Skip to content

A Will Eternal 1229

บทที่ 1229 แม่เฒ่ากระดาษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตกใจมากเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะว่าสถานการณ์ที่เขาพบเจอในครั้งนี้ สามารถพูดได้ว่ามีระดับวิกฤตเสี่ยงตายหนักหนารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในห้วงจักรวาลแห่งนี้!

ลำพังแค่คนกระดาษที่อยู่ในนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่

แม้จะรับมือได้ยากอยู่บ้าง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีความมั่นใจมากพอว่าจะกำราบพวกเขาได้ ต่อให้วิชาอภินิหารของเขาจะใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่ที่นี่ ทว่าการระเบิดของยารวมวิญญาณ กลับมากพอจะทำให้เขาไม่ตกอยู่ในสภาวะแพ้ราบคาบ

เพียงแต่การบังคับแปรสภาพที่พิลึกพิลั่นของที่แห่งนี้ กลับเป็นเหมือนกระบี่แหลมคมที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งหากยังมัวอืดอาดล่าช้า ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะถูกแปรสภาพให้กลายมาเป็นคนกระดาษไปด้วยอีกคน

เดิมทีเรื่องนี้ก็ร้ายแรงจนเขาร้อนใจมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีใบหน้าของหญิงชราบนท้องฟ้าและคนลึกลับที่ก่อนหน้านี้ผลักเขาลงมาอีก พอทั้งหมดทั้งมวลนี้มารวมเข้าด้วยกัน จึงกลายเป็นเหตุการณ์ชวนพิศวงที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนชาไปทั้งหนังหัว

ตอนนี้ความคิดเดียวของเขาที่มีอยู่ก็คือ ใช้ความเร็วที่มากที่สุดเผ่นหนีออกไปจากที่นี่!

ดังนั้นหลังจากที่ติดต่อไปหาพัดวิเศษได้อย่างยากลำบาก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเรียกแสงแห่งบุพกาลออกมารวดเดียวสิบเส้น เสียงกัมปนาทดังอึงคะนึงในบัดดล แสงสว่างบนพัดวิเศษที่ลอยอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลพลันเจิดจ้าพร่างพราว แสงแห่งบุพกาลสิบเส้นระเบิดออกมาพร้อมกัน แล้วแล่นฉิวเข้ามาถึงปากบ่อมายาที่กำลังจะสลายหายไปในเสี้ยววินาที

เสียงตูมตามดังสะท้อนอยู่ในโลกของปากบ่อ แสงแห่งบุพกาลสิบเส้นเท่ากับการลงมืออย่างเต็มกำลังสิบครั้งของบุพกาลผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง พลานุภาพของมันมากพอจะเขย่าคลอนห้วงจักรวาลและฉีกกระชากท้องฟ้าให้เกิดเป็นรอยปริแตกเล็กยาวได้เส้นหนึ่ง!

รอยปริแตกนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น คนกระดาษและวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในโลกของปากบ่อก็พากันแผดเสียงร้องโหยหวน ขณะเดียวกันรอยแตกนั่นก็ประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าอีกไม่นานก็จะผสานกลับไปเป็นปกติดังเดิมอีกครั้ง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น รีบคว้าโอกาสนี้ไว้โดยระเบิดตบะทั้งหมดลงไปกับด้านของความเร็ว ทั้งยังโยนยารวมวิญญาณออกไปกำใหญ่เพื่อตัดอุปสรรคจากคนกระดาษและดวงวิญญาณที่พยายามเข้ามาขัดขวาง ไม่มีเวลามามัวเก็บเอากลุ่มแสงวิญญาณที่เกิดจากยารวมวิญญาณอีกไปต่อ เพียงรีบกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งแล้วทะยานไปยังรอยปริแตกนั้น

และในที่สุดเมื่ออยู่ภายใต้ความเร็วสุดขีดของเขา โดยเฉพาะเมื่อรอยแตกปรากฏ ปราณของห้วงจักรวาลแทรกซึมเข้ามา เป็นเหตุให้อำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มใช้การได้บ้างเล็กน้อย เขาจึงร่ายทั้งผนึกมิวางวาย ทั้งชนาเขย่าภูเขา ความเร็วจึงเหมือนดาวตกที่พุ่งฉิวออกไปนอกรอยแตกที่กำลังจะปิดสนิทเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด!!

