บทที่ 1240 หุบเขาควันดำ
กลางห้วงจักรวาล ในซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียน ข้างหัวกะโหลกผู้บงการ ภายใต้การจับตามองอย่างใกล้ชิดของวิญญาณวัตถุน้อย ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นสะท้าน หลังจากลืมตาขึ้นทีละนิด ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เอ่อท้นจนเขาหมดเรี่ยวหมดแรง มุมปากมีเลือดสดไหลซึมลงมา ก่อนจะถูกพลานุภาพสยบจากหัวกะโหลกผู้บงการผลักให้กระเด็นถอยกลับไป
ทว่าวินาทีที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกระเด็นถอยไปนั้นเอง โชคชะตาในหัวกะโหลกผู้บงการที่เดิมทีลิงโลดขึ้นมาแล้ว บัดนี้กลับมีถึงเกือบสามส่วนที่พุ่งออกมาจากหัวกะโหลกผู้บงการ ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
ทันใดนั้นโชคชะตาเกือบสามส่วนก็ผสานเข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านเล็กน้อย กลับเข้ามาถึงพัดวิเศษในที่สุด ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของวิญญาณวัตถุน้อย ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นเต้นสุดประมาณ ความเหนื่อยล้าของเขายังคงอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อโชคชะตาสามส่วนนั้นผสานรวมเข้ามาในร่าง เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังตบะในร่างของเขาตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่า เกิดการขานรับบางอย่างต่อซากปรักหักพังในโลกแห่งเซียนนี้แล้ว!!
ท่ามกลางการขานรับนี้ หัวสมองของเขามีเพียงเสียงดังอึงอล ราวกับว่าตบะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าตะลึง ไม่สามารถอธิบายได้อย่างแน่ชัด แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมั่นใจอย่างมากว่า… หากยังผสานรวมโชคชะตาแบบนี้อีกสักสองสามครั้งจนตบะของตนไต่ทะยานสู่จุดสูงสุด และเกิดการขานรับกับโลกแห่งเซียนทั้งใบนี้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่ ตบะของเขาต้องมีการฝ่าทะลุขั้นอย่างแน่นอน!!
“เมื่อครู่นี้เจ้ามองเห็นอะไร?”
วิญญาณวัตถุน้อยเบิกตาโต เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ข้ามองเห็น…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายประกายประหลาดคล้ายกำลังหวนนึกถึงประสบการณ์เมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตนที่กลายไปเป็นโจวเฉินเหมือนจะลืมตัวตนป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ไป ราวกับว่าได้กลายเป็นโจวเฉินจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
หรือจะพูดอย่างชัดเจนก็คือ ทุกประโยค ทุกความคิดเหมือนจะเป็นสิ่งที่เขาอยากพูดและสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาได้ ทว่าตอนนี้พอหวนนึกขึ้นมาอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่า… นั่นคือการย้อนทวนเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นแล้วซ้ำอีกครั้ง!
“ผู้บงการเซียนจุน ชื่อว่า…โจวเฉิน?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนผินหน้าไปมองวิญญาณวัตถุน้อย
พอได้ยินชื่อนี้ วิญญาณวัตถุน้อยก็ตัวสั่นเทิ้ม มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาอึ้งงัน พึมพำแผ่วเบา
“เจ้าทำสำเร็จจริงๆ หรือนี่…”
มันไม่ตกตะลึงไม่ได้เลย ต่อให้ก่อนหน้านี้สิ่งที่มันพูดไว้จะเป็นความจริง แล้วมันก็หวังให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ครอบครองโชคชะตาเสี้ยวนั้นจริงๆ แต่มันเองก็เข้าใจดีว่า การที่จะครอบครองโชคชะตาเสี้ยวนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและลำบากมากกว่าสิ่งที่ตนพูดไว้มากนัก ขณะเดียวกันมันก็ได้เห็นพฤติการณ์สุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจลึกๆ จึงเริ่มลังเลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำสำเร็จหรือไม่
และมันก็นึกไม่ถึงเลยว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำได้สำเร็จจริงๆ!
“ข้าได้เห็น… ชีวิตวัยเด็กของผู้บงการเซียนจุน…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบช้า ครั้นแล้วจึงหลับตาลงทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่ได้เห็นอย่างละเอียด ไม่นานหัวคิ้วของเขาก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบว่าตัวเองได้รับอิทธิพลเข้าให้แล้ว เพราะตอนที่เขาหวนนึกถึงพี่ชายของผู้บงการ อารมณ์ของเขากลับเกิดความรักและอาลัยอาวรณ์อย่างที่ไม่อาจควบคุมได้
“หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป อิทธิพลทางอารมณ์ที่ข้าได้รับ เกรงว่าคงยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อเทียบกับเรื่องพวกนี้ การได้รับโชคชะตาเสี้ยวนั้นมา และตบะฝ่าทะลุได้ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!”
หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้สึกว่ายังมีปัญหาบางอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เสียเลย ดังนั้นหลังจากพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง เขาที่สายตามีประกายแห่งความรอคอย ก็ทะยานตรงเข้าหาหัวกะโหลกของผู้บงการอีกครั้ง คราวนี้เขาคุ้นเคยดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีโชคชะตาเกือบสามส่วนผสานเข้ามาในกาย จึงทำให้เขาขยับเข้าไปเบื้องหน้าหัวกะโหลกได้ราบรื่นยิ่งกว่าเดิม ครั้นแล้วก็ยกมือขวาขึ้น พอวางมือลง คัมภีร์แห่งอนาคตกาลและคัมภีร์แห่งอดีตกาลก็เคลื่อนโคจรทันที
เสียงอึงอลดังสะเทือนเลือนลั่นในสมอง ความรู้สึกก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่หัวสมองทั้งหมดว่างเปล่าล่องลอยผ่านไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านเยือก ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา
แสงแดดจ้าบาดตาสะท้อนเข้ามาในคลองจักษุ แต่กลับไม่ได้ทำให้ม่านตาทั้งคู่ของเขาหดตัวลงแม้แต่น้อย เรือนกายสูงเพรียวยืดตระหง่าน บวกกับใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่นอกหุบเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยควันดำเปี่ยมไปด้วยความองอาจมากคุณธรรม!
เพียงแต่เมื่อคืนสติ ความเจ็บปวดกลับกัดกินหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุด
ไม่เหมือนกับเด็กชายก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เข้ามาในความทรงจำของผู้บงการเวลานี้ โจวเฉินเติบโตจนถึงวัยกลางคนแล้ว ระหว่างนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย แล้วก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่ปีแล้ว
ทว่าบัดนี้ ผู้ที่ยืนอยู่นอกหุบเขาซึ่งอบอวลไปด้วยควันดำไม่ได้มีแค่โจวเฉินคนเดียว รอบกายเขามีคนอยู่หลายร้อยคน ทุกคนล้วนเป็นนักพรต อีกทั้งด้านหลังของพวกเขายังมีนักพรตอีกหลายพันคน ยืนล้อมวงเอาไว้เหมือนจะปิดตายสถานที่แห่งนี้!
และขยับไปข้างนอกอีกก็ยังมีนักพรตอีกหลายหมื่นคนที่โอบล้อมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้เป็นชั้นๆ เป็นเหตุให้สถานที่แห่งนี้เหมือนถูกสยบกำราบ ซึ่งบัดนี้สายตาของคนหลายหมื่นคนล้วนไปรวมกันอยู่ที่…
นักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าโจวเฉิน หันหลังให้กับหุบเขาควันดำ มุมปากของเขามีเลือดสดซึมออกมา เขาสวมชุดคลุมสีดำและเส้นผมก็เป็นสีนิลดำสนิท!
คนผู้นี้ก็หน้าตาหล่อเหลาเช่นกัน แต่กลับมีปราณแห่งความชั่วร้ายอบอวลไปทั่วร่าง โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ที่เป็นสีม่วง สีหน้ากระด้างเย็นชา กลิ่นอายของความเหี้ยมอำมหิตบนร่างของเขาน่าพรั่นพรึงสะท้านฟ้าดิน ขนาดมีคนหลายหมื่นคนโอบล้อมเอาไว้ ก็ยังเหมือนจะไม่สามารถต้านทานกลิ่นอายความเหี้ยมเกรียมของเขาได้!
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัส หน้าอกยุบยวบลงไป โดยเฉพาะขาข้างขวาที่ดูเหมือนว่ากระดูกจะหักไปแล้ว แต่เขากลับเหมือนไม่รู้จักความเจ็บปวด ยังคงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น จุดที่สายตาของเขาจ้องมองมา … ไม่ใช่คนหลายหมื่นที่อยู่รอบกาย แต่มองไปที่คนคนเดียวเท่านั้น!
คนคนนี้ ก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ โจวเฉิน!
