บทที่ 1245 เรือและโครงกระดูก
วิญญาณวัตถุน้อยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ลมหายใจหอบกระชั้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมา มันก็มีความรู้สึกว่าบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ปราณที่มันคุ้นเคย จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนขั้นเป็นบุพกาลได้สำเร็จ ระดับความเข้มข้นรุนแรงของปราณนี้ก็ยิ่งทำให้วิญญาณวัตถุน้อยรู้สึกเลื่อนลอย
ถึงขั้นที่เกิดความรักอาลัยและเคารพเลื่อมใสต่อป๋ายเสี่ยวฉุนแบบเดียวกับที่มีต่อเจ้านายคนก่อนโดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของตัวเองและฝืนจะเปลี่ยนแปลงมัน ความรู้สึกที่ว่านี้ถึงได้หายไปจากใจของวิญญาณวัตถุน้อยช้าๆ
เดิมทีมันนึกว่าเป็นความเข้าใจผิดของตัวเอง เพราะความแตกต่างทางตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงทำให้มันเกิดการวิเคราะห์ที่ลวงตาตัวเอง ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อมันมองเห็นแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่นอกหุบเขาควันดำ จิตวิญญาณของวิญญาณวัตถุน้อยกลับเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง
มันรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเข้าใจผิดแน่นอน แม้ว่าแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าจะไม่เหมือนกับของเต้าเฉินเซียนจุน ทว่าปราณที่แผ่จากร่างของอีกฝ่าย รวมถึงพลังอำนาจที่ระเบิดออกมาซึ่งคล้ายจะทำให้ท้องฟ้าและห้วงจักรวาลสะเทือนไหว ทั้งหมดทั้งมวลนี้…สำหรับในความทรงจำของมันแล้ว มีเพียงนายท่านในอดีต ผู้บงการเต้าเฉินเท่านั้นที่…ถึงจะมีได้!!
เสียงของมันสั่นเครือ บัดนี้ทุกอย่างในโลกของวิญญาณวัตถุน้อยเหมือนจะจางหายไป ตลอดทั้งห้วงจักรวาล ตลอดทั้งฟ้าดิน มีเพียงเงาร่างที่หยัดยืนประหนึ่งขุนเขาอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น!
และซากปรักหักพังของทั้งโลกแห่งเซียนก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายใต้แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็ราวกับมีจิตสำนึกบางอย่างที่ตายไปนานแล้วกำลังหวนคืนมาจากกาลเวลาอันห่างไกล และวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายไปก็กำลังเดินออกมาจากชีวิตในอดีต เมื่อเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง เมื่อการคุกเข่ากราบไหว้ไร้เสียงบังเกิดขึ้นก็ราวกับว่าพวกเขาได้พบเจอกับ…เซียนจุนของตนอีกครั้ง!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เบื้องหน้าเขาคือหุบเขาที่แผ่อบอวลไปด้วยควันสีดำ เนิ่นนานต่อมาเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า วินาทีที่ใบหน้าของเขาเงยขึ้นมาก็ราวกับว่าร่างของเขาขยายสูงใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุด ปราณของความเผด็จการและบารมีอำนาจที่สูงล้นพ้นจนทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้วงเอกภพสั่นคลอนก็ยิ่งระเบิดอย่างเกรียงไกรอยู่บนร่างของเขา!!
พายุหมุนก่อตัวขึ้นรอบกายของเขาแล้วซัดครืนครั่นออกไปสี่ทิศ
ครั้นแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนจึงค่อยๆ หันหน้ากลับมามองวิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่บนพัดวิเศษ ทั้งๆ ที่ยังเป็นหน้าตาของป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าบัดนี้ต่อให้เป็นคนเคยพบเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ไม่กี่ครั้งก็ยังรู้ได้ทันทีว่า…คนที่อยู่ตรงหน้านี้ คล้ายจะไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกต่อไปแล้ว!
