บทที่ 1230 สมบัติล้ำค่านาฬิกาทราย
กว่าจะสลัดหญิงชราผู้นั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกว่าไม่มั่นคงพอ จึงกัดฟันควบคุมพัดวิเศษให้บินทะยานออกไปอีกหลายเดือน
นั่นถึงทำให้เขาวางใจได้อย่างเต็มที่ พอหันไปเห็นวิญญาณวัตถุน้อยที่ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงข้างๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลำจมูกเก้อๆ
“คือว่า…เสี่ยวป๋าย เจ้าเองก็ไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ สามปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
วิญญาณวัตถุน้อยถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอารมณ์เสีย ใจอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เหนื่อยล้าเกินจะเอ่ยคำใด พอหลับตาลง ร่างของมันก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นว่าวิญญาณวัตถุน้อยหลับสนิทไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก เขารู้ดีว่าตัวเองผิดเต็มประตู หากไม่เป็นเพราะความโลภของตนก็คงไม่ถูกไล่ฆ่ามานานถึงสามปีเต็มเช่นนี้
แต่พอนึกถึงผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาเมื่อสามปีก่อน สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระปรี้กระเปร่า ดวงตาฉายประกายลุกเรือง ก้มหน้าลงมองวิญญาณในถุงเก็บของตัวเอง ที่มีจำนวนมากจนไม่อาจใช้ตัวเลขมาจำกัดความได้!
“คราวนี้รวยแล้วจริงๆ วิญญาณมีมากพอให้ข้าเอาไปหลอมไฟหลายสีได้แล้ว!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้และเห็นว่าไม่มีความเสี่ยงอีก จึงปล่อยให้พัดวิเศษล่องลอยไปด้วยตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นไปหาสถานที่แห่งหนึ่งปิดด่านแล้วเริ่มหลอมไฟ
สำหรับตำรับไฟยี่สิบห้าสี ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีวิญญาณให้ทดลอง ทว่าตอนนี้เมื่อมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงลงมือทันทีอย่างไม่มัวเสียเวลา
ล้มเหลวหนึ่งครั้งไม่เป็นไร ล้มเหลวสองครั้งก็ไม่เป็นไร ต่อให้ล้มเหลวสิบครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจป้ำมากพอที่จะไม่แยแส แล้วก็เพราะการหลอมไฟถี่ยิบติดต่อกันเช่นนี้ ถึงเป็นเหตุให้ทุกปัญหาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเผชิญมาในยามหลอมไฟยี่สิบห้าสีได้ถูกแก้ไขไปทีละเปลาะในเวลาสั้นๆ และในที่สุดเขาก็หลอมไฟยี่สิบห้าสีออกมาได้สำเร็จ
มองไฟยี่สิบห้าสีที่อยู่ในมือของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ โดยเฉพาะการที่วิญญาณในถุงเก็บของยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิม
เขาจึงถือโอกาสอนุมานไฟยี่สิบหกสีต่อไป ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ละเลยด้านการฝึกตน แล้วก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางกาลเวลาที่ล่วงเลย สามปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
สามปีมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มสร้างตำรับไฟยี่สิบหกสีขึ้นมาได้ทีละน้อย ท่ามกลางการคิดตำรับหลอมไฟและการฝึกตนนี้ ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพัฒนาไปอีกไม่น้อย ส่วนวิญญาณวัตถุน้อยนั้นก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อมีมันช่วยควบคุมพัดวิเศษ ความเร็วของพัดจึงเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามทดลองหลอมไฟยี่สิบหกสีนั้นเอง วันนี้พัดวิเศษที่เดิมทีบินทะยานไปอย่างมั่นคงอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาล จู่ๆ ก็สั่นสะเทือน วินาทีที่แรงสั่นสะเทือนนี้ส่งออกมา ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและวิญญาณวัตถุน้อยอึ้งตะลึงกันไปนั้นเอง ข้างหูพวกเขาก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!!” เสียงนี้เพิ่งจะปรากฏ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาทันใด
“แม่เฒ่าผี!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบแผ่อำนาจจิตออกไป แล้วก็เห็นทันทีว่าในห้วงจักรวาล ด้านหลังพัดวิเศษมีแม่เฒ่ากระดาษที่หายตัวไปหลายปีกำลังถือโคมไล่ฆ่ามาอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้บ้าเต็มที วิญญาณวัตถุน้อยเองก็สูดหายใจดังเฮือก ต่อให้เป็นมันก็ยังตกตะลึงไปกับความถือทิฐิดึงดันของแม่เฒ่าผีผู้นี้ เมื่อเห็นว่าหญิงชรากระดาษก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันแดงก่ำ ช่วยกันกับวิญญาณวัตถุน้อยควบคุมให้พัดวิเศษทะยานไปยังทิศไกล!
