บทที่ 1222 แข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ วัน
“วิชาอภินิหารของข้ามีชื่อว่าคัมภีร์แห่งอนาคตกาลแดนนิพพาน ใครที่ถูกดอกพลับพลึงของข้าผสานรวมเข้าไปในร่าง จะเท่ากับผูกชะตาชีวิตไว้กับข้า ข้าได้รับบาดเจ็บแบบไหน ฝ่ายตรงข้ามก็จะได้รับบาดเจ็บแบบเดียวกัน ถึงขั้นที่ว่าขอแค่ข้าต้องการ จะนำมาใช้ในทางตรงกันข้ามก็ยังได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้น ในใจบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง คัมภีร์แห่งอนาคตกาลนี้เขาศึกษามาแล้วหลายครั้ง และสิ่งที่คิดค้นขึ้นมาก็คือ เวทคาถาชนิดหนึ่งที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเล่นแง่อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้
จะอย่างไรซะเขาก็หนังหนา ทั้งยังมีพลังในการฟื้นตัวอันดีเยี่ยม ทว่าศัตรูเขานั่นแหละที่ต้องซวย เพราะหากคิดจะเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุน ยังไม่ทันทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ตัวเองกลับต้องทนรับอาการบาดเจ็บไม่ไหวไปก่อนแล้ว
“วิชาอภินิหารนี้ของข้า เป็นอย่างไรบ้าง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามอย่างลำพองใจ ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ดอกพลับพลึงสีแดงที่ผลุบหายเข้าไปในร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ถูกดึงกลับออกมา
อันที่จริงคัมภีร์แห่งอนาคตกาลนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอันดับที่สอง ซึ่งอานุภาพของมันน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่า นั่นก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนทำร้ายตนเอง และฝ่ายตรงข้ามก็ถูกทำร้ายไปด้วย…
“เป็นเวทคาถาที่ไร้ยางอายยิ่ง!” กงซุนหว่านเอ๋อร์ข่มกลั้นอารมณ์อยู่พักใหญ่กว่าจะเอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ แล้วจึงโบกมือไล่แขก
ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำจมูกแก้เก้อ เมื่อเห็นว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะมาทดลองกับตน เขาก็ได้แต่จากมา พอกลับมาถึงห้องลับของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฝึกตนพลางใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และอีกด้านหนึ่งก็เริ่มทุ่มแรงกายแรงใจไปไว้ที่การศึกษาไฟยี่สิบสามสี
สำหรับไฟหลายสีนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยคิดจะทอดทิ้ง เพราะเขารู้สึกได้ว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะชุบชีวิตของป๋ายฮ่าวได้ แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดมาพิสูจน์ แต่เขาก็ยังยึดมั่นที่จะทำเช่นนี้
กาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วราวกระสวยที่แล่นฉลุย ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสองปี สองปีมานี้แม้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่มีการฝ่าทะลุขั้น แต่ก็พัฒนาเพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน ส่วนต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวก็เติบโตอย่างแข็งแรง เพียงแต่ว่าเนื่องด้วยชื่อของพวกเขาก็ทำให้ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ค้อนประหลับประเหลือกใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง แล้วก็เคยทดลองที่จะเปลี่ยนชื่อ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืนกรานหนักแน่นในเรื่องนี้ ไม่ว่าใครจะพูดยังไง เขาก็ไม่ฟัง
มาถึงท้ายที่สุด โจวจื่อโม่และซ่งจวินหว่านก็ได้แต่ยอมรับไปโดยปริยาย และพอเรียกไปเรียกมา ไม่นานก็เคยชินกับสองชื่อนี้ไปเอง
และการฝึกตนของพวกนางก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ภายใต้การช่วยเหลือจากทรัพยากรมหาศาลของราชวงศ์จักรพรรดิขุย ซ่งจวินหว่านได้เลื่อนจากก่อกำเนิด ก้าวไปสู่คนฟ้า ส่วนโจวจื่อโม่นั้นขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็สามารถเลื่อนสู่ครึ่งเทพได้
