูกต้อง ชื่อของลูกสาวข้าก็คือป๋ายเสี่ยวเสี่ยว เป็นอย่างไร คนหนึ่งป๋ายต้าต้า อีกคนหนึ่งป๋ายเสี่ยวเสี่ยว ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครจะทัดเทียมพวกเขาได้อีก!”
คราวนี้แทบทุกคนต่างก็ร้องคัดค้าน ทว่าปกติป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ใช่คนดื้อดึง มาวันนี้กลับดึงดันในเรื่องของชื่อลูกชายลูกสาวอย่างที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น ไม่ว่าทุกคนจะคัดค้านอย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ยอมถอยให้แม้แต่น้อย
มาถึงท้ายที่สุด ทุกคนก็ได้แต่ถอนหายใจ ราชาผียักษ์ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ ภายใต้ความบ้าคลั่งของเขา ภายใต้ความเดือดดาลของเขา ท่ามกลางอาการที่เหมือนร่างทั้งร่างจะระเบิดออก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหันมามองยังราชาผียักษ์อย่างอัดอั้นตันใจ
“คำว่าป๋ายกับต้าห้ามเปลี่ยน ชื่อสุดท้ายเอาตามที่ท่านว่าคงได้แล้วกระมัง ท่านพ่อตา ท่านเองก็อายุมากแล้ว ระมัดระวังสุขภาพด้วย”
พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน ราชาผียักษ์ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เขายืนคิดหนักอยู่ตรงนั้น และไม่นานดวงตาก็มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ สุดท้ายจึงกัดฟันพูดอักษรตัวหนึ่งออกมา!
“คำว่าต้าคำสุดท้าย เปลี่ยนเป็นคำว่าเป่า!”
“ป๋ายต้าเป่า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบ้ปาก ทุกคนที่อยู่รอบด้าน พอได้ยินมาถึงตรงนี้ก็อึ้งตะลึงกันไปอีกครั้ง หลี่ชิงโหวถึงกับอ้าปากหวอ มองราชาผียักษ์ที่ยังไม่หายเดือดดาล แล้วก็หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกที สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด
ต้าเทียนซือเองก็เงียบงันไป ส่วนพวกจางต้าพั่งนั้นจะอย่างไรซะก็เป็นเด็กรุ่นเล็ก ยามนี้แต่ละคนที่มีสีหน้าเหยเกยากจะปกปิดหันมามองหน้ากัน พวกเขาล้วนรู้สึกว่า…บางทีโจวจื่อโม่อาจจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของราชาผียักษ์
“ถูกต้อง ให้ชื่อว่าป๋ายต้าเป่า (ต้าเป่าคือสมบัติชิ้นใหญ่) มันดีกว่าชื่อป๋ายต้าต้าอะไรนั่นของเจ้ามากนัก!” ราชาผียักษ์เชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ก้มลงมองลูกชายที่อยู่ในอ้อมอกของตัวเอง ด้วยไม่อยากให้ราชาผียักษ์ที่อายุมากแล้วโมโหเดือดดาลถึงขนาดนั้น จึงได้แต่ยอมเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย
“ก็ได้ ให้คนหนึ่งชื่อป๋ายต้าเป่า อีกคนหนึ่งชื่อป๋ายเสี่ยวเสี่ยว เอาตามนี้แหละ นี่ไม่ได้มาจากความคิดของข้าคนเดียวนะ นี่คือการตัดสินใจร่วมกันของพวกเรา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กังวลว่าหลังจบเรื่องซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่จะมาเอาเรื่องตน คิดว่าชื่อที่ตนตั้งไม่เพราะ แต่ลึกๆ ในใจเขารู้สึกว่าสองชื่อนี้เป็นชื่อที่ดีมาก ดังนั้นจึงถือโอกาสดึงเอาคนอื่นเข้ามามีเอี่ยว ให้ชื่อนี้กลายมาเป็นชื่อที่ใช้ได้จริง!
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะป๋ายต้าเป่าที่ยังเป็นทารกฉลาดเฉลียวมากหรืออย่างไร เขาที่เดิมทีหยุดร้องไห้ไปแล้ว พอได้ยินชื่อของตัวเองก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนป๋ายเสี่ยวเสี่ยวนั้นกลับยิ่งหัวเราะเริงร่ามากกว่าเดิม คล้ายพึงพอใจในชื่อของตัวเองอย่างมาก ท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้นางยังเปล่งเสียงแอ้ๆ ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ภายใต้ความวุ่นวายที่น่ายินดีนี้ ต้าเป่าผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนสงสารจึงรีบให้หมอตำแยมาอุ้มเอากลับไป ทว่าเสี่ยวเสี่ยวกลับยังคึกคักร่าเริง ส่งเสียงหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุด แล้วก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ต่อคนแปลกหน้าทั้งหมดที่อยู่รอบด้าน
“เด็กผู้หญิงนี่แหละดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองลูกสาวที่อยู่ในอ้อมอก ยิ่งมองก็ยิ่งรักและเอ็นดู แล้วก็เป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาต่อมา ตลอดทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยล้วนเริ่มทำการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะนครจักรพรรดิขุยที่ประดับประดาไปด้วยไฟหลากสีงดงาม ความครึกครื้นสนุกสนานแผ่อบอวลไปทั่วทั้งฟ้าดิน
จากนั้นก็ตามมาด้วยคำอวยพรจากราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและราชวงศ์จักรพรรดิแส เทียนจุนแทบทุกคนต่างก็ส่งของขวัญที่ไม่ธรรมดามาให้ ต่อให้เป็นซื่อหลิงซ่างเหรินและหยวนเยาจื่อที่เคยถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวไปก็ยังส่งของขวัญมาแสดงความยินดีด้วย
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดซือหม่าอวิ๋นหัวที่เดิมทีก็ติดค้างบุญคุณของป๋ายเสี่ยวฉุน และยังมีพวกเทียนจุนวิเศษกาลนาน กู่เทียนจวิน เฉินซูที่ต่างก็ส่งของขวัญมากันอย่างครบถ้วน
และของขวัญชิ้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นย่อมมาจากจักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแส ต่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามฝ่ายจะซับซ้อน ทว่ากลับไม่ได้เปิดเผยออกมาทางของขวัญที่มอบให้ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับก้อนหินก้อนหนึ่งที่จักรพรรดิแสส่งมาให้แล้ว ทางฝ่ายของจักรพรรดิเซิ่งกลับส่งใบบัวของดอกบัวในบ่อสวรรค์มาให้สองใบ!
ใบบัวสองใบนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้เลย เพราะตลอดทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็มีดอกบัวอยู่ในบ่อสวรรค์เพียงดอกเดียว และดอกบัวนี้ก็มีใบแค่สิบแปดใบเท่านั้น
ตอนนี้ใบบัวเหลืออยู่แค่สิบสี่ใบ พอมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสองใบจึงเหลืออยู่แค่สิบสองใบเท่านั้น
ของขวัญชิ้นนี้ใหญ่มากจนต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังปลื้มใจ ส่วนก้อนหินที่จักรพรรดิแสส่งมาให้นั้น หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นย่อมรู้สึกว่ามันล้ำค่าอย่างถึงที่สุด เพราะอย่างไรซะ…นี่ก็คือก้อนหินที่มาจากเลือดเนื้อของผู้บงการทำลายโลกที่อยู่บนท้องฟ้าผู้นั้น!
ทว่าอันที่จริงหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าตัวตนของจักรพรรดิแสมีปัญหา เขาก็ระมัดระวังต่อของขวัญที่อีกฝ่ายส่งมาให้เป็นพิเศษ ก้อนหินประเภทนี้ เขาจะปล่อยให้มันสัมผัสโดนบุตรชายบุตรสาวของตัวเองได้อย่างไร
ซ้ำตอนที่รับก้อนหินนี้มา ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนยังฉายปราณสังหาร ต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะข่มกลั้นเอาไว้ได้
นอกจากสองราชวงศ์ใหญ่แล้ว ราชวงศ์จักรพรรดิขุยเองก็มีคนมากมายมาอวยพร ซึ่งคนที่สามารถมาพบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนได้นั้นก็แทบจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับป๋ายเสี่ยวฉุนตอนอยู่โลกทงเทียนทั้งหมด
อย่างเฉินม่านเหยาและสวี่ซาน หญิงสาวทั้งสองมาพร้อมกัน
พอถวายบังคมป๋ายเสี่ยวฉุนเสร็จเรียบร้อยก็มอบของขวัญมาให้ เมื่อเทียบกับการปล่อยวางของเฉินม่านเหยาแล้ว สวี่ซานกลับมีความสับสนกว่ามากนัก แต่ดูเหมือนว่านางเองก็จะคิดได้ จึงทำเพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นการแสดงความเคารพ แล้วจึงจากไปพร้อมกับเฉินม่านเหยา
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงมองแผ่นหลังของพวกนางเงียบๆ เนิ่นนานถึงถอนหายใจออกมาหนึ่งที
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่นักพรตตัวเล็กๆ อย่างในอดีตอีกแล้ว เขาที่กลายมาเป็นจักรพรรดิขุย แทบจะไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้มาครอง ทว่ามีเพียงตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองเท่านั้นที่รู้ดีว่า มีเรื่องมากมายยิ่งนักที่เขามิอาจทำได้
ต่อให้ในอดีตเคยมีวาสนาต่อกัน ทว่าด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป ประโยคที่จะรั้งพวกนางเอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะพูด แล้วก็ไม่อยากพูดด้วย
บางทีบนโลกใบนี้ หากต่างฝ่ายต่างไม่มีความรู้สึกให้แก่กัน คำพูดประเภทนั้นอาจพูดได้อย่างง่ายดาย แต่หากมีความรู้สึกให้แก่กันเมื่อไหร่ กลับจะยิ่งพูดออกมาไม่ได้ เมื่อก่อนป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
หลังจากส่งสวี่ซานและเฉินม่านเหยาจากไปด้วยใจที่ปลงอนิจจัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนตัวกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่ ขณะที่กำลังจะไปหาต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยว จู่ๆ ด้านหลังเขาก็มีเสียงแหลมปรี๊ดกวนประสาทดังลอยมา
“เจ้าเด็กเสี่ยวฉุน นายท่านเต่าของเจ้ามาแล้ว รีบหาของอร่อยๆ มาประเคนให้นายท่านเต่าของเจ้าเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วเชื่อหรือไม่ว่านายท่านเต่าจะทิ้งตราประทับไว้บนหน้าลูกของเจ้า!”