แววลึกล้ำในดวงตาของเขาแฝงไว้ด้วยความโชกโชนหลังผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานซึ่งไม่มีอยู่ในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน และจุดลึกของความโชกโชนแห่งกาลเวลานี้ก็ซุกซ่อนความเจ็บปวดเสียใจที่ไม่มีอยู่ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน
อีกทั้งปณิธานแห่งผู้บงการผู้ทรงพลังแข็งแกร่งไม่เป็นรองใครในห้วงจักรวาลซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขาก็มากพอจะทำให้ทุกคนที่ได้เห็นยอมคุกเข่าก้มหัวให้อย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“เสี่ยวชือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเสียงแผ่ว
เพียงประโยคเดียว เพียงคำสองคำก็ทำให้วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่บนพัดวิเศษร้องไห้โฮ มันกระโจนเข้ามาอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วคุกเข่าคำนับในทันที
“นายท่าน!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองวิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ มองน้ำตาของอีกฝ่าย มองท่าทางดีใจของอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน เขาก็พลันคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนี้แฝงไว้ด้วยความปลงอนิจจัง แฝงไว้ด้วยการย้อนทวนความทรงจำ และยิ่งแฝงไว้ด้วยกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าเขาไม่ได้พบเจอกับทุกอย่างบนโลกนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว
“เสี่ยวชือ ไม่ต้องร้องนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเบาๆ พลางยกมือขวาขึ้นลูบศีรษะของวิญญาณวัตถุน้อยอย่างปราณี ประหนึ่งผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากำลังปลอบใจผู้น้อย ความรู้สึกที่ไม่ได้พบเจอมานานเช่นนี้ทำให้น้ำตาของเสี่ยวชือยิ่งไหลพราก ความโหยหาในดวงตายิ่งรุนแรง มันยังถึงขั้นกอดขาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้แน่น เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือ นายท่านที่อยู่ตรงหน้าจะหายไป
“เจ้าทำได้ดีมาก แล้วก็เก่งมากที่หาผู้สืบทอดที่ไม่เลวมาให้แก่ข้า…” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงราบเรียบแผ่วเบา เพียงแต่หากฟังอย่างตั้งใจจะสัมผัสได้ว่าในน้ำเสียงที่แผ่วเบานี้แฝงเร้นไว้ด้วยกาลเวลาและความชราเอาไว้ มากพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่ตั้งใจรับฟังศีรษะขาวโพลนได้โดยไม่รู้ตัว
“เดิมทีข้าจางหายไปจากโลกใบนี้แล้ว แต่ที่มาปรากฏตัววันนี้ได้ก็เพียงแค่เพราะความยึดมั่นที่อยู่ในความทรงจำช่วงหนึ่งเท่านั้น…ข้ามิอาจดำรงอยู่ได้นาน อันที่จริงหากไม่ได้เห็นหุบเขาควันดำแห่งนี้ บางทีอีกหลายปีให้หลัง ความยึดมั่นนี้ของข้าก็จะค่อยๆ สลายหายไปเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองหุบเขาควันดำด้านหลังตัวเอง ดวงตาที่แฝงไว้ด้วยประสบการณ์ของคนผ่านโลกมาอย่างโชกโชนค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความดึงดันอันแรงกล้า
“เสี่ยวชือ เจ้าอยู่ที่นี่รอนายท่านกลับมา…นับแต่นี้ไปต้องดูแลตัวเองให้ดี ต้องเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองวิญญาณวัตถุน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน ท่ามกลางเสียงร้องไห้ด้วยความอาลัยของวิญญาณวัตถุน้อย เขาเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบ้านเกิดของตัวเองอย่างจะประทับให้ตราตรึงอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วจึงหมุนกายเดินเข้าไปในหุบเขาอย่างไม่ลังเล!
เมื่อเดินเข้าไป ปราณบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดปะทุอีกครั้ง
คราวนี้พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างของเขากลายมาเป็นพลานุภาพสยบ ความแข็งแกร่งของพลานุภาพสยบนี้เหนือกว่าขีดสุดของบุพกาลไปไกลโข หากว่ากันในบางระดับยังถือว่าทะยานขึ้นสู่ระดับชั้นที่เทียบเคียงได้กับผู้บงการได้ด้วยซ้ำ!
นี่คือการระเบิดพลานุภาพสยบในเวลาสั้นๆ ซึ่งแลกมาด้วยการเผาไหม้ความยึดมั่นในความทรงจำท่อนสุดท้ายตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ลงอย่างสิ้นซาก!
และเมื่อพลานุภาพสยบแผ่ขยาย พลังอำนาจของเขาที่ไต่ทะยานขึ้นก็มากพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งบุพกาลคนใดก็ตามที่เข้ามาใกล้มิอาจต้านทานรับได้ไหว ร่างต้องแหลกสลายและจิตวิญญาณต้องมอดดับทันที และเมื่อปราณของผู้บงการที่คงอยู่ในเวลาสั้นๆ ซึ่งเขาใช้ทุกอย่างที่ตัวเองเหลืออยู่แลกมาปะทะเข้ากับควันในหุบเขา เสียงกัมปนาทก็ระเบิดกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า
ควันของหุบเขากลิ้งซัดตลบปั่นป่วนรวดเร็ว เดี๋ยวๆ ก็แผ่ขยาย เดี๋ยวๆ ก็ตรงเข้ามารวมตัวกัน ราวกับจะก่อตัวกลายมาเป็นพลังชนิดหนึ่งที่สามารถกร่อนทำลายทุกสรรพสิ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าปณิธานแห่งผู้บงการ การกัดกร่อนนี้ก็เหมือนจะคงความสมดุลเอาไว้ เป็นเหตุให้ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินเข้าไปในหุบเขาไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายเข้าไปในจุดลึกของหมอกควัน วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างนอกก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น มันมองเหม่อไปที่ควันเหล่านั้น ราวกับว่าเวลาในโลกของมันได้หยุดนิ่ง
ในกลุ่มควัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้านิ่งเฉย ความสุขุมหนักแน่นแสดงให้เห็นเด่นชัดมากเป็นพิเศษ ซึ่งมองออกจากฝีเท้าที่ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง อีกทั้งต่อให้ในใจของเขาจะมีความดึงดันยึดติดรุนแรงแค่ไหน ทว่าเขาก็ยังคงก้าวเดินไปท่ามกลางควันเหล่านี้ได้อย่างเยือกเย็น ยิ่งเดินยิ่งห่างไปไกล
รอบด้านเงียบสงัด ต่อให้หมอกควันที่อบอวลจะซัดตลบรุนแรงเพียงใดก็ยังเงียบกริบ จนกระทั่งไม่รู้ว่าเดินเข้าไปนานแค่ไหน จุดลึกของหมอกควันเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเผยให้เห็นเงาร่างเค้าโครงของวัตถขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง!