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับโหวเสี่ยวเม่ยแล้ว พวกนางกลับยังช้ากว่าเล็กน้อย ภายใต้การชี้นำจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ ตบะของโหวเสี่ยวเม่ยก็เลื่อนขั้นไปอย่างรวดเร็วสุดขีด เพียงแค่สองปีก็เลื่อนจากคนฟ้าช่วงกลาง ขยับเข้าสู่คนฟ้าช่วงท้าย หากเป็นอย่างนี้นานไปก็มีหวังมากว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นครึ่งเทพเร็วยิ่งกว่าโจวจื่อโม่
เพียงแต่ว่าโหวเสี่ยวเม่ยไม่มีความสุขเอาเสียเลย เพราะท้องของนางไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แม้นางจะรู้มาจากซ่งจวินหว่านว่าในอดีตซ่งจวินหว่านเองก็ใช้เวลานานมากกว่าจะรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ทว่าโหวเสี่ยวเม่ยก็ยังร้อนใจอยู่ดี ด้วยเรื่องนี้นางยังเคยมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง…
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว สองปีมานี้นักพรตโลกทงเทียนของราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็มารวมตัวกันมากกว่าเดิม เป็นเหตุให้ตลอดทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่มีประชากรมากขึ้น ด้านการหลอมพลังจิตก็ยิ่งเป็นเสาเอกสำคัญ ปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยกันมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์จักรพรรดิแสกับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็เนื่องจากข้อตกลงในคราแรก จึงถือว่ายังพออยู่กันอย่างสงบสุข ต่างฝ่ายต่างไปมาหาสู่กันค่อนข้างถี่ มีเพียงจำนวนของเทียนจุนเท่านั้นที่เนื่องจากราชวงศ์จักรพรรดิขุยมีเพียงกงซุนหว่านเอ๋อร์แค่คนเดียว ดังนั้นในหลายๆ เรื่องจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อย
แต่ก็ยังดีที่ต้าเทียนซืออยู่ในขอบเขตครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบมานานหลายปีแล้ว แม้จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับการปกครองบ้านเมือง แต่ตอนนี้ราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็ถือว่าเข้ารูปเข้ารอยในช่วงต้นแล้ว เวลาของเขาจึงมีเหลือมากพอ ดังนั้นภายใต้การชี้นำจากป๋ายเสี่ยวฉุนและกงซุนหว่านเอ๋อร์ บวกกับโอสถเซียนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอากลับมาจากซากพัด จึงเป็นเหตุให้เขาขยับเข้าใกล้ขอบเขตเทียนจุนมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะเมื่อผ่านเวลามาได้สองปี ในที่สุดวันนี้เขาก็ขยับเข้ามาใกล้ริมขอบของการฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว!
สำหรับการเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของต้าเทียนซือเท่านั้น ยังเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตลอดทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยด้วย เพราะอย่างไรซะหากว่ากันในบางระดับแล้ว จำนวนรวมของเทียนจุนก็ถือเป็นพลังของบ้านเมืองเช่นกัน
และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงระคนยินดีก็คือ ผู้ที่ใกล้จะฝ่าทะลุสู่เทียนจุน นอกจากต้าเทียนซือแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้ก็คือราชาผียักษ์!
เดิมทีราชาผียักษ์ไม่มีทางเลื่อนขั้นได้เร็วขนาดนี้
เพราะตามการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ คนที่จะเลื่อนขอบเขตในอันดับถัดมาควรจะเป็นราชาชิงชัยถึงจะถูก ทว่าเขากลับมองข้ามความเจ้าคิดเจ้าวางแผนของราชาผียักษ์ไป
ในสายตาของราชาผียักษ์ ลูกสาวของตนให้กำเนิดบุตรชายแก่ป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งภายภาคหน้าต้องเป็นองค์ชายใหญ่ นี่จึงทำให้เขาเกิดความตึงเครียดประหนึ่งมีภารกิจที่สำคัญยิ่งติดตัว
ในฐานะอดีตสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ของแดนทุรกันดาร เขารู้เรื่องราวของราชวงศ์จักรพรรดิเป็นอย่างดี เข้าใจดีว่าเรื่องการช่วงชิงอำนาจระหว่างองค์ชายด้วยกันไม่อาจอยู่ในการควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุนไปได้ตลอดกาล และวิธีที่จะยับยั้งเรื่องนี้ หรือจะพูดอีกอย่างว่า วิธีที่จะทำให้หลานชายของตัวเองกลายมาเป็นองค์ชายที่สมควรแก่การยกย่องโดยไม่มีอะไรให้ต้องละอายใจ ก็คือ…การที่ตาอย่างตน กลายมาเป็นเทียนจุน!