“พี่… กลับไปกับข้าเถอะ ข้าจะรับรองให้ท่านเองว่า ทุกอย่างที่ท่านทำลงไป ล้วนเป็นเพราะความจำเป็นบีบบังคับ ข้า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ็บปวดในหัวใจ เขาเอ่ยด้วยความขมขื่น น้ำเสียงนั้นมีความวิงวอนที่แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัวแฝงอยู่
เขาเจ็บปวด เขารู้สึกผิด ในความทรงจำของเขา หลังจากที่ปีนั้นตนตื่นขึ้นมาก็ขอร้องให้อาจารย์ไปตามหาพี่ชายของตัวเองทันที ทว่ากลับไม่เจออะไรสักอย่าง จากนั้นเขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้ เขาจึงฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายคลื่นตั๊กแตนขาวที่อบอวลอยู่เต็มสามชั้นฟ้าล่างของโลกแห่งเซียนก็ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก และเมื่อฟ้าดินกลับคืนมาเป็นปกติ โจวเฉินเองก็โล่งใจขึ้นได้ เพียงแต่ว่าในใจเขากลับไม่เคยลืมเลือนเงาร่างของพี่ชายไปได้เลย
จนกระทั่งผ่านไปได้หลายปี เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าโลกแห่งเซียนใบนี้มีทั้งหมดเก้าชั้นฟ้า และชั้นที่ตัวเองอยู่เป็นเพียงแค่สามชั้นฟ้าล่างเท่านั้น และขณะที่เขาได้กลายมาเป็น สุดยอดของสุดยอดแห่งนักพรตมากมายที่อยู่ในสามชั้นฟ้าล่างของโลกแห่งเซียน ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ พี่ชายของเขาก็ได้ปรากฏตัว เขามาพร้อมกับตั๊กแตนสีดำที่น่ากลัวยิ่งกว่าตั๊กแตนสีขาวในปีนั้นหลายเท่านัก ตั๊กแตนพวกนั้นบินว่อนอบอวลเต็มสามชั้นฟ้าล่าง ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกคลื่นตั๊กแตนกลืนกิน ก็ล้วนต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตบะพี่ชายเขา
วิชาชั่วร้ายที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้นำพาความพรั่นพรึงมาสู่นักพรตทุกคนในสามชั้นฟ้าล่าง นั่นจึงกลายมาเป็นการล้อมโจมตีที่กินระยะเวลายาวนาน ซึ่งเต็มไปด้วย…ความยากลำบาก ความอันตราย จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะถึงเวลาสิ้นสุดลงแล้ว
“ต่อให้ต้องสละความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่สามชั้นฟ้ากลาง ข้าก็จะต้องปกป้องท่านให้ได้… พี่… กลับไปกับข้าเถอะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของชายวัยกลางคนชุดดำเต็มไปด้วยความซับซ้อน เนิ่นนานกว่าเขาจะส่ายหน้า
“เสี่ยวเฉิน… นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าและข้า… ไม่เหลือความเป็นพี่น้องกันอีก!”
พูดประโยคนี้จบ ดวงตาของนักพรตชุดดำก็เปลี่ยนมาเป็นเยียบเย็น เขามองเหล่านักพรตที่อยู่รอบด้านด้วยสายตาเย็นชา มุมปากยกยิ้มเย้ยหยัน ครั้นจึงหมุนตัวกลับ แล้วเดินเข้าไปในหุบเขาควันดำที่อยู่ด้านหลังทีละก้าว
คนหลายหมื่นคนโอบล้อมอยู่รอบด้าน แต่กลับไม่มีใครขัดขวางเขา ราวกับว่าในสายตาของพวกเขา การที่จะเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ ก็เป็นตัวแทนถึงความตายและความพินาศอยู่แล้ว!
ราวกับจะพิสูจน์การวิเคราะห์ของทุกคน เพราะหลังจากที่ชายวัยกลางคนชุดดำเดินเข้าไปในหุบเขาควันดำ ภายใต้การกัดกินจากหมอกควัน ร่างของเขาที่สั่นสะท้านได้เน่าเปื่อยลงอย่างรวดเร็ว ซ้ำบางจุดบนร่างยังค่อยๆ มีกระดูกขาวโผล่ออกมา… และท่ามกลางการเน่าเปื่อยนี้ก็มีตั๊กแตนสีดำจำนวนมากแผดเสียงร้องโหยหวน พลางบินออกมาจากในร่างของเขาไม่หยุด ทว่ายังไม่ทันบินหนีไปไกลก็ถูกควันดำลบเลือนทิ้งเสียก่อน…
ภายใต้การเดินหน้าอย่างต่อเนื่องของเขา ทุกคนต่างก็ระบายลมหายใจโล่งอก มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวที่ร้าวรานใจอย่างถึงที่สุด เมื่อเห็นคาตาตัวเองว่า พี่ชายของตนกำลังเดินจากไปไกลพร้อมกับร่างที่ถูกกัดกร่อนไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้าวพรวดออกมา แล้วตะโกนเสียงดังเข้าไปในหุบเขาที่อบอวลไปด้วยหมอกควัน
“ท่านพี่ ท่านทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน บอกข้ามาเถอะ ว่าเพื่ออะไร!!”
เมื่อน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยแรงอารมณ์ดังเข้าไปในหุบเขา นักพรตชุดดำที่กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบากชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ปากทั้งคู่เผยอขึ้นคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดคำใดออกมา เพียงก้มหน้าลง ปล่อยให้การกัดกินดำเนินต่อไป ตอนนี้ใบหน้าของเขาเห็นกระดูกโผล่ออกมาแล้ว สภาพจึงน่าสยดสยองอย่างถึงที่สุด มีเพียงดวงตาทั้งคู่เท่านั้นที่คล้ายจะซุกซ่อนไฟแห่งความบ้าคลั่ง เปี่ยมไปด้วยทิฐิดึงดัน เดินลึกเข้าไปในหุบเขาหมอกควัน… ทีละก้าว… ทีละก้าว!
ระหว่างนั้นยังพอจะมองเห็นได้ว่า ปลายทางของหุบเขาควันดำ คล้ายจะมีวัตถุขนาดมหึมาอยู่ชิ้นหนึ่ง… ซึ่งเห็นได้อย่างเลือนรางว่านั่นคือ…เรือรบลำหนึ่ง!