ตอนที่กระโจนพรวดออกมาได้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นกระดาษถึงสามส่วนแล้ว แต่ยังดีที่เมื่อเข้ามาอยู่ในห้วงจักรวาล พอบทมิวางวายระเบิดพลัง จึงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างกายของเขากำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจได้คล่องคอ ด้านหลังของเขาก็มีเสียงกระแอมแรงๆ ดังมาเป็นชุด และตามหลังเสียงกระแอมก็คือเสียงคำรามอื้ออึง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนขนลุกพรึ่บไปทั้งร่าง เสียงกระแอมนี้ทำให้เขาหวนนึกไปถึงเจ้าของมือที่ผลักตนเข้าไปในโลกปากบ่อทันที เขาจึงเผ่นโผนหนีไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง เมื่อแผ่อำนาจจิตออกไปก็มองเห็นทันทีว่า เบื้องหลังตัวเองมีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากความว่างเปล่า มือใหญ่ข้างนี้เหี่ยวแห้งดั่งมือของคนตาย ซึ่งเอื้อมตรงมาหมายคว้าป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง หัวใจเต้นกระหน่ำโลดแรง ความรู้สึกที่มือใหญ่ข้างนั้นมอบให้เขา แม้จะไม่ใช่มือของผู้บงการ แต่ก็อยู่ในระดับของบุพกาล ซ้ำยังอาจเป็นบุพกาลขั้นสูงสุดด้วย

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว รีบควบคุมแสงแห่งบุพกาลอีกห้าเส้นที่เหลือ ให้ตรงดิ่งเข้าจัดการกับมือใหญ่ที่เอื้อมมาคว้าอยู่ด้านหลังตน

เสียงกัมปนาทดังเกริกก้องขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อถูกแสงแห่งบุพกาลโจมตี มือใหญ่ข้างนั้นที่ต่อให้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังหยุดชะงักอย่างห้ามไม่ได้ และวินาทีที่มันหยุดลงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาศัยแรงผลักที่แผ่ออกมาจากการโจมตีของแสงแห่งบุพกาลด้านหลังผลักร่างตัวเองให้พุ่งพรวดไปข้างหน้าช่วงใหญ่

ขณะเดียวกันวิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่บนพัดวิเศษก็รู้อะไรควรไม่ควร มันจึงรีบควบคุมพัดวิเศษให้บินมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน ภายใต้ความเร็วสูงสุดของทั้งสองฝ่าย ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหยียบลงไปบนพัดวิเศษได้สำเร็จ

ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบลงไปบนพัดวิเศษนั้นเอง มือใหญ่ที่ยื่นออกมาจากความว่างเปล่าซึ่งพอถูกแสงแห่งบุพกาลห้าเส้นขัดขวางไว้กลับยื่นออกมาหาพัดวิเศษอีกครั้ง คราวนี้ท่าทางดุดันอำมหิตยิ่งกว่า

วิญญาณวัตถุน้อยกรีดร้องเสียงแหลม คิดจะควบคุมพัดวิเศษให้หลบเลี่ยง แต่ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว วิกฤตคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แม้ใบหน้าขาวเผือด แต่ดวงตากลับฉายความบ้าคลั่ง เขาที่ร้องคำรามควบคุมพัดวิเศษเต็มกำลัง ไม่เพียงไม่ถอย แต่ยังรุกเข้าหา จึงชนโครมเข้ากับมือใหญ่ที่ทะยานมาอย่างแรง!

เสียงตูมตามดังสนั่นไปทั่วแปดทิศของห้วงจักรวาล เมื่อถูกพุ่งชน มือใหญ่จึงเด้งกระเด็นออกไป ทว่าตัวพัดวิเศษเองก็ได้รับแรงสะท้อนกลับ จึงเกิดการสั่นสะเทือนแล้วม้วนตลบออกไปไกลนับพันจั้ง

หากเพียงแค่เท่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะพอฝืนควบคุมให้พัดวิเศษหนีไปได้ ทว่าเวลานี้ในความว่างเปล่ากลับมีมือยักษ์แห้งเหี่ยวมือที่สองยื่นออกมา แล้วตรงเข้าคว้าพัดวิเศษอีกครั้ง

“สู้ตายแล้วโว้ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำราม ตอนนี้เขาไม่มีเวลามามัวหวาดกลัวหรือพรั่นพรึงอะไรอีกแล้ว ในสมองของเขามีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น เขารู้ดีว่าหากครั้งนี้ไม่ทุ่มสุดชีวิต เกรงว่าวิกฤตครั้งนี้คงใหญ่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้