ตอนที่บินออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ยอมแพ้ เขาจึงถือโอกาสขว้างไฟยี่สิบหกสีที่หลอมได้เพียงครึ่งเดียวออกไป หมายจะดูว่ามันจะสามารถเผาไหม้แม่เฒ่ากระดาษผู้นี้ได้หรือไม่ แต่ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ ไฟกองนี้เพิ่งจะบินออกไปกลับถูกแม่เฒ่ากระดาษอ้าปากดูดสวบเข้าไปทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนชาไปทั้งหนังศีรษะ ไม่กล้าทดลองอีก ได้แต่รีบควบคุมให้พัดวิเศษห้อทะยานไปอีกครั้ง…
แล้วก็เป็นเช่นนี้ การไล่ล่ารอบใหม่จึงเกิดขึ้นในห้วงจักรวาลแห่งนี้อีกครั้ง
มองไปไกลๆ พัดวิเศษอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็มีหญิงชราร่างยักษ์ที่ทำมาจากกระดาษถือโคมไฟไล่ล่ามาไม่หยุด
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจดังเฮือก ได้แต่เผ่นหนีไป เขาไม่อยากหนีอยู่อย่างนี้ แต่สู้ก็สู้ไม่ได้ แม่เฒ่าผีนั่นแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด หลายปีที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยทดลองจะโต้กลับ ทว่าทุกครั้งก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างจนใจ
และการหนีครั้งนี้ เวลาก็ผ่านไปอีกสามปี…ส่วนความเร็วของแม่เฒ่ากระดาษก็ค่อยๆ ชะลอช้าลง สุดท้ายพอป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งระยะห่างออกไปได้อีกครั้ง เขาก็เริ่มคุ้นชินกับเสียงคำรามที่ส่งมาจากด้านหลังแล้ว
เพียงแต่ว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดใจอย่างมาก นั่นก็คือระหว่างที่เผ่นหนี เขาจำเป็นต้องคอยรักษาการบินทะยานของพัดวิเศษอยู่ตลอดเวลา จนไม่สามารถหลอมไฟได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสียเลย เพราะการที่ต้องเผาผลาญพลังตบะแทบตลอดเวลาของการเผ่นหนีเช่นนี้ได้ส่งผลให้ตบะของเขาพัฒนาไปอีกไม่น้อย
และเมื่อมาถึงเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีลางสังหรณ์ว่าแม่เฒ่าผีคนนี้คงตื๊อตามติดตนไปตลอด เกรงว่าครั้งหน้านางก็คงยังปรากฎตัวอีก เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ด้านหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนก็ควบคุมให้พัดวิเศษทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อทิ้งระยะห่างออกไปให้มากกว่าเดิม อีกด้านหนึ่งก็คอยเปลี่ยนทิศทางอยู่เป็นระยะ ขณะเดียวกันช่วงระยะเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จมจ่อมเข้าสู่การหลอมไฟอีกครั้ง
และก็เป็นเช่นนี้จนเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า อีกทั้งการไล่ล่าครั้งนี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจว่าไม่ว่าตนจะเพิ่มระดับความเร็วเช่นไร คิดหาวิธีสลัดแม่เฒ่าผีให้พ้นแบบไหน ทุกอย่างก็ล้วนไร้ประโยชน์
อีกฝ่ายจะใช้เวลาอย่างมากสุดสามปี ก็จะต้องมาปรากฏกายอยู่ด้านหลังตน แล้วเริ่มทำการไล่ล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกครั้ง แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะคุ้นชินแล้ว แต่ทุกครั้งก็จำต้องเพิ่มความเร็วสุดกำลังในการหนี โดยเฉพาะที่ความเร็วของแม่เฒ่าผีกลับเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ครั้ง ประหนึ่งแส้ที่ฟาดโบยใส่เขาไม่หยุด นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก และท่ามกลางการเผ่นหนีนี้เขาก็จำเป็นต้องฝึกตนอย่างบ้าคลั่งตามไปด้วย
ภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน ตอนนี้ตบะของเขาจึงเป็นเทียนจุนช่วงท้ายแล้ว ห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ส่วนช่วงเวลาที่อีกฝ่ายหายตัวไปก็คือช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้หลอมไฟ เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา และกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟยี่สิบหกสีได้สำเร็จ
หลังจากที่เอาไฟซึ่งหลอมสำเร็จนาบประทับลงไปยังรอยที่ป๋ายฮ่าวทิ้งไว้บนหลังมือของตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ริ้วคลื่นในการฟื้นตื่นของป๋ายฮ่าวเด่นชัดมากขึ้นทุกขณะ
เพียงแต่ว่าตำรับไฟยี่สิบเจ็ดสีกลับเป็นจุดติดขัดของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้ยังมีวิญญาณเหลืออีกบางส่วน ทว่าการอนุมานตำรับไฟยี่สิบเจ็ดสีกลับไม่ราบรื่นเสียที จนป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถสร้างตำรับขึ้นมาได้เฉกเช่นตำรับของไฟหลายสีก่อนหน้านี้ เหมือนมาเจอเข้ากับคอขวดที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นไม่เจอต้นสายปลายเหตุ
ด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้แต่ใช้เวลาหมดไปกับการวิเคราะห์และอนุมาน แล้วก็เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งผ่านไปอีกสิบปี และในวันนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิงยืนบังคับพัดวิเศษให้ทะยานไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่งอยู่ริมขอบของเล่มพัด ส่วนวิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างกันก็คอยช่วยเหลือทำให้พัดแล่นฉิวไปได้เร็วยิ่งกว่าเดิม
และด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงคำรามคลั่งแค้นของแม่เฒ่ากระดาษร่างยักษ์ดังแว่วมา พร้อมๆ กับที่อีกฝ่ายไล่กวดมาไม่เลิก เห็นได้ชัดว่าความเร็วของนางเริ่มช้าลงไปแล้ว โคมที่ถืออยู่ในมือนาง บางครั้งจะส่องแสงกะพริบพราวแล้วพ่นเปลวเพลิงเส้นหนึ่งออกมา เปลวเพลิงเส้นนั้นพุ่งผ่านที่ใดก็เหมือนจะทำให้ห้วงจักรวาลกลายมาเป็นกระดาษไปแถบหนึ่ง!