แล้วก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะเป็นยันต์ป้องกันภัยให้แก่หลานชายของเขาได้ เพราะอย่างไรซะเขาก็รู้ว่าผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับป๋ายเสี่ยวฉุนมีอยู่ไม่น้อย แล้วก็กังวลว่าในอนาคตป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีลูกมากกว่าเดิม หากมีปีศาจที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์เลิศล้ำถือกำเนิดขึ้นมาจริงๆ นั่นจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงอย่างมากต่อฐานะของหลานชายตน
และคู่ต่อสู้ที่เขาคิดว่าน่ากลัวมากที่สุดก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้ในราชวงศ์จักรพรรดิขุย ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับกงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่ใช่แค่จักรพรรดิกับขุนนาง และเรื่องราวมากมายระหว่างพวกเขาที่เคยเกิดขึ้นในทิศเหนือของดินแดนเซียนแห่งที่สองราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งเมื่อครั้งอดีตก็ถูกคนเล่าลือกันมาตั้งนานแล้ว
โดยเฉพาะการที่ต้าเทียนซือเป็นพ่อสื่อพ่อชัก ก็ยิ่งทำให้ราชาผียักษ์ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
“หากกงซุนหว่านเอ๋อร์เข้ามาอยู่ในวังแล้วมีลูกชายให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน นางมีคุณความชอบนี้อยู่ ซ้ำตบะยังแข็งแกร่งเพราะเป็นถึงเทียนจุน ลูกชายของนางย่อมต้องเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อหลานชายของข้า!”
ราชาผียักษ์ไม่ต้องการเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นถึงได้ทุ่มสุดชีวิตเพื่อฝึกบำเพ็ญตน
เขารู้สึกว่ามีเพียงตนกลายมาเป็นเทียนจุนเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้หลานของตัวเองมีจุดเริ่มต้นเท่าเทียมกับผู้แข่งขันคนอื่นๆ อีกทั้งยังจะได้เปรียบมากขึ้น เนื่องด้วยเป็นลูกชายคนโต
ความคิดเหล่านี้ของราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รับรู้ด้วยแม้แต่น้อย ดังนั้นพอเห็นว่าตบะของราชาผียักษ์ก้าวกระโดดอย่างพรวดพราดจนอยู่ในขั้นที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตเต็มที ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน
ขณะเดียวกันราชาชิงชัย ราชาเก้านรกภูมิและราชาเทพจุติ รวมไปถึงครึ่งเทพของสายตะวันออกและสายเหนือก็ถูกราชาผียักษ์กระตุ้นความฮึกเหิม แม้พวกเขาจะยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุอีกระยะหนึ่ง ทว่าแต่ละคนกลับเลือกที่จะเริ่มปิดด่านเหมือนกันหมด
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทั้งตะลึงทั้งดีใจ เขารู้สึกว่ายุคสมัยใหม่ของราชวงศ์จักรพรรดิขุยจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงภายหลังที่คนเหล่านี้พากันฝ่าทะลุขอบเขต!