ภายใต้ความบ้าระห่ำของป๋ายเสี่ยวฉุน แสงของพัดวิเศษจึงระเบิดพร่างพราว แขนของผู้บงการถูกป๋ายเสี่ยวฉุนและวิญญาณวัตถุน้อยช่วยกันเรียกให้ยื่นออกไปจากหน้าพัดอีกครั้ง รวมถึงทาสบุพกาลท่านนั้นที่เดินออกมาหนึ่งก้าวแล้วผสานรวมเป็นหนึ่งกับแขนของผู้บงการ ครั้นแล้วจึงตรงเข้าจู่โจมมือใหญ่นอกพัดวิเศษที่พุ่งมาหาพวกเขาอย่างมาดร้าย!

เมื่อแขนของผู้บงการเผยตัว ห้วงจักรวาลพลันสั่นสะเทือน มือใหญ่ที่ตรงเข้ามาคว้าก็ชะงักกึก เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นมันก็ยังคาดไม่ถึงว่าในพัดวิเศษเล่มนี้จะมีแขนผู้บงการอยู่ข้างหนึ่ง คิดจะถอยหนีก็ไม่ทันแล้ว จึงพุ่งปะทะกันอย่างจัง

เสียงครืนครั่นดังเอ็ดอึงไปทั่ว มือเหี่ยวข้างนั้นพังทลายลงเป็นครั้งแรก ทว่าแม้มือของผู้บงการจะไร้ความเสียหาย แต่ทาสบุพกาลที่อยู่ด้านในกลับกระอักเลือดอย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ย ถอยกรูดกลับเข้ามาในหน้าพัด ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นในเวลาที่สั้นมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น รีบเข้าควบคุมซากพัดหมายจะเผ่นหนีไป

“สมควรตายนัก ต้องโทษเจ้าคนเดียวเลย ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วว่าให้ถอย แต่เจ้ากลับโลภมากอยู่ได้!”

วิญญาณวัตถุน้อยที่กรีดเสียงร้องก็ออกแรงเต็มกำลังเช่นกัน เพียงแต่ว่าวิกฤตครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด ในขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและวิญญาณวัตถุน้อยช่วยกันควบคุมให้พัดวิเศษแล่นหนีไป กลับมีเสียงคำรามเดือดดาลดังออกมาจากในปากบ่อแห่งนั้น!

และตามมาติดๆ ด้วยภาพเหตุการณ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากจะเชื่อ เพราะบ่อนั้นพลันขยายใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง ก่อนที่มันจะบิดเบือนแล้วค่อยๆ …กลายมาเป็นโคมมหึมาดวงหนึ่ง!

ปากบ่อที่เขาเห็นก็คือส่วนเหนือสุดของโคมดวงนี้ และวินาทีที่โคมดวงนี้เผยตัว ริ้วคลื่นก็ซัดกระเพื่อมไปทั่วห้วงอวกาศ แล้วจึงเห็นว่ามีหญิงชราคนหนึ่งที่ร่างทำมาจากกระดาษซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่าโคมดวงนี้มากนัก เป็นดั่งยักษ์ในห้วงจักรวาลได้…เดินออกมาหนึ่งก้าว!

หญิงชราคนนี้สวมชุดโซ่วอี (ชุดที่สวมให้กับคนตาย คนที่แก่มากๆ มักจะเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่) ไม่ว่าจะเป็นเรือนกายหรือชุดที่สวมใส่ก็ล้วนทำมาจากกระดาษทั้งสิ้น และพอปรากฏตัว ดวงตาของนางก็ฉายประกายดุร้ายเด่นชัด ปากก็ร้องคำรามเสียงดังอื้ออึง

“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!” ราวกับเสียงคำรามที่แผดออกมาพร้อมกันจากปากของคนนับไม่ถ้วน เสียงนี้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้วงจักรวาล ขณะเดียวกันหญิงชราก็เริ่มก้าวขาเดินไล่กวดป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนพัดวิเศษมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจแทบฉี่ราด ลูกตาของเขาถลึงโปน ในสมองมีแต่เสียงดังอึงอล ใกล้จะร้องไห้เต็มที