นั่นคือเรือลำหนึ่งที่น่าครั่นคร้ามอย่างถึงที่สุด!
ชั่วขณะที่มองเห็นเรือรบลำนี้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสาดประกายแสงคมกริบ ฝีเท้าของเขาไม่ได้หยุดชะงัก แล้วก็ไม่ได้เพิ่มความเร็ว ยังคงเดินขยับไปเบื้องหน้าทีละก้าวด้วยอัตราเท่าเดิม จนกระทั่งเดินเข้ามาในจุดลึกของกลุ่มควัน เขาก็มองเห็นว่าเบื้องหน้า…มีซากเรือลำหนึ่งที่…เกยอยู่บนกรวดทราย!
นี่คือเรือขนาดมหึมาลำหนึ่งที่คล้ายจะผ่านพิธีชำระบาปจากการเวลา อาบย้อมอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาอันเนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์ กระดานเรือสีดำ ผ้าใบผุพังขาดวิ่น ความเก่าแก่ที่แผ่ออกมาจากตัวเรือเหมือนว่ามันจะอยู่มายาวนานยิ่งกว่าประวัติศาสตร์การดำรงอยู่ของโลกแห่งเซียนเสียอีก…
ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า มองเรือรบโบราณขนาดมโหฬารเบื้องหน้าเงียบๆ จุดลึกในดวงตาของเขาค่อยๆ ฉายความกระจ่างแจ้ง ราวกับว่านี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์การคาดเดาที่เขาเคยมีต่อความลับในหุบเขาเมื่อครั้งอดีตให้ชัดเจนมากขึ้น
“ตำนานเป็นความจริงหรือนี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะลอยตัวขึ้นช้าๆ ไม่นานร่างของเขาก็มายืนอยู่ตรงความสูงระดับเดียวกับตัวเรือ แล้วเขาก็มองเห็นว่า…ตรงหัวเรือลำนี้ มีเรือนกายหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิหันหลังให้กับตน!
นั่นคือโครงกระดูกโครงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตายมานานกี่ปีแล้ว และเสื้อผ้าบนร่างของเขาก็ถูกกาลเวลากัดกินจนเน่าเปื่อยไม่เหลือดีมานานแล้ว ซึ่งหมอกควันที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ก็มาจากในร่างของเขานี่เอง
วินาทีที่มองเห็นโครงกระดูกนี้ ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หอบกระชั้นขึ้นเป็นครั้งแรก ประกายแสงในดวงตาของเขายิ่งกะพริบพราว เพราะเขามองออกว่ากลิ่นอายความเก่าแก่ที่แผ่ออกมาจากของโครงกระดูกเข้มข้นกว่าของเรือรบลำนี้มากมายหลายเท่านัก
ถึงขั้นที่ว่า…ความเก่าแก่นั้น ยังคล้ายจะเหนือกว่าห้วงจักรวาลแห่งนี้ไปไกลโข!!
และต่อให้ตายไปแล้ว ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาก็ยังคงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งความตายที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด…ความแกร่งกร้าวของเขาเหนือยิ่งกว่าผู้บงการ คล้ายอยู่ในขั้นสูงสุดของทุกขอบเขต!
กลิ่นอายความตายและพลานุภาพสยบที่โครงกระดูกนี้แผ่ออกมาเข้มข้นเกินไป เป็นเหตุให้ปราณผู้บงการที่แผ่อวลอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนต้านรับไม่ไหวจึงใกล้จะระเบิดเต็มที
อีกทั้งข้างหูของเขายังมีเสียงร้องคำรามแหบโหยก่อนตายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา!
ครู่ใหญ่ต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าซีดขาวถึงฝืนบังคับตัวเองให้ขยับไปเบื้องหน้าโครงกระดูกนี้ได้ เขาจึงได้เห็นว่าแม้โครงกระดูกที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นจะแห้งเหี่ยวไปแล้ว ทว่าตรงหว่างคิ้วของเขากลับยังมีรูอยู่รูหนึ่ง!!
รูนั้นก็คือสาเหตุการตายที่แท้จริงของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาถูกคนปลิดชีพ…เพียงแค่ชี้นิ้วครั้งเดียว!!