“ทำไมแม่เฒ่าผีคนนี้ถึงได้ปรากฏตัวถี่นัก ก่อนหน้านี้ไม่เป็นแบบนี้นี่นา”
ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวอย่างมาก เวลาที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ยังดีที่เมื่อยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ ความเร็วของแม่เฒ่ากระดาษก็คล้ายจะชะลอช้าลง ไม่นานจึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งระยะห่างออกไปอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพิ่งถอนหายใจโล่งอกขมวดคิ้วเป็นปม ในใจกลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย แต่วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างกัน กลับร้อนใจยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเสียอีก
“ต้องโทษเจ้านั่นแหละ ดันไปมีเรื่องกับคนน่ากลัวแบบนี้ได้ เจ้าอาจจะตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดไปได้คนเดียว แต่ข้าทำแบบนั้นไม่ได้”
วิญญาณวัตถุน้อยหน้าบูดบึ้ง พอสัมผัสได้ว่าการปรากฏตัวของแม่เฒ่ากระดาษถี่ขึ้นจากเดิม มันก็เครียดอย่างถึงที่สุด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ถอนหายใจ ไม่มีอารมณ์ไปปลอบใจเจ้าวิญญาณวัตถุน้อย ขณะที่ในสมองกำลังครุ่นคิดว่าควรจะจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไรดี จู่ๆ วิญญาณวัตถุน้อยก็ร้องเอ๊ะขึ้นมาเบาๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง นึกว่าแม่เฒ่าผีไล่กวดมาอีกครั้ง เขาผงะตกใจจนรีบแผ่อำนาจจิตออกไป และเตรียมจะควบคุมให้พัดวิเศษทะยานหนีไปไกล แต่ไม่นานหน้าเขาก็ต้องเปลี่ยนสี
ไม่ใช่แม่เฒ่าผีไล่ล่ามาอีกครั้ง แต่เป็นเพราะว่าในขอบเขตที่อำนาจจิตของเขากวาดออกไป ทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ห้วงจักรวาลที่โอบล้อมอยู่รอบด้านมีลักษณะแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เพราะมันยุบยวบลงไป!
ในห้วงจักรวาลนี้ไม่มีการแบ่งชั้นบนชั้นล่าง แล้วก็ไม่มีความต่างเรื่องด้านซ้ายด้านขวา ทว่าตอนนี้ขอบเขตกว้างใหญ่ของห้วงจักรวาลกลับเว้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกลายมาเป็นกรวยขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีน้ำวนลูกยักษ์กำลังหมุนวนอย่างเชื่องช้าอยู่ด้วย!
หากมีเพียงเท่านี้ก็อาจถือเป็นปรากฎการณ์ประหลาดในห้วงจักรวาลได้อยู่ ทว่าตรงก้นของห้วงจักรวาลที่ยุบเว้าลงไปนี้กลับมีโลกอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในโลกที่อยู่ด้านล่างนั้นกลับมีนาฬิกาทรายอยู่นับไม่ถ้วน!
นาฬิกาทรายเล็กๆ ใหญ่ๆ เหล่านั้นก็คือสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของโลกใบนี้ อีกทั้งนาฬิกาทรายพวกนี้ยังไม่มีร่องรอยของความเสียหาย พวกมันทั้งหมดต่างก็เคลื่อนหมุนวน เม็ดทรายในนั้นบ้างก็ไหลเร็ว บ้างก็ไหลช้า ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำเอาใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
“ที่นี่…คือที่ไหนกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะอ้าปากถาม วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างกันกลับเบิกตากว้าง นิ้วที่ชี้ไปยังโลกเบื้องล่างห้วงจักรวาลสั่นระริกอย่างที่ไม่อาจควบคุม สะอึกอึ้งอยู่นานกว่าจะร้องอุทานเสียงหลงออกมาได้
“ต้นกำเนิดแห่งเวลา สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีต้นกำเนิดแห่งเวลาอยู่!!”