“สวรรค์ ข้าก็แค่อยากจะเก็บวิญญาณมานิดหน่อยเท่านั้น เหตุใดถึงกลายเป็นว่าไปมีเรื่องกับตัวประหลาดเฒ่านี่ได้!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หวีดร้องรีบควบคุมให้พัดวิเศษถอยหนี วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างกันซึ่งแผดร้องเสียงแหลมดังยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมีขมันช่วยออกแรงสุดความสามารถ

“แม้ว่าตัวประหลาดเฒ่านี่จะไม่ใช่ผู้บงการ แต่ก็อยู่ห่างไม่มากสักเท่าไหร่แล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนทั้งใจลามไปยันตับไตไส้พุง กลอกตาไปมา ใคร่ครวญว่าควรจะกลับไปที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลตอนนี้เลยดีหรือไม่

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโลกกระดาษ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยทดลองมาก่อนแล้ว ทว่ากลับล้มเหลว แต่ตอนนี้มาอยู่ในพัดวิเศษแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ เพียงแต่ว่าเมื่อตนจากไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพัดวิเศษ รวมไปถึงซ่งเชวียและวิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่บนพัดก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย และการทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดหนทางในอนาคตของตัวเองไปด้วย นี่เป็นเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจยอมได้

เขาจึงกัดฟันกรอด ตัดสินใจแล้วว่าขอแค่ไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด ยังดีที่ความเร็วของพัดวิเศษมีสูงมาก ซ้ำตัวมันเองยังเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งห้วงจักรวาลจึงห้อตะบึงไปยังทิศไกลได้อย่างไม่มีสะดุด ส่วนหญิงชราที่แม้จะมีความเร็วสูงเหมือนกัน แต่นางที่ไล่กวดตามมาด้านหลังกลับไม่เคยตามมาทันเสียที

เพียงแต่เสียงคำรามของนางกลับยังดังแว่วมาไม่หยุด ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำเป็นต้องทุ่มพลังทั้งหมดที่มี หากชะล่าใจแม้เพียงเล็กน้อยจนทำให้ความเร็วของพัดวิเศษลดลง สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือการสังหารจากหญิงชราผู้นั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าตาบึ้งตึงก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน เขากับวิญญาณวัตถุน้อยจึงช่วยกันควบคุมให้พัดทะยานไปด้านหน้าไม่หยุดพัก ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ทว่าดูเหมือนหญิงชราที่ไล่กวดพวกเขามาจะถือคติมีแค้นต้องชำระ จนถึงตอนนี้ก็ยังไล่ล่ามาไม่เลิก

ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม โดยที่ไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปแล้วถึงสามปี!

ในสามปีมานี้ วิญญาณวัตถุน้อยจากแรกเริ่มที่บ่นพึมพำไม่หยุด มาวันนี้เสียงบ่นกลับเริ่มกลายมาเป็นเสียงถอนหายใจ

มาถึงท้ายที่สุด แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังหวาดกลัว แต่ก็เหมือนจะคุ้นชินไม่น้อย ทว่าความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจทำให้เขาเกือบจะยืนหยัดไม่ไหวอยู่หลายครั้ง เขาในเวลานี้จึงผมเผ้ายุ่งเหยิง ใต้ตาดำคล้ำ เส้นเลือดฝอยในดวงตาเกือบจะกลายมาเป็นสีม่วงแล้ว

ยังดีที่เมื่อไล่ล่ามานานถึงสามปี เรี่ยวแรงของหญิงชราผู้นี้ก็เหมือนจะผ่อนลงแล้วเหมือนกัน ความเร็วของนางจึงเริ่มช้าลงเป็นลำดับ ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจมาก รีบกินยาบำรุงกำลังอย่างบ้าคลั่ง ฉวยโอกาสเพิ่มความเร็วอีกครั้ง ในที่สุดก็ทิ้งระยะห่างมาไกล และหลังจากที่ห้อตะบึงไปอย่างไม่หยุดพักอีกสองสามเดือน เขาก็มองไม่เห็นร่างของหญิงชราอีกต่อไป

“ขี้งกเกินไปแล้ว ข้าก็แค่เอาวิญญาณมานิดหน่อยเท่านั้น แค่นี้ก็ต้องไล่ฆ่าข้ามาตั้งสามปี!”

พอนึกถึงความลำบากน่ารันทดตลอดสามปีที่ผ่านมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึดอัดคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version