ในที่สุดสามเดือนต่อมา ทัณฑ์เทียนจุนก็มาเยือนต้าเทียนซืออย่างกะทันหัน และท่ามกลางทัณฑ์สวรรค์ที่เยื้องกรายลงมานี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงรากฐานที่ซ่อนเร้นอยู่ของต้าเทียนซือ ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งล้ำเลิศอันที่ดับสาม เว้นจากคนเฝ้าสุสานและนักพรตทงเทียน เขาที่อยู่ในขอบเขตครึ่งเทพได้ผ่านการสั่งสมมาทีละน้อยจนถึงในระดับที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
แม้ว่าริ้วคลื่นที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนขอบเขตของเขาจะสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ แต่เขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือ เพียงแค่พลังของตัวเองก็สามารถต้านทานทัณฑ์เทียนจุนได้สำเร็จ เมื่อเสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลดังก้องอยู่ในหูของทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ในราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็มีเสียงไชโยโห่ร้องของคนนับไม่ถ้วนดังระเบ็งเซ็งแซ่!
จะอย่างไรซะกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ใช่คนของโลกทงเทียน สำหรับนักพรตในโลกทงเทียนแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคือเทียนจุนคนแรก ส่วนต้าเทียนซือนั้นเป็นคนที่สอง!
นาทีที่ต้าเทียนซือแบ่งเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของตนส่วนหนึ่งมาส่งมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเคารพ โลกทั้งใบก็พากันจับตามอง!
และหลังจากที่ต้าเทียนซือเลื่อนเป็นเทียนจุนได้ไม่นาน ในขณะที่พวกนักพรตมากมายของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลยังคงสะท้านสะเทือนไปกับการพัฒนาของราชวงศ์จักรพรรดิขุย ทัณฑ์เทียนจุนของราชาผียักษ์ก็พลันเยื้องกรายมาถึง!
แต่ไม่เหมือนกับต้าเทียนซือ เพราะแม้ว่าริ้วคลื่นแห่งทัณฑ์เทียนจุนของราชาผียักษ์จะเบาบางกว่า ทว่าอย่างไรซะราชาผียักษ์ก็เหมือนคนที่ฝืนดึงต้นกล้าให้โตก่อนเวลา หากมองตามสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ชะตาของเขาย่อมต้องถูกกำหนดมาให้ล้มเหลวยามที่ข้ามผ่านทัณฑ์เทียนจุน
และราชาผียักษ์เองก็รู้ข้อนี้ดี แต่เขาไม่เป็นกังวล เขาเชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางทนมองตนพ่ายแพ้คาตาตัวเอง ดังนั้นจึงเลือกที่จะฝ่าทะลุขอบเขตโดยตรง เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายใต้ทัณฑ์เทียนจุนวันนั้น ต้าเทียนซือเป็นคนแรกที่ผงะตกใจแล้วรีบให้ความช่วยเหลือ ตามมาด้วยการลงมือของกงซุนหว่านเอ๋อร์ แต่เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์จะทนไม่ไหวจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจ เพราะมองออกถึงความคิดของราชาผียักษ์ จึงยกมือขวาขึ้นทำมุทรา ดอกพลับพลึงสีแดงจึงจำแลงขึ้นมาในบัดดล
หลังจากถูกป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุมในทิศทางที่กลับกันแล้วส่งมันเข้าสู่ร่างกายของราชาผียักษ์ ทัณฑ์ที่ยากลำบากซึ่งราชาผียักษ์เป็นคนได้รับก็ถูกส่งมาที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ยังดีที่สองปีมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาคัมภีร์แห่งอนาคตกาลแดนนิพพานได้จนถึงระดับที่สามารถพลิกใช้ในทางตรงข้าม โดยดึงเอาอาการบาดเจ็บบนร่างของอีกฝ่ายมาสู่ตัวเองได้แล้ว ดังนั้นเมื่ออยู่ภายใต้ความช่วยเหลือจากเขา จึงสามารถดูดเอาทัณฑ์เทียนจุนของราชาผียักษ์มาได้เกินครึ่ง
แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ราชาผียักษ์ที่เกือบตายเพราะทัณฑ์เทียนจุน ถึงได้ฝ่าทะลุขอบเขตมาได้อย่างทุลักทุเล
เมื่อเสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลดังขึ้นที่ข้างหูของทุกคนอีกครั้ง ราชาผียักษ์ที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาก็แหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะดังลั่น
ราชวงศ์จักรพรรดิขุย มีเทียนจุนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว!